หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 337
บทที่ 337
เฉียวโม่จ้องมองกระดานหมากอย่างสบายอารมณ์ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
เฉียวเจาเหลียวมองรอบตัว เห็นพวกองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนเข้ามาแอบฟัง นางจึงนั่งลงข้างๆ เฉียวโม่แล้วบอกอย่างตรงไปตรงมา
“ฟันพิษซี่นั้น ข้าหาคำตอบได้แล้วเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วก็นั่งลงทันใด เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นพิษอะไร”
เฉียวโม่เงี่ยหูฟัง
“พิษนี้น่าจะสกัดจากแมงมุมชนิดหนึ่งชื่อว่าแมงมุมหมาป่านารี”
“แมงมุมหมาป่านารี?” เซ่าหมิงยวนพึมพำทวนคำนี้ เพียงรู้สึกชื่อของแมงมุมชนิดนี้แปลกเป็นพิเศษ
“แมงมุมหมาป่านารีน่าจะมีถิ่นกำเนิดในเขตแดนหลิ่งหนาน” เฉียวโม่พลันเอ่ยปากขึ้น
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนต่างมองไปทางเขา
“เดิมทีแมงมุมหมาป่านารีมีชื่อว่าแมงมุมตาแดงเพราะลูกตาของมันเป็นสีออกแดงๆ ตามตำนานที่เล่าขานกันในท้องถิ่น มีเจ้าสาวผู้หนึ่งโดนแมงมุมพิษซึ่งซ่อนอยู่ในม่านประตูกัดเอาตอนลงจากเกี้ยวเจ้าสาว นางยังไม่ทันก้าวเข้าประตูเรือนของสามีก็พิษกำเริบสิ้นใจไปก่อน ภายหลังแมงมุมตาแดงก็ค่อยๆ ถูกคนเรียกว่าแมงมุมหมาป่านารี มีนัยความหมายว่านารีมรณะในชั่วลัดนิ้วมือ” สุ้มเสียงของเฉียวโม่นุ่มนวลดุจสายน้ำยามบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแมงมุมหมาป่านารีอย่างเป็นจังหวะจะโคน
“หลิ่งหนาน…” เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่นึกไปถึงเหตุกบฏหลิ่งหนานเมื่อยี่สิบปีก่อนพร้อมกัน
หรือว่าคนที่ลงมือกับอู๋เหมยซือไท่เกี่ยวข้องกับโจรกบฏซู่อ๋อง?
เมื่อคิดถึงจุดนี้เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าขึงขังยามกล่าวกับเฉียวเจา “คุณหนูหลี เรื่องนี้ยุติลงเท่านี้เถอะ”
หากพัวพันกับพรรคพวกกบฏที่เหลือรอดอยู่ของซู่อ๋องกับการชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์ นั่นมิใช่เรื่องที่คนอย่างพวกเขาสมควรยื่นมือยุ่งด้วย
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาไม่ได้คัดค้าน
เรื่องในตระกูลตนเองยังรับมือไม่ไหว นางย่อมไม่มีทางอยู่ดีไม่ว่าดียื่นมือยุ่งเรื่องชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์พรรค์นี้แน่นอน ทันทีที่ถลำตัวไปข้องแวะกับเรื่องพวกนี้ก็จะถอนตัวไม่ขึ้นตลอดไป
เวลานี้เองมีองครักษ์เดินเข้ามาหยุดยืนไม่ไกลพูดว่า “ท่านแม่ทัพ มีสารด่วนขอรับ”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “พี่เฉียวโม่ คุณหนูหลี พวกท่านนั่งคุยกันก่อน ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
เขาพูดจบแล้วก้าวออกจากศาลารับลมตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือ
ชายหนุ่มกลับถึงห้องหนังสือที่ปลอดภัยวางใจได้แล้วก็นั่งลง “เอาสารด่วนมา”
องครักษ์ถือสารด่วนด้วยสองมือยื่นส่งให้
เซ่าหมิงยวนมองเครื่องหมายบนสารด่วน เขาเลิกคิ้วน้อยๆ มีรอยยิ้มจุดวาบขึ้นในดวงตา
เป็นสารของเยี่ยลั่ว หรือว่าหมอเทวดาหลี่พบมุกนิ่มที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาแผลไฟไหม้ของพี่เฉียวโม่แล้ว
เขาแกะปากซองที่ประทับตราครั่งไว้ออก ดึงสารข้างในออกมาอ่านรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นทีละน้อย นิ้วมือเรียวยาวที่จับกระดาษสารไว้สั่นระริก
