หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 347
บทที่ 347
“เสด็จย่า…” องค์หญิงเจินเจินหันมองขวับไปทางหยางไทเฮาด้วยสีหน้าตะลึงลาน กลับปะทะเข้ากับสายตานิ่งสนิทดุจผิวน้ำของอีกฝ่าย
มือที่สอดไว้ในแขนเสื้อหลวมกว้างกำเข้าหากันแน่นจนปลายเล็บอมชมพูกลายเป็นสีขาวซีด หยางไทเฮาเพ่งมองอยู่ นางยกมือขึ้นช้าๆ จับผ้าคลุมหน้า
“เจินเจิน…” เจียงซือหร่านร้องเรียกเสียงหนึ่งอย่างสุดระงับ
นางไม่เข้าใจว่าทั้งที่ไทเฮาเป็นท่านย่าแท้ๆ ของสหายรัก แต่เหตุใดถึงใจร้ายปานนี้ จะให้เจินเจินปลดผ้าคลุมหน้าลงต่อหน้าผู้คน
องค์หญิงเจินเจินไม่สนใจเสียงเรียกของเจียงซือหร่าน นางแข็งใจดึงผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นดวงหน้าในสภาพน่าอนาถจนทนดูไม่ได้
นางมองไปทางเฉียวเจานิ่งๆ ตัวสั่นเทาน้อยๆ
ขณะที่เผยใบหน้าตนต่อหน้าธารกำนัล องค์หญิงเจินเจินรู้สึกอัปยศอดสูอย่างสุดแสน ทว่านางหมดหนทางแล้ว บัดนี้นางไม่เหลืออะไรสักอย่าง หรือว่าจะยอมสูญเสียแม้แต่ความโปรดปรานของไทเฮาไปด้วย
อันที่จริงตอนนี้นางไม่กลัวตายด้วยซ้ำไป แต่ว่านางทำใจยอมรับไม่ได้…ยอมรับไม่ได้ที่ชีวิตอันสวยงามในวัยสาวต้องกลายเป็นเช่นนี้
เสด็จย่าเคยตรัสว่านางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ จะเชิญหมอชื่อดังทั่วหล้ามาให้ ถึงแม้หมอเทวดาหลี่ล่วงลับไป ทำให้นางสิ้นหวังมาก แต่ถ้าเกิดว่า…ถ้าเกิดว่ายังมีคนรักษาใบหน้านางให้หายดีได้เล่า
เพื่อโอกาสหนึ่งในหมื่นนั่น นางไม่มีทางยอมแพ้
“คุณหนูหลีซาน เจ้าเห็นอาการขององค์หญิงเก้าแล้วนะ” หยางไทเฮากล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย
พระโอรสของนางหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาชีวิตอมตะ เป็นฮ่องเต้ที่ไม่ใฝ่ใจในงานราชกิจมานานหลายปี พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่พอใจอยู่ลับหลังแต่แรก นางผู้เป็นไทเฮาจึงทำตามความพอใจเกินไปไม่ได้
อย่างไรก็ต้องหาจุดผิดอย่างจะแจ้งถึงลงโทษคนได้เพื่อมิให้ตกเป็นที่ครหา
ดีที่เจินเจินเป็นเด็กรู้ความผู้หนึ่ง
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินทำให้เฉียวเจาตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่งยวดไปอึดใจหนึ่ง นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าใบหน้าของนางจะสาหัสอย่างนี้
“ไทเฮา หม่อมฉันเดินเข้าไปใกล้ขึ้นได้หรือไม่ เช่นนั้นถึงเห็นได้ชัดเจนเพคะ”
แววโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้นในดวงตาขององค์หญิงเจินเจิน
เจียงซือหร่านผูกคิ้วนิ่วหน้า “หลีซาน เจ้าอย่าทำเกินไป!”
“เจ้าก้าวมาข้างหน้า” หยางไทเฮากล่าวเสียงขรึม นางกลับอยากดูนักว่าแม่เด็กน้อยผู้นี้จะทำอย่างไร ตอนนี้ยิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อีกประเดี๋ยวจะต้องร้องไห้
ด้านลี่ผินลอบกำมือเป็นหมัด เล็บมือที่ตัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยสวยงามจิกลงกลางอุ้งมือ นางรำพึงในใจ กล้าหัวเราะเยาะบุตรสาวของนางรึ นางจดบัญชีแค้นนี้ไว้แล้ว ต่อให้ไทเฮาไม่แยแสสนใจ วันหน้ามีโอกาสนางจะต้องสะสางให้สาสม
คล้ายว่าเฉียวเจารับรู้ถึงกระแสอารมณ์ที่ปรวนแปรไม่เป็นมิตรรอบด้านได้ แต่นางยังเดินไปหยุดยืนห่างองค์หญิงเจินเจินราวครึ่งจั้งอย่างเยือกเย็น เพ่งมองอีกฝ่ายโดยไม่กะพริบตา
องค์หญิงเจินเจินหลุบตาลงอย่างอดกลั้น จนกระทั่งทนไม่ไหวจริงๆ ถึงมองสบตาคนตรงหน้า นางกัดริมฝีปากไม่ขยับกายหากสายตาราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้าใจจะขาด
มองเลย มอง มองเสียให้พอ ข้าขอให้เจ้าฝันร้ายตอนกลางคืน!
หยางไทเฮาเอ่ยขึ้นเสียงเอื่อยๆ “เห็นแล้วนะ?”
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “เห็นแล้วเพคะ”
“แล้วคุณหนูหลีซานยังอยากพูดอะไรกับข้าอีกหรือไม่”
เฉียวเจากล่าวอย่างทอดถอนใจ “อันที่จริงหม่อมฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณหนูเจียงเพคะ”
“เจ้าพูด” หยางไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้น
เฉียวเจาหันไปมองเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง เห็นอาการขององค์หญิงแล้ว ข้าเพียงอยากบอกว่าใช้ยาไม่ถูกโรคทำร้ายคนถึงแก่ความตายได้”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เจียงซือหร่านสังเกตเห็นทุกคนมองมาที่ตัวนางเป็นตาเดียวกันแล้วหน้าชาวาบๆ
เฉียวเจามององค์หญิงเจินเจินอย่างสงสารเห็นใจถึงกล่าวอธิบาย “พระพักตร์ขององค์หญิงมีอาการเนื้อเน่าเพราะพิษแทรกซึมเข้าไป ความจริงแล้วที่มีน้ำเหลืองไหลจะเกิดในระยะที่พิษลามออกมาด้านนอก ตอนนี้ยังห่างจากช่วงที่ตกสะเก็ดอีกนาน เผอิญว่าคุณหนูเจียงเอายาลบรอยแผลให้องค์หญิงใช้ เท่ากับเป็นการฝืนเร่งให้จุดที่เนื้อเน่าเหล่านี้ตกสะเก็ดเร็วขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้พิษจะคั่งอยู่ใต้ผิวทั้งหมด ฤทธิ์ของพิษกับยาก็เป็นดั่งกองกำลังสองฝ่ายที่สู้รบกัน การศึกยิ่งดุเดือด สมรภูมิยิ่งแหลกลาญ…”
นางไม่กล่าวประโยคหลังต่อ ทุกคนกลับแจ่มแจ้งกันหมดแล้ว
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินเผือดขาว นางมองไปทางเจียงซือหร่าน
เจียงซือหร่านแตกตื่นอยู่ในใจ นางกัดริมฝีปากกล่าวว่า “เจินเจิน นางพูดจาส่งเดชเพื่อปัดความรับผิดชอบเป็นแน่! พิษแทรกซึม กองกำลังสองฝ่ายสู้รบอะไรกัน นางมิใช่หมอสักหน่อย พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”
พูดจาเหลวไหลหรือไม่ คนอื่นๆ ในที่นี้ต่างคิดเห็นกันไปอีกทางหนึ่ง
หยางไทเฮาวางถ้วยน้ำชาลง ผินหน้ามององค์หญิงเจินเจินแวบหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน เจ้าบอกว่าใบหน้าขององค์หญิงเก้ากลายเป็นอย่างนี้เพราะพิษแทรกซึมเข้าไป จะพิสูจน์เช่นไรว่าเจ้ามิได้กล่าวเลื่อนลอยเล่า”
“ง่ายมากเพคะ หม่อมฉันขับพิษบนใบหน้าขององค์หญิงออกมาได้”
องค์หญิงเจินเจินลุกพรวดขึ้นยืน นางพูดเสียงหลง “ถ้อยคำนี้ของเจ้าเป็นความจริงหรือ”
เฉียวเจายังเยือกเย็นดุจเดิม “องค์หญิงอย่าทรงตื่นเต้น หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องบอกไว้ล่วงหน้า หลังขับพิษออกมาเพียงทำให้พระพักตร์ไม่เน่าต่ออีก ดูแล้วจะดีขึ้นกว่าขณะนี้ แต่รอยแผลที่เหลืออยู่ต้องรักษาด้วยอีกวิธีหนึ่งเพคะ”
“ขับพิษบนใบหน้าองค์หญิงเก้าออกก่อนค่อยว่ากัน” หยางไทเฮาพูดชี้ขาดทันใด
ลี่ผินไม่วางใจอย่างมาก “ไทเฮา นี่ต้องขอความเห็นจากหมอหลวงก่อนหรือไม่เพคะ”
ปล่อยให้เด็กสาวนางหนึ่งปู้ยี่ปู้ยำใบหน้าของบุตรสาวข้า จะสะเพร่าเกินไปแล้วกระมัง
ไทเฮาปรายตามองลี่ผินแล้วถามองค์หญิงเจินเจินโดยตรง “เจินเจิน เจ้าคิดอย่างไร”
องค์หญิงเจินเจินตอบอย่างเฉียบขาด “เชิญคุณหนูหลีซานรักษาให้หม่อมฉันเถอะเพคะ”
แม้แต่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงยังอับจนหนทาง ยังจะขอความเห็นอะไรอีก ในเมื่อจะให้คนอื่นรักษา มิสู้ทำใจเด็ดให้รู้แล้วรู้รอดกันไปจะดีกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินผงกศีรษะกับเฉียวเจาเล็กน้อย “ไหว้วานคุณหนูหลีแล้ว”
หยางไทเฮาเอ่ยเสริมขึ้น “คุณหนูหลีซานต้องการสิ่งใดก็บอกกับไหลสี่ได้เลย”
“จัดเตรียมห้องที่เงียบสงบสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ” เฉียวเจาไต่ถามหยางไทเฮา
นางพยักหน้า “ได้ ไหลสี่ พาองค์หญิงเก้ากับคุณหนูหลีซานไปที่ห้อง”
เจียงซือหร่านหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อว่าสตรีที่อายุน้อยกว่าตนผู้นี้จะรักษาโรคและถอนพิษเป็น นางก้าวขาเดินตามไปด้วย
เฉียวเจาเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการส่งให้ไหลสี่กงกงไปรวบรวม เมื่อหาสมุนไพรได้ครบก็ผสมตามสัดส่วน ค่อยเติมพวกน้ำผึ้งทำเป็นตัวยาเหนียวข้น หลังฝังเข็มให้องค์หญิงเจินเจินเสร็จก็เอายาทาใบหน้านางจนทั่วแล้วบอกเสียงนุ่ม “องค์หญิงบรรทมครู่หนึ่งก่อน พอตื่นบรรทมก็ล้างยาทาบนหน้าออกได้เพคะ”
“ข้า…นอนไม่หลับ…” เพราะบนใบหน้าทายาไว้ ประกอบกับจิตใจที่หวาดหวั่นว้าวุ่นในยามนี้ เสียงพูดขององค์หญิงเบาหวิว
ใบหน้านางยังมีทางรักษาได้จริงๆ หรือ
“หลับได้เพคะ” เฉียวเจายืนสองมือไปเริ่มนวดหนังศีรษะนางเบาๆ
ความง่วงงุนจู่โจมมา องค์หญิงเจินเจินหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจาลุกขึ้น ลี่ผินที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ลุกขึ้นยืนตาม “คุณหนูหลี องค์หญิงนาง…”
“บรรทมไปแล้ว ทางที่ดีพระสนมทรงรออยู่ข้างนอกปล่อยให้องค์หญิงได้บรรทมหลับสนิทสักครู่เพคะ” เฉียวเจาบอกเสียงเบา
“นางจะนอนไปถึงเมื่อไร”
“ราวครึ่งชั่วยามกระมังเพคะ”
ครึ่งชั่วยามต่อมาองค์หญิงเจินเจินตื่นขึ้น เฉียวเจาล้างหน้าให้นางด้วยตนเองแล้วบอกเสียงนุ่ม “กงกงโปรดหยิบคันฉ่องมาให้องค์หญิงทอดพระเนตรด้วยเจ้าค่ะ”
คันฉ่องวางอยู่เบื้องหน้า องค์หญิงเจินเจินกลับก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นเสียที