หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 361
บทที่ 361
“นี่แม่ทัพเซ่าไม่รู้หรอกว่าหลังจากท่านปู่หลี่มอบตำราแพทย์ที่เขียนขึ้นจากสิ่งที่ท่านศึกษามาทั้งชีวิตให้ข้า เคยบอกข้าว่ายามหมอผู้หนึ่งประจักษ์ว่าวิชาแพทย์ของตนไม่อาจรุดหน้าไปอีกขั้นได้ เมื่อนั้นการเรียนรู้ทักษะความเชี่ยวชาญของนักชันสูตร จะช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้แก่หมอผู้นั้นเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดจบแล้วเห็นดวงตาของบุรุษที่ก้มศีรษะมองนางอยู่ทอแววลึกล้ำ ไม่รู้ครุ่นคิดอะไรอยู่ นางก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
มิใช่เด็กหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกสักหน่อย จะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงนี้ไปด้วยเหตุใดกัน
แม่ทัพหนุ่มซึ่งไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนอีกฝ่ายติติงว่าอายุมากอยู่ในใจมองสำรวจทั้งสี่ด้านรอบหนึ่ง “แล้วเรือนของนักชันสูตรที่คุณหนูหลีอยากตามหาอยู่ที่ใด”
เฉียวเจาจำทางไปที่เรือนของนักชันสูตรผู้นั้นได้ แต่พอมีเรื่องเมื่อครู่นี้ เป็นธรรมดาที่นางจะทำพิรุธอีกไม่ได้ นางจึงบอกที่ตั้งเรือนให้เซ่าหมิงยวนฟัง “ที่ตั้งนี้เป็นท่านปู่หลี่บอกกับข้า พวกเราถามจากใครสักคนเพิ่มเติมเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้” เซ่าหมิงยวนเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะเรียกชายหนุ่มผู้หนึ่งไว้แล้วถามทาง
ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทิศทางนั้นพร้อมกับพูดสองสามคำ
“ขอบคุณมาก” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะขอบคุณแล้วพาเฉียวเจาเดินไปทางนั้น
ทั้งคู่เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่นาน ถนนเริ่มแคบลง พอเดินไปข้างหน้าต่อก็เจอสะพานโค้งแห่งหนึ่ง ในคลองมีฝูงห่านขาวว่ายผ่านไป
เมื่อข้ามสะพานไปเซ่าหมิงยวนชี้ที่ตรอกสายหนึ่งข้างร้านขายน้ำมัน “น่าจะเป็นที่นั่นแล้ว”
ตรงปากตรอกมีคนสูงวัยไม่น้อยจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ สุนัขแก่สีเหลืองตัวหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ก็เงยหน้ามองอย่างระแวดระวัง แต่เพราะมันแก่มากจริงๆ ไม่มีเรี่ยวแรงจะวิวาทกับคนแปลกหน้าเลยหมอบลงตามเดิมอย่างเกียจคร้าน
เซ่าหมิงยวนเอ่ยถามยายเฒ่านางหนึ่งอย่างสุภาพ “ท่านยาย ไม่ทราบว่าที่นี่คือตรอกอวี๋เฉียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่ขอรับ”
ชายหนุ่มที่กล่าวถามดูสุภาพมีมารยาท กิริยาท่าทางโดดเด่น ด้านยายเฒ่าเป็นผู้มีอัธยาศัยดี นางพยักหน้าถี่ๆ พลางเอ่ยตอบ “เป็นที่นี่เอง เจ้าหนุ่มเป็นคนต่างถิ่นกระมัง จะมาหาเรือนใครรึ”
“อยากถามท่านยายว่านักชันสูตรเฉียนอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ขอรับ”
พอเซ่าหมิงยวนถามคำนี้ออกมา รอบด้านเงียบกริบลงทันใด เหล่าผู้เฒ่าหยุดแทะเมล็ดแตง ดวงตาฝ้าฟางเบิกกว้างจ้องมองทั้งคู่เขม็ง บรรยากาศแปลกพิกลเป็นอันมาก
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนไม่แสดงความรู้สึกใด ยังประดับรอยยิ้มสุภาพ “ท่านยาย?”
