หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 351
บทที่ 351
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไปกับคำถามของเฉียวโม่
ความปลอดภัยของคุณหนูหลีเขาต้องเป็นห่วงอย่างแน่นอน แต่เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะไปเป็นเพื่อนนาง ถึงขั้นไม่มีสิทธิ์แสดงความรู้สึกออกมา
เฉียวโม่มองเขาด้วยสายตาลึกล้ำพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางๆ แฝงนัยคลุมเครือ “หากทำได้ ข้าหวังว่าท่านโหวจะไปเป็นเพื่อนนางได้”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจรดริมฝีปากดื่มคำหนึ่งโดยไม่ทันคิด กลับพบว่าในถ้วยว่างเปล่า เขาวางมันลงอย่างกระดากกระเดื่อง มองสบสายตาลุ่มลึกของอีกฝ่ายพลางถาม “นี่เป็นความต้องการของพี่เฉียวโม่หรือ”
เฉียวโม่หยักยิ้ม “ตอนนั้นหมอเทวดาหลี่ก็ฝากฝังให้ท่านโหวดูแลเจาเจานะ”
“ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนนาง”
พอเห็นเขาตอบตกลงแล้ว เฉียวโม่กลับบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “เจาเจายังไม่ออกเรือน หากท่านโหวจะร่วมเดินทางไปกับนาง หวังว่าจะมีเหตุผลที่ไม่ทำลายชื่อเสียงของนางได้”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอีกครา “ได้”
พี่เฉียวโม่ไม่ถือสาที่เขาจะไปเป็นเพื่อนคุณหนูหลี เขาย่อมต้องหาเหตุผลที่เหมาะสม
เขาไม่อาจหลอกลวงตนเองได้ว่าหลังเกิดเรื่องขึ้นกับหมอเทวดาหลี่ ไม่ว่าส่งองครักษ์ไปคุ้มครองนางมากเท่าไร เขาล้วนไม่วางใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้ ความปลอดภัยของเจาเจาขอฝากไว้กับท่านโหวแล้ว” เฉียวโม่พลันลุกขึ้นโค้งกายให้เขาอย่างเป็นพิธีรีตอง
เซ่าหมิงยวนรีบลุกขึ้นยืนหลบการคารวะของเฉียวโม่ “ข้าจะทำตามที่ท่านไหว้วานให้ลุล่วงอย่างแน่นอน”
กระนั้นเฉียวโม่ยังคงยากจะคลายใจได้ “กลางทะเลเป็นที่อันตรายน่ากลัว ถ้าเกิดประสบภัยธรรมชาติเช่นลมพายุอีก…”
เซ่าหมิงยวนพูดอย่างขึงขัง “ภัยธรรมชาตินั้นเกินกำลังคนจะต้านทานไหว ข้าทำได้เพียงรับรองกับพี่เฉียวโม่ว่าหากคุณหนูหลีไม่ได้กลับมา เช่นนั้นข้าก็ไม่กลับมาเหมือนกัน”
เขากล่าวประโยคนี้ด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ ทว่าในใจเฉียวโม่สะดุ้งวาบ มองเซ่าหมิงยวนอย่างพินิจ
สีหน้าของเขาไม่แสดงท่าทีใดมากนัก “พี่เฉียวโม่ ข้าจะไปเตรียมการสักหน่อย”
เขาขอตัวกับเฉียวโม่แล้วเดินไปทางซุ้มประตูวงเดือนหลายก้าว จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าหันกลับไปมองอีกฝ่าย “พี่เฉียวโม่ ท่านเห็นคุณหนูหลีเป็นเฉียวเจาโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่”
ดวงตาของเฉียวโม่ไหววูบหนึ่ง เขากล่าวยิ้มๆ “ไยท่านโหวกล่าวเช่นนี้”
“บางครั้งข้าจะเกิดอุปาทานเช่นนี้ขึ้น” เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงเพ่งมองดอกฉำฉาที่ถูกลมพัดมาตกตรงข้างเท้า เขาเหยียดมุมปากออกอย่างเยาะหยันตนเอง
ท่าทีที่เฉียวโม่มีต่อคุณหนูหลีจะไม่ทำให้เขาบังเกิดอุปาทานเช่นนี้ในยามดึกดื่นไร้เสียงผู้คนได้หรอกหรือ
ทว่าเช่นนี้หาได้ยุติธรรมต่อเฉียวเจาไม่
“คนจากไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ คนข้างกายต่างหากที่พึงทะนุถนอม ท่านโหวสมควรมองไปข้างหน้านะ”
เซ่าหมิงยวนคลี่ยิ้มหมุนกายจากไป
เฉียวเจากลับถึงจวนสกุลหลี บอกกล่าวเรื่องที่จะเดินทางลงใต้กับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก่อน
หญิงชราฟังแล้วไม่เอื้อนเอ่ยวาจาเนิ่นนาน
“ท่านย่า?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงสติคืนมา นางกล่าวเตือนด้วยความปรารถนาดี “หลานเจา แถบชายทะเลแดนใต้อันตรายมากนะ”
“ข้าใคร่ครวญถึงอันตรายทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถอนใจเฮือก “เจ้าไปทางทิศใต้ ไม่ใช่เพียงเพื่อเสาะหาตัวยากระมัง”
เฉียวเจาหลุบตาลง นางทุบขาให้หญิงชราเบาๆ “ข้าอยากไปชายทะเลแดนใต้เซ่นไหว้ท่านปู่หลี่ด้วยตนเองเจ้าค่ะ ท่านย่า ทุกคราที่ข้าคิดถึงว่าท่านปู่หลี่อยู่มาจนอายุมากถึงเพียงนั้น สุดท้ายแม้แต่ศพยังหาไม่พบก็จะข่มตานอนไม่หลับ”
ญาติพี่น้องของนางต้องฝังร่างอยู่กลางทะเลเพลิง เมื่อนึกไปถึงดวงหน้าคุ้นตาของคนเหล่านั้นตลอดจนท่านปู่หลี่ นางสุดปัญญาจะโน้มน้าวตนเองให้รั้งอยู่ในเมืองหลวงสถานที่อันรุ่งเรืองเฟื่องฟูแห่งนี้ ออกเรือนให้กำเนิดบุตรหลานและใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ดังเช่นสตรีทั่วไปได้
อย่างไรก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเขาถึงจะสบายใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือลูบผมนาง ถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “เอาเถอะ ท่านย่ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กฉลาด มีความคิดเป็นของตนเอง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ทางไทเฮายังส่งคนไปคุ้มครอง เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ มีแค่อย่างเดียวคือต้องกลับมาโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บนะ”
“ข้าจะดูแลตนเองให้ดีเจ้าค่ะ ท่านย่าวางใจได้”
“ไปบอกกับท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าเถอะ นิสัยของแม่เจ้านั้น หลังรู้เรื่องเกรงว่าต้องอาละวาดเรือนแตก ส่วนพ่อเจ้า…” พ่อเจ้าต่อหน้าคงแสร้งทำไม่อนาทรร้อนใจ แต่ลับหลังคะเนว่าต้องแอบเช็ดน้ำตาแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเป็นคนมีคุณธรรม นางตัดสินใจว่าอย่าเปิดโปงบุตรชายจะดีกว่า
“ข้าจะพูดกับท่านพ่อท่านแม่ดีๆ เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย “บางทีไม่นานหลังจากนี้อาจมีข่าวดีทำให้ท่านพ่อท่านแม่อารมณ์ดีขึ้นบ้างนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสะดุดใจ นางเอ่ยถาม “มีข่าวดีได้อย่างไรรึ”
“เอ่อ…” เฉียวเจาอึกอักไปเล็กน้อย
จะอย่างไรเป็นเรื่องที่ยังไม่มีวี่แวว บอกออกมาในเวลานี้ไม่เหมาะสม
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคลายยิ้ม “เจ้าหลานคนนี้ รู้จักกล่าวคำมงคลประจบเอาใจคนเป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน รีบไปบอกกับท่านแม่เจ้าเถอะ ประเดี๋ยวไทเฮาออกพระเสาวนีย์มาก่อน แม่เจ้าน่ะไม่มีเรื่องใดไม่กล้าทำหรอกนะ”
ยามเฉียวเจาออกจากเรือนชิงซง นายหญิงรองหลิวซื่อเข้ามาพอดี
“ท่านอาสะใภ้รอง”
“คุณหนูสามกลับจากวังหลวงแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ เพิ่งกลับมาถึง”
หลิวซื่อแย้มยิ้มตาโค้ง “ในวังมีธรรมเนียมมากคงน่าอึดอัดพิกล คุณหนูสามไม่มีอะไรทำก็ไปหาพวกเยียนเอ๋อร์แก้เบื่อได้นะ เจ้าเด็กสองคนนั้นไม่มีความสามารถอื่นใด รู้จักแต่เล่นสนุก”
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ นางยิ่งมายิ่งรู้สึกว่าอาสะใภ้รองผู้นี้เป็นคนน่าสนใจ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาสะใภ้รอง ข้าต้องกลับเรือนหยาเหอก่อนแล้ว”
หลิวซื่อมองตามแผ่นหลังเฉียวเจาที่แยกไปแวบหนึ่งถึงก้าวเข้าเรือน นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าบอกแล้วว่าถึงคุณหนูสามเข้าวังไปก็ไม่เป็นอะไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางมองค้อนลูกสะใภ้วงหนึ่ง “เจ้ากลับมั่นใจในตัวหลานเจานัก”
หลิวซื่อเม้มปากยิ้มชอบใจ ไม่มั่นใจได้รึ ใครก็ตามที่มาตอแยกับคุณหนูสามล้วนต้องเคราะห์ร้าย!
“ข้ามาที่นี่เพราะอยากหารือเรื่องหนึ่งกับฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“ว่ามา” พักนี้ลูกสะใภ้รองกับลูกสะใภ้ใหญ่ไม่ได้โต้คารมเชือดเฉือนกันแล้ว หญิงชรารู้สึกสบายหูขึ้นมาก
“ท่านคงเห็นว่าสำนักศึกษาหญิงของจวนตะวันออกปิดไปแล้ว เยียนเอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์เจ้าเด็กคู่นั้นกำลังอยู่ในช่วงต้องศึกษาหาวิชาความรู้ จะปล่อยให้อยู่ว่างเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ข้าคิดอยู่ว่าจะเชิญคุณหนูสามปลีกเวลาวันละครึ่งชั่วยามชี้แนะเรื่องคัดอักษรให้น้องสาวสองคนดีหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าความคิดนี้ทำได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดี แต่ดูท่าหลานเจาจะไม่มีเวลาชี้แนะพวกเยียนเอ๋อร์น่ะสิ”
หลิวซื่อมองมารดาสามีอย่างฉงนใจ
“หลานเจาจะเดินทางไกล นางได้รับพระบัญชาของไทเฮาไปทำงานต่างเมือง”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่” หลิวซื่อฟังแล้วอึ้งงันไป จากนั้นจุปากด้วยความทึ่ง “คุณหนูสามมีความสามารถจริงๆ บัดนี้ทำงานรับใช้ไทเฮาได้แล้ว” นางกลับมิได้ซักไซ้ว่าทำงานอะไรกันแน่อย่างรู้กาลเทศะ
“เรื่องของพวกเยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ใกล้จะถึงการสอบขุนนางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงเวลานั้นมีบัณฑิตซิ่วไฉอาวุโสที่สอบไม่ผ่าน พวกเราก็เชิญมาเป็นอาจารย์ได้”
หลิวซื่อฟังแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้รอบคอบเช่นเคย ถ้าอย่างนั้นก็รอต่อไปอีกสักหน่อย ระยะนี้ข้าสอนงานเย็บปักถักร้อยให้พวกนางก็ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดถึงอะไรก็สุดรู้ นางถอนใจเฮือก “อันที่จริงด้านวิชาความรู้จะอ่อนด้อยไปบ้างก็ไม่เสียหาย อบรมบ่มนิสัยเด็กสองคนนั้นให้ดีจึงสำคัญที่สุด”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี”