หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 355
บทที่ 355
ชายหนุ่มผู้นั้นอาจไม่ได้ยืนในจุดที่เด่นสะดุดตาที่สุด แต่มักทำให้คนมองเห็นในแวบแรกได้เสมอ ดวงหน้านั้นหล่อเหลาละมุนละไมเหลือเกิน ราวกับรับเอาพรจากสวรรค์ไว้เพียงผู้เดียว กระทั่งแพขนตายังงอนยาวกว่าคนทั่วไปอย่างมาก ยามมันกระพือขึ้นลงเบาๆ ทำให้ดวงตาเป็นประกายแพรวพรายไปด้วย
เขาเดินมาใกล้ๆ หลีกวงเหวิน คลี่ยิ้มพร้อมคำนับทักทาย “ท่านอาหลี”
“เจ้าเองหรือ” จิตใจที่วิตกกังวลของหลีกวงเหวินผ่อนคลายลงบ้างกะทันหัน
เขายอมรับว่าภาพที่ชายหนุ่มผู้นี้ถลันเข้าไปอยู่ข้างศพแยกแยะว่าเป็นใครตอนเหตุดินถล่มก่อนหน้านี้ไม่นาน ทำให้เขาประทับใจอย่างยิ่ง
เจ้าหนุ่มผู้นี้จริงใจต่อบุตรสาวเขากระมัง อืม ไม่ว่าวันหน้าบุตรสาวเขาเต็มใจออกเรือนหรือไม่ อย่างน้อยยามเดินทางไปต่างถิ่นก็มีคนที่ไว้วางใจได้คอยดูแลนางผู้หนึ่ง
ประเดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าเช่นนี้จะน่ากลัวมากกว่า เกิดเจ้าหนุ่มผู้นี้คิดฉวยโอกาสกับบุตรสาวของเขาจะทำฉันใด จะมิใช่เข้าตำราว่าหอคอยใกล้สายชล ได้ยลแสงจันทร์ก่อน* หรอกหรือ
นายท่านใหญ่ของสกุลหลีเริ่มยุ่งยากใจอีกแล้ว
“ท่านอาหลี ไม่ทราบว่าคุณหนูหลีซานเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” ฉือชั่นเห็นสีหน้าของหลีกวงเหวินฉายอารมณ์ปรวนแปรยากคาดเดา เขาจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“เตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเจ้านั่งก่อน ข้าไปดูสักหน่อย”
ฉือชั่นเพ่งสายตามองตามแผ่นหลังของเขา ถึงถอยกลับเข้าไปอยู่รวมกับคนอื่นเงียบๆ
หยางโฮ่วเฉิงลอบใช้ศอกถองสหายรักทีหนึ่งพลางกระซิบบอก “สือซี เจ้าวางท่าจริงจังเช่นนี้ ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยเลย”
ฉือชั่นถลึงตาใส่เขาก่อนเอ่ยเสียงเบา “ไม่คุ้นเคยก็ไสหัวไป”
“ขอที หนนี้ข้าต่างหากที่เป็นหัวหน้า เอ๊ะ คุณหนูหลีมาแล้ว”
สีหน้าของฉือชั่นนิ่งขึงไป เขาเหลือบมองไปทางนั้นอย่างฉับไวปราดหนึ่ง จากนั้นหลุบตาลงไม่พูดไม่จา
“พี่หยาง เป็นท่านได้อย่างไรกัน” เฉียวเจาเห็นหยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ด้านหน้าแล้วประหลาดใจอยู่บ้าง
เขาฉีกยิ้มกว้าง “ข้าอยู่ในกององครักษ์จินอู๋ ไทเฮาทรงอยากหาคนที่เชื่อใจได้ไปคุ้มครองคุณหนูหลี เลยคิดถึงข้าน่ะสิ”
ชายหนุ่มพูดพลางเบี่ยงกายออกด้านข้างเผยให้เห็นฉือชั่น
ชั่วพริบตานั้นฉือชั่นชักประหม่า เขาไม่เคยบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ยามเผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่ง นอกจากขุ่นเคืองแล้วยังแฝงความวาดหวังอยู่ในทีอย่างลับๆ
ขณะที่ปะทะกับนัยน์ตาสงบเยือกเย็นของเด็กสาว ความวาดหวังนั้นก็อันตรธานไปจนสิ้นทันควัน
“พี่ฉือ” เด็กสาวพยักหน้าเป็นเชิงทักทาย นางสบตาเขาอย่างเปิดเผย
ฉือชั่นยิ้มออกแล้ว “สมควรแก่เวลาออกเดินทางแล้ว”
เป็นอย่างนี้ไปก่อนก็ดี ตลอดทางสู่แดนใต้มีโอกาสอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำมากมาย เขาไม่เชื่อว่าเด็กสาวผู้หนึ่งจะใจแข็งเหมือนหิน