ยายเฒ่าดึงสติคืนมา มองสำรวจชายหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่ง ค่อยพิศดูเฉียวเจาซ้ำๆ นางไม่แยแสคำพูดของเซ่าหมิงยวน พูดพึมพำกับตนเอง “สามีหนุ่มภรรยาสาวที่งดงามคู่หนึ่งเช่นนี้ ไยถึงคบค้าวิสาสะกับคนพรรค์นั้นได้นะ”
ถึงแม้เฉียวเจาจะแต่งกายแบบเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน หากในสายตาของพวกผู้เฒ่าผู้แก่ หญิงชายที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันกับสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้วนั้นย่อมเหมือนกัน
คำกล่าวของยายเฒ่าทำให้เซ่าหมิงยวนหน้าร้อนผ่าว เขาอดเหลือบมองเฉียวเจาไม่ได้ ก็เห็นว่านางมีสีหน้าสงบนิ่งท่าทางคล้ายไม่ได้ยิน
เซ่าหมิงยวนลอบขบขันตนเองที่ยังคร่ำครึกว่าแม่นางน้อยผู้หนึ่ง เขาก้มตัวไปถามซ้ำอีกครา “ท่านยาย ไม่ทราบว่านักชันสูตรเฉียนอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่รู้ๆ” ยายเฒ่าโบกมือไปมา นางคล้ายหวาดหวั่นสุดใจว่าเซ่าหมิงยวนจะถามอีก ยื่นมือสั่นเทาไปหาเขาเสียเลย “เจ้าหนุ่ม ช่วยพยุงข้าที”
เซ่าหมิงยวนย่อมไม่ปฏิเสธคำขอของหญิงชราเป็นธรรมดา เขายื่นมือพยุงนางลุกขึ้น
“ขอบใจนะ” ยายเฒ่าลุกขึ้นแล้วพักเอาแรงเล็กน้อย ค่อยเอาม้านั่งพับได้หนีบไว้ใต้วงแขนเดินงกๆ เงิ่นๆ จากไป
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนฉายแววสับสนงุนงงอยู่สักหน่อย
เฉียวเจาเม้มปากกลั้นยิ้มไว้
เขามองนางอย่างจนปัญญา จากนั้นหมุนกายเดินไปหาตาเฒ่าอีกคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าคนที่คุยเล่นกันอยู่เห็นดังนั้นก็พากันลุกขึ้นพรึบพรับ บ้างก็ยกม้านั่งบ้างก็หยิบถ้วยชาสลายตัวไปในอึดใจเดียว ปากตรอกที่คึกคักในทีแรกเหลือแค่ชายหนุ่มและเด็กสาวสองคนที่สบตากันกับสุนัขแก่สีเหลืองตัวหนึ่ง
เขากับนางมองหน้ากันตาปริบๆ
“นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพเซ่าโดนคนรังเกียจเช่นนี้กระมัง” เฉียวเจากล่าวขันๆ
เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ “ไปเถอะ”
“ไม่ถามแล้วหรือ” นางเอียงคอมองเขา
เซ่าหมิงยวนยกมือชี้ “เรือนของนักชันสูตรเฉียนน่าจะเป็นหลังที่อยู่ลึกสุดตรอกทางซ้ายมือของพวกเราโน่น”
เฉียวเจาบังเกิดความสนใจ “แม่ทัพเซ่ารู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
เขาหยักยิ้ม “คุณหนูหลีสมควรเดาได้เช่นกันกระมัง เมื่อครู่ถึงแม้คนพวกนั้นไม่บอกอะไรสักคำก็แยกย้ายกันไป แต่สายตากลับมองทางปลายตรอกโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งมีหลายคนที่ทยอยเข้าไปตามเรือนต่างๆ ในตรอกนี้ เหลือแค่สองหลังที่อยู่ตรงกันทางท้ายตรอกที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “จริงเจ้าค่ะ แต่ข้าบอกไม่ได้ว่าเรือนของนักชันสูตรเฉียนจะเป็นหลังที่อยู่ลึกสุดตรอกทางซ้ายมือหรือว่าขวามือกันแน่เจ้าค่ะ”
นางย่อมบอกได้แน่นอนเพราะเคยมา แต่นางสนใจใคร่รู้ว่าเซ่าหมิงยวนรู้ได้อย่างไร
“เดินไปพูดไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนก้าวขาเพรียวยาวเดินเข้าไปในตรอก ทางเดินอันคับแคบทำให้เขาต้องเบี่ยงกายออกด้านข้าง เว้นที่ว่างให้เด็กสาวข้างกายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ระวังเท้า” เซ่าหมิงยวนพูดกำชับ
ชาวบ้านทั่วไปเหล่านี้ไม่ตระหนักถึงการรักษาความสะอาดให้ดีอย่างเห็นได้ชัด ภายในตรอกมีขยะของเสียทิ้งไว้ไม่น้อย ตลอดจนน้ำสกปรกที่เทออกมานอกประตูด้วยความมักง่ายเป็นประจำมาเนิ่นนาน ส่งผลให้น้ำขังอยู่บนพื้นเป็นหย่อมๆ จึงจำเป็นต้องเดินด้วยความระมัดระวังตลอดเวลา
เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปกลิ่นเหม็นเน่าก็ลอยมาปะทะหน้าระลอกหนึ่งชวนให้รู้สึกอึดอัดชอบกล ครั้นไปถึงท้ายตรอกแสงสว่างก็สลัวลงราวกับเป็นคนละโลกกับนอกตรอก
เซ่าหมิงยวนหยุดฝีเท้า เขาอมยิ้มมุมปากและกล่าวอธิบายขึ้น “เหตุผลที่รู้ว่าเป็นเรือนหลังซ้ายมือเพราะข้าเห็นรูปวาดเลอะเทอะบนกำแพงนี้”
บนกำแพงสีเหลืองหม่นมีรอยขีดเขียนมั่วซั่วเละเทะ เห็นชัดว่าเป็นฝีมือของพวกเด็กซุกซนเกเร จุดที่สะดุดตาที่สุดเป็นสีแดงปื้นหนึ่ง มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรกันแน่
“ดูจากท่าทีเมื่อครู่นี้ของคนพวกนั้น นักชันสูตรเฉียนไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างเห็นได้ชัด คุณหนูหลี ท่านดูสิ กำแพงเรือนฝั่งตรงข้ามนี้สะอาดกว่ามาก แทบจะไม่มีรอยขีดเขียนเลอะเทอะพวกนี้ ฉะนั้นข้าสรุปว่าฝั่งซ้ายถึงจะเป็นเรือนของนักชันสูตรเฉียน”
คำพูดและการกระทำของเด็กจะได้รับอิทธิพลจากผู้ใหญ่อย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้พวกเขามักโหดร้ายกับคนที่ไม่ชมชอบด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และจะกลั่นแกล้งรังแกอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้าอย่างโจ่งแจ้ง
เฉียวเจาลอบคิดคำนึง ช่วงที่ผ่านมานักชันสูตรเฉียนประสบเหตุพลิกผันอันใดกัน ในครั้งนั้นตอนท่านปู่หลี่พานางมาที่นี่ยังไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ ถึงแม้พวกชาวบ้านจะยอมรับนักชันสูตรไม่ค่อยได้ แต่ส่วนมากมักหวาดกลัว ไม่ใช่เกลียดชังและโกรธแค้นเช่นนี้
“แม่ทัพเซ่ายืนอยู่ตรงปากตรอกยังมองเห็นรอยขีดเขียนพวกนี้ด้วยหรือนี่”
หนนี้แม่ทัพหนุ่มกล่าวตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “ใช่ ข้าสายตาดี”
กับสิ่งที่เป็นสีแดง เขาจะรู้สึกได้เฉียบไวเป็นพิเศษเสมอ คงเพราะอยู่ในสนามรบนานเกินไป
เขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไปเคาะประตู
เสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังสะท้อนก้องในตรอกที่คับแคบเงียบเชียบ หากแต่ประตูไม้ที่เป็นรอยกระดำกระด่างจนทั่วกลับมิได้เปิดออกเสียที
“หรือว่าไม่มีคนอยู่” เซ่าหมิงยวนอดพูดพึมพำไม่ได้ แต่มือยังเคาะประตูไม่หยุด
“เวลานี้น่าจะอยู่เรือนนะเจ้าคะ” ตรงกลางอกของเฉียวเจาละม้ายถูกปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง
ทั้งคู่มีเวลาแค่ครึ่งวัน หากนักชันสูตรเฉียนไม่อยู่เรือน เช่นนั้นจะเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว
“บางทีเขาอายุมากแล้วเลยไม่ได้ยิน” ชายหนุ่มพูดอย่างนี้พร้อมกับเคาะประตูแรงขึ้น
เสียงเคาะประตูดังปึงปัง ประตูเปิดผลัวะออก แต่เป็นประตูฝั่งตรงข้าม
สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งยืนเท้าเอวด่าทออยู่หน้าประตู “จะเคาะหาอะไร จะให้คนอื่นให้อาหารหมูเสร็จก่อนไม่ได้หรืออย่างไร”