หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 365
บทที่ 365
อาการตอบสนองของนักชันสูตรเฉียนตกอยู่ในสายตาของเฉียวเจาจนสิ้น หลังนางหายขบขันแล้วก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งขึ้น
นางยังจำได้ว่าตอนนั้นท่านปู่หลี่กับนักชันสูตรเฉียนสนทนากันได้ถูกคอมาก เมื่อคุยกันอย่างออกรสออกชาติก็จะดื่มสุรา พอดื่มจนได้ที่ท่านปู่หลี่จะร้องเพลงเสียงดัง ส่วนนักชันสูตรเฉียนจะร้องไห้ฟูมฟาย ทิ้งให้นางฟังเสียงสาปแช่งด่าทอของภรรยาเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ชั่วพริบตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว
น้ำเสียงของเฉียวเจาแฝงรอยคะนึงหา “ท่านปู่กล่าวว่าเรื่องรักษาโรคให้คนเป็น ท่านปู่คือหมอที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน แต่การรักษาความยุติธรรมให้คนตาย ท่านคือนักชันสูตรที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน ในใจท่านปู่พวกท่านคือผู้รักษาเหมือนกัน คือผู้มีสัมมาชีพเดียวกัน”
เซ่าหมิงยวนอดมองเฉียวเจาไม่ได้ ความรู้สึกขัดๆ ในใจทบทวียิ่งขึ้น
เขาแจ่มแจ้งดีว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงคุณหนูหลีกับหมอเทวดาหลี่ไม่ได้พบปะกันบ่อยนัก ถ้อยคำที่หมอเทวดาหลี่บอกกับคุณหนูหลีออกจะมากเกินไป…
ในความรู้สึกของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างหมอเทวดาหลี่กับคุณหนูหลีคล้ายกับปู่หลานคู่หนึ่งที่สั่งสมความผูกพันต่อกันมานานอย่างลึกซึ้ง
นักชันสูตรเฉียนลุกพรวดขึ้น ริมฝีปากเขาสั่นระริก “เขาเคยพูดอย่างนี้หรือ”
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ “ท่านผู้อาวุโสกล่าวไว้เช่นนี้ อีกทั้งยังคิดเช่นนี้ ท่านปู่หลี่จะเอ่ยถึงท่านอย่างชื่นชมเสมอ และกำชับข้าว่าหากวันหน้าอยากให้วิชาแพทย์รุดหน้าอีกขั้นหนึ่ง มีโอกาสต้องมาขอคำชี้แนะจากท่าน”
นักชันสูตรเฉียนมองเฉียวเจานิ่งๆ ราวกับจะมองนางจนกว่าจะเห็นดอกไม้ผุดออกมา
ฉือชั่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ เขาคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็มิได้ปริปาก
ผ่านไปเป็นนาน นักชันสูตรเฉียนเหยียดมุมปากออก “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคือหลานสาวของหลี่เจินเฮ่อ”
ดวงตาขุ่นมัวของเขาปรากฏแววฉงนอยู่หลายส่วน “ปีนั้นหลี่เจินเฮ่อพาแม่หนูเฉียวมา เคยบอกกับข้าว่าเขาจะให้นางเป็นผู้สืบทอดของเขา จะว่าไปแล้วแม่หนูเฉียวน่าจะเป็นศิษย์พี่ของเจ้า บัดนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง มีบุตรแล้วหรือยัง”
เซ่าหมิงยวนหน้าเผือดลงเล็กน้อย
ใบหน้าของเฉียวเจาปรากฏแววเสียดายจางๆ “ศิษย์พี่ก็จากไปแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาของนักชันสูตรเฉียนเบิกกว้างขึ้นอีกหลายส่วน “จากไปแล้ว? ขณะนี้นางเพิ่งยี่สิบปีกระมัง ไฉนจากไปแล้ว หรือว่าตายจากการคลอดยาก”
คนอายุยี่สิบปีเป็นช่วงที่กำลังเลือดลมสมบูรณ์ที่สุด จึงเจ็บไข้ได้ป่วยน้อย ความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับสตรีก็คือไม่อาจก้าวข้ามด่านคลอดลูกซึ่งเปรียบดั่งการผ่านประตูผีได้
เฉียวเจาเหลือบมองเซ่าหมิงยวนอย่างอดใจไม่อยู่ จึงเห็นริมฝีปากของเขาขาวซีดบ่งชัดว่าจิตใจเขาย่ำแย่อย่างมาก นางขานตอบคำหนึ่งอย่างกำกวมแล้วไม่กล่าวอะไรต่ออีก
“มิน่าหลี่เจินเฮ่อถึงรับเจ้าเป็นหลานสาวบุญธรรม” นักชันสูตรเฉียนปรือตาขึ้นมองพวกเขา “ข้าเคยสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่เป็นนักชันสูตรอีกสืบไป พวกเจ้าบอกมาก่อนว่ามาหาข้าเพื่ออะไร”
เฉียวเจาเบาใจขึ้นเล็กน้อย นักชันสูตรเฉียนพูดคำนี้แสดงว่านางมีความหวังแล้ว
เซ่าหมิงยวนแนะนำตนเองก่อนกล่าวต่อท้ายว่า “หนนี้ข้ามาเซ่นไหว้ครอบครัวของท่านพ่อตา และคิดจะฉวยจังหวะนี้สืบสาเหตุการตายที่แท้จริงของพวกท่านขอรับ”
“แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดเจ้าถึงช่วยเขา” นักชันสูตรเฉียนไต่ถามเฉียวเจา
“ข้าจะช่วยพี่ชายบุญธรรมเจ้าค่ะ ข้านับถือคุณชายเฉียวเป็นพี่ชายบุญธรรม ดังนั้นไม่อาจนิ่งเฉยดูดายกับเรื่องของสกุลเฉียว”
“ด้วยเหตุนี้แม่เด็กน้อยเลยคิดถึงข้ารึ”
“เจ้าค่ะ”
นักชันสูตรเฉียนนั่งอยู่บนพื้นมองไปที่ไกลๆ ในสายตาเขาเมืองไถสุ่ยหดเล็กลงและพร่าเลือน
เขานึกถึงเสียงติเตียนว่าร้ายและดูแคลนของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง นึกถึงความไม่เข้าใจและโกรธเกลียดของบุตรชายกับลูกสะใภ้ ตลอดจนคำซุบซิบนินทาที่เหลวไหลน่ากลัวพวกนั้น
หลี่เจินเฮ่อกล่าวว่าพวกเขาคือผู้มีสัมมาชีพเดียวกัน
หากว่าผู้คนทั่วหล้าคิดเฉกเดียวกับหลี่เจินเฮ่อ ใช่หรือไม่ว่าเขาจะไม่กลายเป็นเช่นนี้ เขาทำงานที่คลุกคลีกับคนตาย แต่เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เขาเพียงอยากทำให้ดีกว่านักชันสูตรคนอื่น ไฉนจึงไม่เป็นที่ยอมรับของใต้หล้าเล่า
น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาทางหางตาของนักชันสูตรเฉียน เขาหลับตาลงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากเจ้าผ่านการทดสอบของข้าได้ เช่นนั้นข้าจะตามพวกเจ้าลงเขา”
เพราะนักชันสูตรเฉียนหลับตาอยู่ จึงไม่รู้ว่าเขากล่าวประโยคนี้กับใคร
เซ่าหมิงยวนเอ่ยขึ้น “ท่านเฉียนโปรดบอกมาได้เลยว่าจะให้ทำอะไร ข้าเต็มใจรับการทดสอบขอรับ”
นักชันสูตรเฉียนลืมตาพรึบ เขากวาดสายตามองชายหนุ่มอย่างเย็นชา เหยียดมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้”
จากนั้นเขาจึงยกมือชี้ไปที่เฉียวเจา “ข้าจะทดสอบนาง”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
“ท่านเฉียน พวกข้าเป็นบุรุษสามคนอยู่ตรงนี้ แต่ท่านจะให้เด็กสาวผู้หนึ่งอย่างนางรับการทดสอบ ท่านมีจุดประสงค์ใดแอบแฝงไว้กันแน่” ฉือชั่นกล่าวเสียงกระด้าง
“นั่นน่ะสิ ท่านอยากทดสอบอะไรก็ให้พวกข้าเอง นางเป็นเด็กสาวผู้หนึ่งจะได้ที่ใดกัน” หยางโฮ่วเฉิงพูดหนุนขึ้น
เซ่าหมิงยวนรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นกัน เขาเม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง
“พวกเจ้า?” นักชันสูตรยิ้มเยาะโดยไม่ไว้หน้าสักน้อยนิด “นางคือหลานสาวของหลี่เจินเฮ่อ เป็นคนที่จะสืบทอดวิชาของเขา ส่วนพวกเจ้าเป็นอะไรกับหลี่เจินเฮ่อรึ”
ชายหนุ่มเต็มตัวสามคนอึ้งงันไปกับคำถามนี้ พวกเขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์ในชั้นนี้กับหมอเทวดาหลี่แน่นอน
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้เป็นอะไรกับหลี่เจินเฮ่อ แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร อาศัยอะไรให้โอกาสพวกเจ้ารับการทดสอบ”
“ท่านเฉียน ท่านโปรดบอกมาได้เลยว่าเป็นการทดสอบอะไร” เฉียวเจายิ้มอย่างอ่อนหวาน “จะทดสอบอะไร ข้าพร้อมรับทั้งหมดเจ้าค่ะ”
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แม่เด็กน้อยตรงไปตรงมาดี มิน่าหลี่เจินเฮ่อถึงถูกตาเจ้า”
เขาพูดพลางชายตามองพวกเซ่าหมิงยวน กล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “เทียบกับเจ้าหนุ่มที่พูดพล่ามไม่หยุดสามคนนี้แล้วดีกว่าเป็นก่ายกอง”
ชายหนุ่มสามคนต่างอึ้งงัน “…” ไม่มีการเปรียบเทียบย่อมไม่เห็นความแตกต่างโดยแท้
“ท่านโปรดบอกได้เลย”
“การทดสอบนี้ทำตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอตอนบ่าย”
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วรีบสั่นศีรษะ “คุณหนูหลี ไม่ได้นะ ตอนบ่ายเรือน่าจะออกจากท่าแล้ว”
นักชันสูตรเฉียนมองไปทางหยางโฮ่วเฉิง “เหตุใดรึ รอไม่ได้?”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นปึ่งชาสุดจะเปรียบในอึดใจเดียว เขากล่าวอย่างรำคาญ “เช่นนั้นก็รีบไสหัวไปให้หมด อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา”
“รอได้” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอย่างเฉียบขาด เขามองออกว่าชายชราตรงหน้าไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น หากมิใช่คุณหนูหลีเอ่ยถึงถ้อยคำของหมอเทวดาหลี่ประโยคนั้นทำให้เขาประทับใจ เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสรับการทดสอบนี้
“ถิงเฉวียน…” หยางโฮ่วเฉิงเปล่งเสียงเรียก
เซ่าหมิงยวนทำสีหน้าสงบนิ่ง “ฉงซาน สือซี พวกเจ้ากลับไปก่อน เรือสมควรออกเวลาใดก็ออกเวลานั้น ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณหนูหลี รอกระทั่งผ่านการทดสอบของท่านเฉียนแล้ว ข้าจะพาทั้งสองคนเร่งเดินทางไปรอพวกเจ้าที่ท่าเรือถัดไป”
นักชันสูตรเฉียนแค่นเสียงเยาะ “เจ้าหนุ่มคุยเขื่องไม่น้อย มั่นใจหรือว่าแม่เด็กน้อยจะผ่านการทดสอบได้แน่นอน”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้าย่อมเชื่อใจนางเป็นธรรมดาขอรับ”
หยางโฮ่วเฉิงเห็นนักชันสูตรเฉียนทำสีหน้าไม่แยแสแล้วถอนใจเฮือก “ตกลง พวกข้าจะไปรอพวกเจ้าที่ท่าเรือถัดไป สือซี พวกเราไปกันเถอะ”
“ไม่ได้”
“เอ๊ะ?”
“พวกเราต่างได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองคุณหนูหลี จะมอบให้เป็นหน้าที่ของถิงเฉวียนผู้เดียวไม่ได้ อย่างไรก็ต้องมีคนหนึ่งอยู่ด้วยกระมัง” ฉือชั่นถามหยางโฮ่วเฉิงด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เจ้าอยู่หรือข้าอยู่” หยางโฮ่วเฉิงลูบจมูก “แค่กๆ ต้องเป็นเจ้าอยู่แน่นอน”
“พวกเจ้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว?” นักชันสูตรเฉียนเอ่ยถาม
เมื่อได้รับคำตอบแน่ชัดแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากพื้น “ข้าจะชำระกาย แต่คนอายุมากแล้วทำเองไม่ไหว พวกเจ้าสามคนใครจะมาช่วยข้า”
“ข้าเองขอรับ” ด้วยหวั่นใจว่าชายชราจะให้เฉียวเจาช่วยกระทั่งเรื่องชำระกาย เซ่าหมิงยวนจึงพูดขึ้นทันที