หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 367
บทที่ 367
สำหรับฉือชั่นกับคุณหนูหลีนั้น เซ่าหมิงยวนหวังให้ทั้งสองได้ครองคู่กัน
เขาแจ่มแจ้งดีว่าชาตินี้ตนเองไร้วาสนากับคุณหนูหลี เช่นนั้นแทนที่ภายภาคหน้านางจะออกเรือนไปกับคนที่ไม่รู้จักนิสัยใจคออย่างถ่องแท้ มิสู้แต่งงานกับสหายรักของเขาจะดีกว่า อย่างน้อยฉือชั่นต้องดีกับนางมาก และไม่ทำให้เรือนหลังวุ่นวายยุ่งเหยิง
เขาเสียใจหรือไม่นั้น ย่อมต้องเสียใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง แต่ว่ามีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี พบเจอเรื่องที่เจ็บปวดแทบขาดใจมามากมาย ดูเหมือนจะชาด้านไปแล้วเหมือนกัน
“อยู่นิ่งๆ สิ ข้าดูให้”
เสียงนุ่มนวลของเด็กสาวที่ดังลอยมามีอานุภาพปลอบประโลมใจคนได้ เซ่าหมิงยวนเบือนหน้าไปมองเงียบๆ อย่างสุดจะห้ามใจ
เฉียวเจาหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งจากถุงผ้าปัก เข็มเงินเรียวยาวเปล่งประกายวาววับใต้แสงอาทิตย์
ฉือชั่นยิ้มฝืดๆ “หลีซาน เจ้าจะทำอะไร”
นางมิได้ละสายตาจากตาซ้ายของเขาตลอดเวลา มือจับเข็มไว้พร้อมกับเอ่ยอธิบาย “เหล็กในฝังอยู่ในผิว ต้องบ่งมันออกมา”
ครั้นเห็นแววลังเลในดวงตาเขา นางจึงพูดปลอบ “ถ้าท่านไม่ขยับ จะบ่งออกได้เร็วมาก”
ฉือชั่นกะพริบตา “เจ้าลงมือเถอะ”
“พี่ฉืออดทนสักนิดนะเจ้าคะ”
เมื่อเด็กสาวขยับเข้ามาใกล้ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา
เขาแอบสูดจมูกก็ดมกลิ่นออกว่าเป็นไม้กฤษณาชั้นดี เขาเลื่อนสายตาลงไปที่ท่อนแขนของเด็กสาว เห็นสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาสวมอยู่รอบข้อมือเรียวเล็กขาวกระจ่าง ดูจากสีสันแล้วสร้อยลูกประคำเส้นนี้เป็นของเก่าพอสมควร
มันมาจากที่ใด ฉือชั่นขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เขาถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ เป็นธรรมดาที่จะหูตากว้างขวาง สร้อยลูกประคำเส้นนี้ทำจากไม้กฤษณาชั้นเลิศ ต่อให้เป็นราชสำนักก็มีอยู่ไม่กี่เส้นที่พอจะเทียบเคียงมันได้ ดังนั้นสร้อยลูกประคำอย่างนี้ไม่ใช่ของจวนสกุลหลีอย่างเด็ดขาด
ใครกันที่มอบของล้ำค่าหายากเช่นนี้ให้หลีซาน
“เสร็จแล้ว ยังเจ็บหรือไม่เจ้าคะ” ระหว่างที่ฉือชั่นปล่อยใจลอยไปไกล เฉียวเจาบ่งเหล็กในออกมาได้แล้ว นางเห็นเขายังไม่เลิกขมวดคิ้ว จึงเปล่งเสียงไต่ถามขึ้น
“เจ็บ” ฉือชั่นดึงความคิดคืนมา เขามองเฉียวเจาตาปริบๆ
รูปหน้าของเขางามคมคายหาที่เปรียบมิได้ ยามนี้แม้ดวงตาข้างหนึ่งจะบวมอยู่ กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าขี้เหร่ชวนขัน มีเพียงนึกเสียดาย
ยามบุรุษรูปงามไม่แสดงกิริยาท่าทางกระด้างก้าวร้าวออกมาแล้ว นัยน์ตาของเขาใสบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อย
เฉียวเจาหยิบตลับใบเล็กๆ ขนาดไม่ต่างจากเล็บมือมากเท่าใดจากถุงผ้าปัก เปิดออกแล้วใช้ปลายเล็บเขี่ยยาขี้ผึ้งสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยแล้วทาลงบนเปลือกตาซ้ายของฉือชั่นเบาๆ
นิ้วมือของเด็กสาวนุ่มนิ่ม เมื่อยาขี้ผึ้งซึมซาบไปตามผิวทีละน้อยก็รู้สึกเย็นๆ ตรงเปลือกตา พาให้อาการปวดบวมแสบร้อนบรรเทาลงทันใด
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฉือชั่นพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว”
เขาเก็บงำแววหวานซึ้งในดวงตาไว้สุดกำลัง แสร้งวางท่านิ่งเฉยด้วยหวาดหวั่นใจว่าจะทำให้เด็กสาวที่ยอมเข้ามาใกล้ชิดตนอย่างไม่ง่ายดายตกใจหนีไป
เฉียวเจาไม่ได้เก็บตลับใบเล็กกลับที่เดิม แต่วางลงกลางฝ่ามือเขา “พี่ฉือเก็บไว้ทาเถอะ วันละสามครั้ง”
“ข้าไม่มีคันฉ่อง มองไม่เห็นนะ” ฉือชั่นกล่าว
“เป็นอย่างนี้หรือเจ้าคะ” แพขนตาดกหนาของเด็กสาวขยับทีหนึ่ง ราวกับผีเสื้อจำศีลกระพือปีกกะทันหัน สะกิดหัวใจคนให้คันยุบยิบ
“ใช่สิ ไม่มีคันฉ่อง เกิดทาถูกลูกตาจะทำอย่างไรล่ะ” มุมปากของฉือชั่นโค้งขึ้นเล็กน้อย เขารำพึงในใจ เช่นนี้หลีซานก็ต้องช่วยทาให้ข้าทุกครั้งแน่
เฉียวเจาหลุบตาลง “จริงของพี่ฉือเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นนางหยิบตลับยาจากมือฉือชั่น ชูมือขึ้นโยนไปให้เซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า ท่านเก็บยาขี้ผึ้งตลับนี้ไว้นะ จะได้ช่วยทาให้พี่ฉือภายหลัง”
ฉือชั่นทำหน้าเบ้ ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทีนี้กระทั่งตลับยาที่ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ไม่มีแล้ว
เขาเดินปราดๆ ไปที่ข้างกายเซ่าหมิงยวนหยิบตลับยาคืนไป ส่งเสียงไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนพูด “ช่างเถอะ ไม่รบกวนคนอื่นแล้ว ถึงเวลาข้าใช้ลำธารแทนคันฉ่องก็ได้”
เซ่าหมิงยวนยิ้มขันๆ แต่มิได้เปิดโปงลูกไม้ของสหายรัก
ชายหนุ่มมือไม้ว่องไว ไม่นานนักก็ก่อกองไฟตรงหน้ากระท่อมเสร็จ กลิ่นหอมยวนใจของเนื้อย่างฟุ้งกระจายไปทั่ว
“ไม่มีเกลือแล้วกินได้หรือไม่” ฉือชั่นจ้องเนื้อกระต่ายที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองพลางถาม
เซ่าหมิงยวนเอาน้ำผึ้งทาเนื้อกระต่ายจนทั่วแล้วกล่าวยิ้มๆ “กินกล้อมแกล้มไปเถอะ”
ฉือชั่นลุกขึ้นเดินไปที่กระท่อม “นักชันสูตรเฉียน มีเกลือหรือไม่”
ชายชรายื่นศีรษะออกมาสูดจมูกแรงๆ “หอมเหลือเกิน เอาเสื้อผ้ามาให้ข้าเร็วเข้า”
“ท่านบอกก่อนว่ามีเกลือหรือไม่ ไม่มีเกลือจะกินอย่างไร” ฉือชั่นยืนนิ่งไม่ขยับ
“มี” นักชันสูตรเฉียนหดศีรษะกลับไป ไม่ถึงชั่วครู่ก็ชะโงกออกมาอีกและยื่นชามสกปรกๆ ใบหนึ่งส่งให้ ในนั้นมีบางอย่างเป็นเม็ดสีขาวอมเทาผสมปนเปกับใบหญ้ากรวดทราย
“นี่คือเกลือหรือ” ฉือชั่นพูดเสียงหลง
“ไม่ใช่เกลือแล้วเป็นอะไร รีบเอาไปให้เจ้าหนุ่มนั่น จากนั้นหยิบเสื้อผ้ามาให้ข้าไวๆ ข้าจะออกไปกินเนื้อ”
ฉือชั่นไม่ได้รับชามไว้ เขาหมุนกายไปเห็นเซ่าหมิงยวนทำงานง่วนอยู่ จึงเดินไปตรงก้อนหินใช้สองนิ้วคีบอาภรณ์ที่ผึ่งแดดไว้ไปโยนส่งให้นักชันสูตรเฉียน
“ไม่มีเกลือ” ฉือชั่นนั่งลงข้างๆ สหายรัก ถ้าต้องใช้เกลือสกปรกถึงเพียงนั้น เขาขอไม่กินดีกว่า
“ทาน้ำผึ้งช่วยเพิ่มรสชาติได้บ้าง” เซ่าหมิงยวนพูดพลางหักส่วนหัวของพืชชนิดหนึ่งแล้วเอาน้ำที่ซึมออกมาทาบนเนื้อย่าง “น้ำในหัวของเจ้าต้นนี้มีรสเค็มๆ ทาเนื้อย่างน่าจะกินได้”
ฉือชั่นมองเซ่าหมิงยวนอย่างกระดากใจ เขาพูดเสียงอุบอิบ “เจ้าไปเรียนวิธีย่างเนื้อมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“แค่ทำบ่อยๆ ก็รู้ไปเอง”
นักชันสูตรเฉียนเข้ามาร่วมวง “เสร็จแล้วหรือยัง”
เซ่าหมิงยวนส่งกระต่ายย่างตัวหนึ่งไปให้ “กินได้แล้วขอรับ”
นักชันสูตรเฉียนรับมากัดคำโตๆ ทันทีโดยไม่สนใจว่าจะลวกปาก เขากลืนลงคอแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “อร่อย”
ฉือชั่นเขยิบไปด้านข้าง เม้มมุมปากพลางข่มใจไว้
เซ่าหมิงยวนหมุนไม้เสียบทีหนึ่งแล้วถามเฉียวเจา “คุณหนูหลี ท่านจะกินเนื้อกระต่ายหรือไก่ย่าง”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ขอน่องไก่ให้ข้าชิ้นเดียวก็พอเจ้าค่ะ”
เดิมทีนางนึกว่าไก่ย่างในป่าไผ่ที่วัดต้าฝูมื้อนั้นจะกลายเป็นความทรงจำไปตลอดกาล คิดไม่ถึงว่าจะได้กินอีกครั้งในเวลาอันสั้นเฉกนี้
บอกตามตรงว่านางก็คิดถึงมันอยู่สักหน่อย
เซ่าหมิงยวนยื่นน่องไก่ที่ย่างสุกแล้วส่งให้นาง ถึงกินเนื้อส่วนที่เหลือกับฉือชั่น
หลังกินจนอิ่มหนำ นักชันสูตรเฉียนเอาแขนเสื้อเช็ดปาก พูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “กินกันเสร็จแล้วก็ตามข้าไปเถอะ”
เฉียวเจารู้ว่าการทดสอบนางกำลังจะเริ่มขึ้น
ทั้งสามติดตามนักชันสูตรเฉียนลงเขาเดินเท้าตลอดทางเข้าเมือง ตอนเขาหยุดฝีเท้าสีหน้าของพวกเฉียวเจาสามคนก็แปรเปลี่ยนไป
นักชันสูตรเฉียนพาพวกเขามาที่โรงทึมหรือนี่
โรงทึมคือสถานที่สำหรับตั้งโลงศพชั่วคราวโดยเฉพาะ
“นักชันสูตรเฉียน?” ยามเฝ้าประตูเห็นเขาแล้วผุดลุกขึ้นทันควัน “โธ่ ในที่สุดท่านก็ยินยอมมาเสียที”
“เสี่ยวลิ่วอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
“อยู่ๆ เพิ่งมาถึงไม่นานพอดี”
นักชันสูตรเฉียนไม่กล่าวอะไร เขามาเวลานี้เพราะคะเนว่าเสี่ยวลิ่วต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ยามเฝ้าประตูเอี้ยวคอไปตะเบ็งเสียงบอก “เสี่ยวลิ่ว อาจารย์ของเจ้ามาแล้ว”
ไม่นานนักมีชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งออกมา ทันทีที่เขาเห็นนักชันสูตรเฉียนก็ทำหน้าตื้นตัน “อาจารย์ ท่าน…”
นักชันสูตรเฉียนโบกมือไปมา “เข้าไปแล้วค่อยคุยกัน”