หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 369
บทที่ 369
ศพในสภาพน่ากลัวน่าขยะแขยงถึงขีดสุดปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาทุกคน
ชั่วพริบตานั้นมันสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่ฉือชั่นเกินไป เขาทนไม่ไหวในที่สุดจนถึงกับวิ่งออกไปเกาะเสาระเบียงแล้วอาเจียนออกมา
เซ่าหมิงยวนอดใจไม่อยู่ ก้าวเข้าไปมองเฉียวเจาอย่างห่วงใย
นางยืนอยู่ข้างศพที่มีสภาพน่าสะพรึงกลัวนั่น ทนรับความรู้สึกทารุณจิตใจทั้งทางสายตาทั้งการดมกลิ่นโดยตรงที่สุด
เด็กสาวโฉมงามน่ารักน่าชังกับศพน่าเกลียดน่ากลัว เป็นภาพที่กระทบกระแทกใจเซ่าหมิงยวนอย่างรุนแรงในเสี้ยวขณะนี้เฉกเดียวกัน
เขาอดคิดไม่ได้ว่า คุณหนูหลีเป็นเด็กสาวเช่นใดกันนะ เพราะอะไรจึงทำได้ถึงขั้นนี้ จริงหรือว่าแค่เพื่อพี่เฉียวโม่…หรือหมอเทวดาหลี่
เขานึกไปถึงถุงผ้าแพรตรงกลางอก เพราะเขากลัวทำหายโดยไม่ตั้งใจเลยเก็บอยู่ในอกเสื้อติดตัวไว้ตลอด
บางทีน่าจะลองดูว่าในถุงผ้าแพรใส่อะไรไว้กันแน่ ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวของเซ่าหมิงยวน
นักชันสูตรเฉียนเดินเข้ามองศพอย่างจดจ่อ เขามองตาไม่กะพริบอย่างเอาจริงเอาจังมาก ราวกับตรงหน้าไม่ใช่ศพที่เน่าเปื่อยบวมอืด แต่เป็นงานศิลปะงดงามน่าอัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง
เฉียวเจาลอบมองชายชราอย่างพินิจ รำพึงในใจว่า ดังคำกล่าวว่าทุกศาสตร์วิชาล้วนมีทักษะเฉพาะทาง บางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ ท่านเฉียนถึงกลายเป็นนักชันสูตรที่เก่งที่สุดในแผ่นดินกระมัง
กลิ่นเหม็นเน่าของศพชำแรกเข้าสู่โพรงจมูกของเด็กสาวไม่ขาดสาย นางฝืนทนไว้ไม่ขยับกายออก
นักชันสูตรเฉียนบอกว่าการทดสอบที่แท้จริงยังไม่เริ่มต้นขึ้น นางพอเดาได้เลาๆ แล้วว่าการทดสอบต่อจากนี้คืออะไร
มันจะเป็นบททดสอบที่หนักหน่วงยากเย็นโดยแท้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะถอยหลังไม่ได้ นางถอยเพียงก้าวเดียว บิดามารดาและญาติพี่น้องจะไม่ได้รับความยุติธรรมไปชั่วนิรันดร์
“เสี่ยวลิ่ว หยิบถุงมือคู่หนึ่งมาให้คนผู้นี้สิ” นักชันสูตรเฉียนยืดตัวขึ้น
เสี่ยวลิ่วหยิบถุงมือมาคู่หนึ่ง สายตาของเขามองเซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสลับไปมา ไม่แน่ใจว่าจะส่งถุงมือให้ใครดี
เฉียวเจายื่นมือรับมันมา “ขอบคุณมาก”
เสี่ยวลิ่วมองไปทางนักชันสูตรเฉียน
เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองเฉียวเจาด้วยแววตาอ่อนแสงลงเล็กน้อย
เสี่ยวลิ่วทำหน้าเหลือเชื่อ
อาจารย์คงไม่ได้ให้แม่นางผู้นี้เป็นคนพลิกศพกระมัง
เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้จริงๆ!