ท่ามกลางเสียงพร่ำพูดกำชับของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งและดวงตาของเหอซื่อที่มีน้ำตาคลอเบ้า เฉียวเจาก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้า จากนั้นมันก็วิ่งแล่นไปทางนอกเมืองภายใต้การอารักขาของพวกหยางโฮ่วเฉิง
หลีกวงเหวินพาหลีฮุยตามไปส่งถึงนอกประตูเมือง
“ใต้เท้าหลี พวกข้าต้องเร่งความเร็วรุดไปที่ท่าเรือชานเมืองหลวง เชิญท่านกลับไปเถอะขอรับ” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
ฉือชั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ท่านอาหลีโปรดวางใจ พวกข้าจะคุ้มครองคุณหนูหลีซานให้ดีอย่างแน่นอน”
เฉียวเจายื่นศีรษะออกมาทางหน้าต่างรถม้า โบกมือให้หลีกวงเหวินกับหลีฮุยสองพ่อลูก
หลีกวงเหวินรู้สึกได้ว่าขอบตาร้อนผ่าว แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ ชายชาตรีที่เข้มแข็งเช่นเขาย่อมแสดงออกมาไม่ได้เด็ดขาด เขาจึงลอบสูดจมูก แสร้งวางท่าสบายๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไหว้วานทุกท่านด้วย ฮุยเอ๋อร์ พวกเราไปเถอะ”
รถม้าเคลื่อนออกไปแล้ว หลีกวงเหวินเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ชะงักกึกหันกลับไปมองรถม้าที่แล่นห่างไปไกลจนตาลอย ฝ่าเท้าคล้ายถูกตรึงติดกับพื้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ ลงท้ายบุตรชายต้องเป็นคนพาเขากลับเรือนไป
จวนสกุลเจียง ในห้องหนังสือของเจียงถัง
กลิ่นหอมของน้ำชาลอยอบอวล เจียงถังกำลังพูดกำชับเจียงหย่วนเฉาเสียงเบาๆ “สือซาน คราวนี้ส่งเจ้าไปหลิ่งหนานเป็นงานสำคัญใหญ่หลวง เจ้าต้องฉกฉวยโอกาสแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ให้ได้”
คดีนองเลือดที่อารามซูอิ่งเกี่ยวข้องกับพรรคพวกกบฏของซู่อ๋อง จึงจำเป็นต้องไปสำรวจสถานการณ์ทางหลิ่งหนานซึ่งเคยเป็นอาณาเขตของซู่อ๋องจริงๆ
บุตรสาวของเขาอายุไม่น้อยและถึงวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีเข้าอยากให้สือซานลงหลักปักฐาน แต่นี่เป็นโอกาสทองที่หาได้ยาก ขอแค่หนนี้สือซานไปหลิ่งหนานสร้างผลงานได้ ถือว่าทำความดีความชอบครั้งใหญ่ ภายภาคหน้าจะมีที่ยืนอย่างมั่นคงในราชสำนัก ถึงเขาไม่อยู่แล้วสือซานก็ไม่โดนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เพทุบายพวกนั้นโค่นล้มโดยง่าย
“ท่านพ่อบุญธรรมวางใจได้ สือซานเข้าใจขอรับ”
“เข้าใจก็ดี” เจียงถังมองเจียงหย่วนเฉาอย่างพินิจ เขาพลันกล่าวยิ้มๆ “จริงสิ ข้าได้ยินว่าวันนี้เป็นวันที่คุณหนูหลีซานเดินทางสู่แดนใต้เช่นกัน”
สีหน้าของชายหนุ่มเฉยเมยยามเอ่ยขึ้น “อย่างนั้นหรือขอรับ หลายวันมานี้ข้ายุ่งอยู่กับการมอบหมายงานให้คนอื่นรับช่วงต่อเลยมิได้สนใจ”
“ฮ่าๆๆ” เจียงถังหัวเราะเสียงก้องกังวาน เขาล้วงป้ายคำสั่งจากอกเสื้อส่งให้บุตรบุญธรรม
เจียงหย่วนเฉามองป้ายคำสั่งป้ายนั้นแล้วรอยยิ้มตรงมุมปากนิ่งค้างไป เขาไม่ใคร่เข้าใจความหมายของเจียงถัง
ในกององครักษ์จินหลิน ป้ายคำสั่งอักษรฟ้าป้ายนี้มีอำนาจเหนือกว่าพวกเขาสิบสามราชองครักษ์ พูดอีกนัยหนึ่งคือเมื่อเห็นป้ายนี้แม้แต่สิบสามราชองครักษ์ก็ต้องเชื่อฟัง
“ท่านพ่อบุญธรรม?” เจียงหย่วนเฉารับป้ายคำสั่งอักษรฟ้าไว้ด้วยสองมือ เขาแสดงความฉงนสงสัยด้วยน้ำเสียงแปลกใจน้อยๆ อย่างพอเหมาะพอสม
เจียงถังหัวเราะออกมา “ไม่ได้ให้เจ้า”
เจียงหย่วนเฉาฉุกใจนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แต่ก็รู้สึกว่ามันแปลกพิลึกไปบ้าง
เจียงถังเอ่ยปากอธิบาย “เจ้าไปหลิ่งหนานจะใช้เส้นทางน้ำในช่วงแรก จึงต้องร่วมทางกับคุณหนูหลีระยะหนึ่ง ช่วยข้านำป้ายนี้มอบให้นางด้วย”
“ขอรับ” เจียงหย่วนเฉาสะกดความกังขาไว้ในใจ เขาขานตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ ทว่าเงาร่างของหลีเจากลับผุดขึ้นในห้วงความคิดอย่างช่วยไม่ได้
เด็กสาวผู้นั้นตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกับท่านพ่อบุญธรรมกันแน่ ถึงกับทำให้ท่านพ่อบุญธรรมมอบป้ายอักษรฟ้าให้นาง
เจียงถังตบแขนเจียงหย่วนเฉา “เอาล่ะ รีบไปเถอะ”
สิ้นเสียงเขาประตูห้องหนังสือถูกผลักเปิดผลัวะออก เจียงซือหร่านพุ่งเข้ามาดุจพายุหมุนลูกหนึ่ง
“หร่านราน?” เจียงถังมุ่นคิ้ว
เจียงซือหร่านวิ่งมาเร็วรี่ ส่งผลให้เหนื่อยหอบจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ นางมองชายหนุ่มที่ยืนประสานมือแวบหนึ่งก่อนจะซักถามบิดาอย่างโกรธเกรี้ยวสุดจะกล่าว “ท่านพ่อ ข้าได้ยินมาว่าท่านส่งพี่สือซานไปทางทิศใต้ เป็นความจริงใช่หรือไม่”
“ใช่”
“เพราะอะไร ท่านรู้ทั้งรู้ว่า…”
เจียงถังทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “หร่านรานน่าจะยังจำถ้อยคำที่พ่อเคยพูดเอาไว้ได้”
“ท่านพ่อเคยพูดอะไรไว้” เจียงซือหร่านขบคิดครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ทันใด นางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ “ท่านพ่อ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”
เจียงซือหร่านถอยหลังอีกหนึ่งก้าว สีหน้าของนางโกรธเคืองแกมน้อยใจ “ท่านโยกย้ายพี่สือซานไปที่อื่นเพราะข้าล่วงเกินหลีซานจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“เจ้านึกว่าพ่อแค่พูดไปอย่างนั้นเองหรือ”
ส่งสือซานไปหลิ่งหนานมิได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหลีอย่างแน่นอน แต่บุตรสาวของเขาเป็นพวกไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินก็สมควรถูกดัดนิสัยบ้าง ถ้าไม่ใช่นางไปก่อเรื่องที่ตำหนักไทเฮา ไหนเลยคุณหนูหลีต้องเดินทางลงใต้
การที่เจียงถังตกลงใจสบช่องขู่ขวัญบุตรสาวสักคราก็มาจากเป้าหมายนี้นั่นเอง
“ท่านพ่อ ข้าชักสงสัยว่าข้าเป็นบุตรสาวท่าน หรือว่าหลีซานเป็นบุตรสาวท่านกันแน่” เจียงซือหร่านปิดปาก ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทุกที
เจียงถังเห็นบุตรสาวร้องไห้ก็ใจอ่อนตามเคย เขากล่าวทอดถอนใจขึ้นว่า “เอาล่ะ หร่านราน พี่สือซานของเจ้าใกล้จะออกเดินทางแล้ว เจ้าพูดคุยกับเขาเถอะ”
“ไม่เอา! ท่านพ่อ ท่านตั้งใจจะหาแม่เลี้ยงให้ข้าใช่หรือไม่ ข้าเกลียดท่าน!” เจียงซือหร่านกระทืบเท้า หมุนกายวิ่งออกไป
เจียงถังปวดเศียรเวียนเกล้า กวาดตามองไปทางบุตรบุญธรรมซึ่งมีสีหน้าสงบนิ่ง “ยังไม่ไปง้องอนเจ้าเด็กผู้นั้นอีก”
“ขอรับ” เจียงหย่วนเฉาหันหลังก้าวออกจากห้อง
ในห้องหนังสือว่างโหรงเหรง เจียงถังถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
* ‘หอศาลาใกล้สายชล ได้ยลแสงจันทร์ก่อน’ เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อมีตำแหน่งที่ตั้งที่ดีกว่าหรือได้อยู่ใกล้ชิดกว่า ก็จะมีโอกาสดีกว่าคนอื่น