องครักษ์กลั้นหายใจ ก้มศีรษะลงไม่กล้ารบกวน
ประหนึ่งว่าอากาศที่ไหลเวียนอยู่รอบห้องหนังสือหยุดนิ่งไป ผ่านไปเป็นนานเซ่าหมิงยวนถึงอ้าปากบอก “ไปเชิญคุณชายเฉียวมาที่ห้องหนังสือ”
“น้อมรับคำสั่ง”
เห็นองครักษ์กำลังก้าวออกไป เซ่าหมิงยวนจึงพูดเสียงขรึมขึ้นว่า “จำไว้อย่าให้คุณหนูหลีจับพิรุธได้”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ”
รอเมื่อองครักษ์ปิดประตูห้องเรียบร้อย เซ่าหมิงยวนก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาถอนใจเฮือกหนึ่ง
ไม่นานนักองครักษ์พาเฉียวโม่เข้ามา “ท่านแม่ทัพ คุณชายเฉียวมาแล้วขอรับ”
“เจ้าออกไปก่อน”
ในห้องเหลือแค่ชายหนุ่มสองคน
เฉียวโม่เลื่อนสายตาผ่านเซ่าหมิงยวนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีลงไปยังสารด่วนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
เขาไม่เห็นเนื้อความในสาร แต่คาดเดาได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับสารด่วนที่ได้รับอย่างกะทันหันฉบับนี้เป็นแน่แท้
เฉียวโม่รอครู่หนึ่ง เห็นเซ่าหมิงยวนไม่ปริปากเสียที เขาเป็นฝ่ายไต่ถามขึ้น “หรือว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษข้าอีก”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้าช้าๆ
ต่อหน้าพี่เฉียวโม่ยังเอ่ยปากยากเย็นเพียงนี้ แล้วสมควรบอกกับคุณหนูหลีเช่นไรดี
“ท่านโหวมีเรื่องใดกันแน่” เฉียวโม่ชักกระวนกระวายใจ
ต่อให้เป็นตอนบอกเรื่องที่เขาโดนวางยาพิษ กวนจวินโหวยังไม่เคยลังเลอย่างนี้
“เป็นท่านหมอเทวดาหลี่” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดในที่สุด
เฉียวโม่มองอีกฝ่ายทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เซ่าหมิงยวนถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ได้รับสารด่วนจากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าที่คุ้มครองท่านหมอเทวดาเดินทางสู่ทะเลแดนใต้ หลังจากกลุ่มของพวกเขาออกทะเลไปเสาะหามุกนิ่ม กลับประสบพายุกลางทะเล นอกจากเขาที่ถูกเรือที่แล่นผ่านมาช่วยไว้ คนอื่นๆ ล้วนมีอันเป็นไปทั้งหมด”
เฉียวโม่ตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาเกาะชั้นวางหนังสือพยุงตัวไว้พลางกล่าวเสียงหลง “รวมถึงท่านหมอเทวดาด้วยหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเนิบนาบ
เฉียวโม่นั่งลงด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เอานิ้วมือทั้งสิบขยุ้มผมอย่างทรมานใจ เขาพูดพึมพำว่า “ข้าเป็นคนทำร้ายท่านผู้เฒ่าทางอ้อม”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
เผชิญกับภัยธรรมชาติอย่างพายุกลางทะเล เขาย่อมไม่อาจกล่าวโทษผู้ใต้บังคับบัญชาว่าบกพร่องในหน้าที่ ด้วยเหตุนี้เองในใจจึงยิ่งเคว้งคว้างทุกข์ทรมาน
ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ นานพักใหญ่ ต่อมาเฉียวโม่ละม้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาหันไปมองเซ่าหมิงยวน “ทางเจาเจา…”
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหมอเทวดาหลี่คือความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส แต่ในกาลก่อนไม่ใคร่ได้ใกล้ชิดกันเท่าไรนัก ทว่าเจาเจาต่างออกไป สำหรับเจาเจาแล้วหมอเทวดาหลี่ก็คือท่านปู่อีกคนหนึ่ง
“ต้องบอกนางหรือไม่” เซ่าหมิงยวนถาม
“แน่นอน” เฉียวโม่ตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
“คุณหนูหลีต้องเสียใจมากกระมัง” เซ่าหมิงยวนถามเสียงเบา
เฉียวโม่กดตรงหว่างคิ้วแรงๆ ทีหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “ใช่ เรื่องนี้ปิดได้ชั่วคราว ปิดไม่ได้ชั่วชีวิต ถึงจะบอกนางในวันหน้า นางก็ต้องพบกับความเสียใจอยู่ดี ซ้ำร้ายยังจะตัดพ้อต่อว่าที่พวกเราปิดบังไว้ มิสู้บอกกับนางตอนนี้เลยจะดีกว่า”
เห็นเซ่าหมิงยวนไม่พูดไม่จา เฉียวโม่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “วางใจเถอะ ถึงเจาเจาต้องเสียใจมาก ทว่านางยอมให้เปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่าปิดบังด้วยเจตนาดี แม้มันจะโหดร้ายก็ตามที”
“พี่เฉียวโม่รู้จักคุณหนูหลีดีเหลือเกิน”
“ใช่ ข้าเคยบอกแล้วว่านางกับน้องเจาคล้ายกันมาก”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง “เช่นนั้นเรื่องของท่านหมอเทวดา ขอให้พี่เฉียวโม่ช่วยบอกคุณหนูหลีด้วยเถอะ”
เฉียวโม่ไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี สายตาเขาที่มองเซ่าหมิงยวนทอประกายผิดแผกไปอยู่หลายส่วน
เซ่าหมิงยวนบอกตามสัตย์จริง “ข้ากลัวคุณหนูหลีร้องไห้”
“ตกลง ข้าไปบอกนางเอง” เฉียวโม่ลุกขึ้นยืน มาตรว่าจับความรู้สึกจากใบหน้าไม่ออก หากฝีเท้าเขาแลดูหนักอึ้ง
พวกเขาเป็นบุรุษ จะเจ็บปวดทุกข์ใจปานใดก็ต้องกัดฟันทนไว้ แต่เพราะอะไรต้องให้สตรีคนหนึ่งอย่างน้องเจาพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากแบกรับแทนนางไว้เหลือเกิน
เฉียวโม่กลับถึงศาลารับลม
เฉียวเจากำลังเอาเม็ดหมากเคาะโต๊ะเล่นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น นางโยนเม็ดหมากกลับลงไปในโถแล้วลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่…”
สีหน้าของพี่ชายทำให้นางกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอไป
เฉียวโม่นั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจาเจา นั่งสิ”
เฉียวเจานั่งลงเงียบๆ
“เจาเจา มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้า” เฉียวโม่กล่าวขึ้นต้นแล้วมองสบนัยน์ตาสุกใสของน้องสาว เขาก็เอื้อนเอ่ยคำพูดประโยคหลังออกจากปากไม่ได้ชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่หลังต้นฉำฉาทอดสายตามองมาทางศาลา ในใจเขากระสับกระส่ายอยู่บ้างอย่างปราศจากเหตุผล
“พี่ใหญ่?” ท่าทางนิ่งเงียบของพี่ชายทำให้ริมฝีปากของเฉียวเจาค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย นางสะกดอาการสั่นสะท้านไว้ ถามเสียงเนิบช้า “เกี่ยวกับท่านปู่หลี่หรือไม่เจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแล้วใช่หรือไม่”
นางสูญเสียสิ่งที่สูญเสียได้ไปเกือบหมดแล้ว ถึงตอนนี้ยังมีอะไรทำให้พี่ชายไม่กล้าบอกกับนางอีกเล่า
“พี่ใหญ่!”
เฉียวโม่ยื่นมือไปวางทาบหลังมือเย็นเฉียบของน้องสาว “ท่านหมอเทวดาประสบพายุกลางทะเล เสียชีวิตแล้ว”
เฉียวเจาเหยียดแผ่นหลังไม่กล่าววาจาสักคำ ดวงหน้าซูบตอบเผือดขาวยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาว
เฉียวโม่กุมมือนางแน่นๆ กล่าวเสียงนุ่ม “เจาเจา พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้ เจ้ามิได้โดดเดี่ยวคนเดียว เสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ”