หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 359
บทที่ 359
พอเฉียวเจาเอ่ยคะยั้นคะยอ เซ่าหมิงยวนจึงกล่าวต่อไป “อันดับแรกต้องยืนยันให้ได้ว่าชาวสกุลหลีตายในกองเพลิงหรือว่าโดนสังหารก่อนเกิดไฟไหม้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงมีเหตุผลหนักแน่นพอจะสืบสวนต่อจากนี้ได้อย่างเปิดเผย”
ไม่ว่าจะเป็นเซ่าหมิงยวนหรือเฉียวเจา ต่างเชื่อในการพินิจพิเคราะห์ของเฉียวโม่ ดังนั้นทั้งคู่มั่นใจได้เกือบเต็มที่แล้วว่าชาวสกุลเฉียวโดนสังหารก่อนเกิดไฟไหม้ แต่สิ่งที่ต้องการคือหลักฐานเพื่อจับกุมฆาตกรมารับโทษทัณฑ์
เด็กสาวรับฟังเงียบๆ พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง
น้ำชาไม่อุ่นไม่เย็น ดื่มเข้าไปแล้วไม่สบายท้องสักนิด แต่นางยังดื่มทีละคำๆ จนหมดถึงกล่าวเสียงเบาว่า “แม่ทัพเซ่า ท่านพูดถูก อย่างไรก็ต้องเปิดโลงพลิกศพจึงจะไม่ติดค้างคาใจ”
“ใช่แล้ว” เซ่าหมิงยวนถอนใจเบาๆ
เฉียวเจามองเขาพลางไต่ถาม “แม่ทัพเซ่าเป็นห่วงอะไรหรือเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองทิวทัศน์สายน้ำนอกหน้าต่าง “คนใต้หล้าล้วนเคร่งครัดธรรมเนียมฝังศพให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่สุคติ แม้ข้าจะได้ถามความเห็นของพี่เฉียวโม่แล้วยังคงรู้สึกไม่สบายใจ”
หากภรรยาข้ายังมีชีวิตอยู่ จะตำหนิข้าหรือไม่…
เฉียวเจาได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ นิ่งคิดเล็กน้อยก็แจ่มแจ้งถึงความในใจเขาได้ นางเผลอหลุดปากว่า “แม่ทัพเซ่าไม่จำเป็นต้องไม่สบายใจ ฆาตกรได้รับโทษทัณฑ์ต่างหากถึงจะทำให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่สุคติอย่างแท้จริง ข้าเชื่อว่าไม่ว่าพี่ใหญ่หรืออดีตภรรยาของท่านล้วนต้องคิดเช่นนี้”
เซ่าหมิงยวนมองเด็กสาวอย่างพินิจปราดหนึ่งก่อนพยักหน้าในที่สุด “ขอบคุณคุณหนูหลีที่ปลอบใจ”
เฉียวเจาลุกขึ้น “ข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ”
เขาลุกตามไปส่งนางที่หน้าประตู
ห้องพักของชั้นนี้แบ่งเป็นสองฝั่งมีระเบียงยาวคั่นกลาง ชายหนุ่มมองดูเฉียวเจาเข้าห้องจนลับสายตาไปแล้วไม่ได้ย้อนไปหาพวกฉือชั่น แต่หมุนกายกลับห้องแล้วนอนลงบนเตียง
เรือเริ่มแล่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ สายลมพัดโชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างพร้อมกระไอความชื้นเจือกลิ่นคาวจางๆ
เซ่าหมิงยวนล้วงมือหยิบถุงผ้าแพรในอกเสื้อออกมาแล้วเอานิ้วมือเรียวยาวลูบไล้ไปมาช้าๆ
พี่เฉียวโม่บอกว่าหากมีวันหนึ่งพบกับเรื่องที่ลำบากใจหรืองุนงงสับสนอย่างมากเพราะคุณหนูหลี ก็ให้เปิดมันออกดู
ในถุงผ้าแพรนี้คืออะไรกันแน่นะ
นิ้วมือเคลื่อนไปถึงปากถุงผ้าแพรก็หยุดนิ่งอึดใจหนึ่งก่อนจะหดกลับ ทว่าสายตาเขามิได้เบนออกเลย
เขามีลางสังหรณ์อยู่อย่างหนึ่งว่าทันทีที่เปิดถุงผ้าแพรออก ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สุดท้ายเซ่าหมิงยวนเก็บถุงผ้าแพรกลับเข้าที่ตามเดิม
ดูเหมือนสภาพการณ์ในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เก็บไว้ค่อยดูภายหลังเถอะ
เมื่อเรือแล่นมาได้ราวครึ่งเดือน ขณะทุกคนเคยชินที่เจียงหย่วนเฉามาขอดื่มน้ำชาทุกวัน เขากลับแยกจากไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์ตอนเรือหยุดจอดที่ท่าเรืออวี๋สุ่ย
ฉือชั่นพูดเยาะ “สมกับเป็นองครักษ์จินหลิน แสดงความ ‘ไร้คุณธรรมน้ำใจ’ ได้อย่างถึงแก่นยิ่ง”
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ “ถึงอย่างไรเขาก็ไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าการเดินทางหลังจากนี้เป็นอิสระและสบายขึ้นมาก”
“จริงของเจ้า” ฉือชั่นชำเลืองมองเซ่าหมิงยวน เห็นเขายืนอยู่ท้ายเรือดูท่าเรือที่ห่างออกไปทุกทีอย่างไม่วางตาก็ตบไหล่เขา “คิดอะไรอยู่ หรือว่าอาลัยอาวรณ์?”
สายตาของเซ่าหมิงยวนทอดมองไปที่ไกลๆ ดุจเก่าพลางพูดพึมพำ “ข้าคิดอยู่ว่าจากอวี๋สุ่ยเขาจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่ใด”
เขาใช้ชีวิตในวัยแรกรุ่นจนกลายเป็นชายหนุ่มอยู่ในแดนเหนือซึ่งปกคลุมด้วยหิมะหนาวเหน็บ จึงไม่คุ้นเคยกับแดนใต้ที่แต่งแต้มด้วยบุปผาแมกไม้
“เรื่องนี้ใครจะรู้ได้ พวกองครักษ์จินหลินปิดปากกันสนิทนักล่ะ” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
“ข้ากลับห้องไปดูแผนที่สักหน่อย” เซ่าหมิงยวนหมุนกายเดินไปทางข้างใน
พวกฉือชั่นสาวเท้าตามไป
เซ่าหมิงยวนกางแผนที่แผ่นหนึ่งออกวางบนโต๊ะ มันกินพื้นที่โต๊ะไปถึงครึ่งหนึ่ง เป็นภาพภูมิประเทศคร่าวๆ ของอาณาเขตแดนใต้ทั้งหมด
“แม้แต่สิ่งนี้เจ้ายังนำมาด้วยหรือ” ฉือชั่นเอ่ยถามเป็นนัยๆ
เซ่าหมิงยวนบ่มเพาะสัญชาตญาณในการรบทัพจับศึกจนฝังลึกอยู่ในแก่นแท้ไปแล้ว จะไปที่ใดก็ต้องนำแผนที่ติดตัวไปด้วย
กระนั้นมันเป็นแผนที่แบบหยาบมาก เพียงแสดงชื่อของเมืองทุกเมืองกับแม่น้ำและภูเขาสำคัญๆ เท่านั้น
เฉียวเจาขยับเข้ามาดู กลิ่นไม้กฤษณาหอมอ่อนๆ รวยรินมาแตะปลายจมูกของเซ่าหมิงยวน
เขาทำท่าราวกับไม่รับรู้ เพ่งสายตามองแผนที่อย่างมีสมาธิเต็มที่ นิ้วมือเรียวยาวลากช้าๆ จากจุดที่ระบุชื่อว่า ‘อวี๋สุ่ย’ ไปหยุดอยู่ที่จุดบางจุดในที่สุด
แววตาของเฉียวเจานิ่งขึงไป
จุดที่นิ้วมือของเซ่าหมิงยวนหยุดนิ่ง…คือหลิ่งหนาน
เซ่าหมิงยวนหันไปมองเฉียวเจาโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจามองเขาอยู่แล้ว ชั่วพริบตาที่สายตาสองคู่มองสบกัน ในนั้นเต็มไปด้วยความหมายลึกล้ำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้
เขากับนางสบตากันเป็นเวลานานพอควร ฉือชั่นเลิกคิ้วสูงพร้อมกับพูดเสียงเย็นๆ “พวกเจ้าจ้องตากันพอหรือยัง”
เห็นข้ากับหยางเอ้อร์เป็นคนตายหรือไร
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืน ปั้นหน้าเฉยเมยกลบเกลื่อนความกระดากใจ “ข้าคาดเดาว่าจุดหมายปลายทางของเจียงหย่วนเฉาคือที่นี่”
ฉือชั่นมองแผนที่แวบเดียวก็หน้าซีดไปทันใด “หลิ่งหนาน?”
เขาหันขวับไปมองเซ่าหมิงยวน ไม่หลงเหลือท่าทางเอื่อยเฉื่อยตามสบายเป็นนิจให้เห็น น้ำเสียงแฝงรอยตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด “เจ้าแน่ใจหรือ”
“ข้าแค่คาดเดา พวกเจ้าดูนะ ออกเดินทางจากเมืองหลวงมาเปลี่ยนเส้นทางที่อวี๋สุ่ย จุดหมายปลายทางที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือที่นี่”
“แต่เขาอาจจะไปที่ฉีหยางก็ได้” ฉือชั่นอดโต้แย้งขึ้นไม่ได้
“หากไปฉีหยาง ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือก่อนหน้าอวี๋สุ่ยแห่งนั้นจะใกล้มากกว่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “แน่นอนว่าจะตัดความเป็นไปได้อื่นไม่ได้ ข้าเพียงสันนิษฐานตามเหตุและผลที่พึงเป็น”
ฉือชั่นจ้องมองแผนที่อยู่นานถึงพยักหน้ากล่าวด้วยสุ้มเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพูดถูก การเดินทางบนแม่น้ำเป็นเวลานานๆ มิใช่เรื่องน่าสำราญใจอะไร ว่ากันตามหลักแล้วไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งทางลัดเลือกทางอ้อม”
“สือซี ดูเหมือนเจ้าตื่นตระหนกอยู่บ้าง” ถึงเวลานี้คนหัวช้าอย่างหยางโฮ่วเฉิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้หลายส่วนแล้ว
ฉือชั่นเลิกคิ้วตวัดสายตามองเขา จากนั้นเบนหน้ามองไปทางหน้าประตู
เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูด “เยี่ยลั่วกับเฉินกวงเฝ้าอยู่ด้านนอก ไม่มีใครเข้ามาใกล้ได้”
ฉือชั่นพยักหน้า เขาไต่ถามหยางโฮ่วเฉิง “หยางเอ้อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิ่งหนานเป็นสถานที่อะไร”
“ไม่เคยไป ได้ยินว่าที่นั่นแห้งแล้งทุรกันดาร ยากจนข้นแค้น”
ฉือชั่นขมวดคิ้ว “ใครให้เจ้าบอกว่าที่นั่นยากจนหรือร่ำรวย”
“ก็ถูก จะยากดีมีจนล้วนมิใช่กงการของพวกเรา เอ๊ะ พวกเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร” หยางโฮ่วเฉิงงุนงงมากขึ้น
“ยี่สิบปีที่แล้ว หลิ่งหนานเคยมีขุนนางก่อกบฏ” ฉือชั่นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เฉียวเจามองฉือชั่นอย่างพินิจ นางลอบประหลาดใจ ฉือชั่นยังไม่ถึงวัยสวมหมวก ทั้งเป็นคุณชายสูงศักดิ์มีชีวิตสุขสบายทรงเกียรติ เหตุใดถึงสนใจเหตุกบฏหลิ่งหนานเมื่อยี่สิบปีก่อน อย่าลืมว่าขนาดในหนังสือพงศาวดารยังบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนั้นไว้สั้นๆ อย่างมิได้ให้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง
ฉือชั่นจ้องเขม็งที่คำว่า ‘หลิ่งหนาน’ บนแผนที่ราวกับมันเป็นตัวมหันตภัย
“เจียงหย่วนเฉาเป็นว่าที่บุตรเขยของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน จู่ๆ มุ่งหน้าไปหลิ่งหนานในเวลานี้…” ฉือชั่นมองไปทางเซ่าหมิงยวน “ถิงเฉวียน เจ้าว่าจะเป็นพวกกบฏซู่อ๋องเริ่มลุกฮือขึ้นอีกครั้งหรือไม่”
พวกกบฏซู่อ๋อง… คิดถึงโจรกบฏกลุ่มนี้ เขาก็อยากจะจับมาแล่เนื้อเถือหนังใจจะขาด
ในครั้งนั้นเป็นพวกกบฏซู่อ๋องนี่เองที่ปิดล้อมเขากับมารดาไว้ที่เขาหลิงไถ สุดท้ายเขาต้องอาศัยดื่มเลือดของมารดาถึงรอดชีวิตมาได้
หรือว่าหลังสุขสงบมาตั้งนานหลายปี เจ้าเดรัจฉานพวกนั้นจะกลับมาสร้างความปั่นป่วนอีก
“หลีซาน วันนั้นเจียงหย่วนเฉามาหาเจ้าด้วยเรื่องอะไร”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ เขามอบสิ่งของอย่างหนึ่งให้ข้า”