เฉียวเจาสวมถุงมือแล้วเป็นฝ่ายถามขึ้น “ท่านเฉียน ข้าควรทำอะไรบ้างเจ้าคะ”
ในเมื่อหนีไม่พ้น มิสู้รีบทำรีบปลดเปลื้องจากมันเป็นการดี
“เจ้าไม่กลัวรึ” นักชันสูตรเฉียนกลับไม่รีบออกคำสั่ง เขาพินิจดูเฉียวเจาอย่างสนใจครามครัน
เด็กสาวฝืนยิ้ม “กลัวหรือไม่กลัว การทดสอบก็ไม่เปลี่ยนแปลงเจ้าค่ะ”
นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ จะไม่กลัวได้เช่นไร ไม่ใช่แค่กลัว ยังขยะแขยงถึงที่สุด
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าตรวจดูที่มือของศพให้ทั่ว และเล่าสิ่งที่เห็นอย่างละเอียดไปด้วย”
เฉียวเจาหน้าซีดเผือด แม้แต่จะสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ก็ยังทำไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนี้จะได้กลิ่นศพน่าคลื่นไส้
ชะรอยว่าท่าทีที่นางเอ่ยขอถุงมือมาสวมเองทำให้นักชันสูตรเฉียนพึงพอใจอยู่มาก เขาเห็นนางนิ่งเฉยไปชั่วขณะก็มิได้ด่าทอทันที เพียงจับจ้องนางตาเขม็ง
เด็กสาวหลุบตาลงเพ่งมองมือของตนเอง
เสี้ยวเวลานี้เองเซ่าหมิงยวนบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากพานางออกไปโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น
มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ นางถึงต้องบีบคั้นตนเองถึงขั้นนี้
เฉียวเจายื่นมือไปจับมือของศพขึ้นมา นางไม่อาจบรรยายความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยมือออกมาเป็นคำพูด แต่รู้ว่าคงลืมไม่ลงไปตลอดชาติ
ฉือชั่นเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ข้างในแล้วหน้าเปลี่ยนสีอย่างสุดระงับ
เซ่าหมิงยวนยื่นมือฉุดสหายรักไว้พร้อมกับสั่นศีรษะ
ฉือชั่นจ้องมองนักชันสูตรเฉียนด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ไฉนเขาถึงได้…”
เซ่าหมิงยวนถอนใจเบาๆ “สือซี หากเจ้าทนไม่ไหวก็รออยู่ด้านนอกเถอะ”
ฉือชั่นส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนาง”
พวกเขาต่างไม่กล่าววาจาต่อ เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวก็ดังขึ้น “มือบวมพองมีรอยจ้ำเขียวๆ แดงๆ ผิวภายนอก…”
“ดูเล็บของศพ”
เฉียวเจาฝืนข่มอาการคลื่นเหียน ตรวจดูอย่างละเอียด “เล็บไม่ยาว น่าจะเพิ่งตัดไม่นาน ดูสะอาดสะอ้านมาก…”
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้า พลางชี้ไปที่ปากศพ “งัดเปิดออกดู”
พอเห็นเฉียวเจายืนนิ่งๆ เขาบอกเสียงดังขึ้นอย่างหงุดหงิดมาก “เร็วๆ!”
เฉียวเจายื่นมือไปแตะปากศพ บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราย ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าหิมะ
อึดใจต่อมาเสียงของนางดังขึ้น ฟังกระจ่างชัดเจนอยู่ในห้องเย็นเยือกหม่นสลัวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นร้ายกาจ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้ สำหรับเซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นแล้วดูเหมือนจะไม่เคยรู้สึกว่ายากทานทนถึงเพียงนี้มาก่อน ในที่สุดก็ได้ยินนักชันสูตรเฉียนเอ่ยสั่ง “พอแล้ว”
พวกเขามองไปทางเฉียวเจาพร้อมกัน
เด็กสาวยืนหลังตรงดุจเก่า แต่อาภรณ์เปียกชุ่มด้วยเหงื่อละม้ายช้อนตัวขึ้นจากน้ำ
นางต้องออกแรงอยู่บ้างถึงถอดถุงมือออกได้
นักชันสูตรเฉียนมองนางแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “อยากอาเจียนล่ะก็ออกไปได้เลย”
เฉียวเจาส่ายหน้า
เขาดึงสายตากลับไปมองเสี่ยวลิ่ว
“อาจารย์ ท่านตรวจพบอะไรหรือไม่ขอรับ”
“คนผู้นี้ถูกผลักลงไปในน้ำหลังเสียชีวิต”
เสี่ยวลิ่วตกใจอยู่สักหน่อย “ท่านดูออกจากตรงที่ใดขอรับ”
ไม่ใช่แค่เสี่ยวลิ่วที่ตกตะลึงมาก กระทั่งเซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นก็ยากจะเก็บงำความประหลาดใจไว้ได้ดุจเดียวกัน มีเพียงเฉียวเจาซึ่งได้ลงมือตรวจสอบเมื่อครู่นี้ยืนหลุบตาลง นางประจักษ์แจ้งอะไรบางอย่างได้รางๆ แล้ว
“เวลาที่คนเราจมน้ำจะกระเสือกกระสนสุดแรงเกิดตามสัญชาตญาณ ดังนั้นจะต้องมีเศษดินทรายใบหญ้าติดอยู่ตามซอกเล็บ ทว่าเล็บของศพนี้สะอาดมาก…” นักชันสูตรเฉียนกล่าวจาระไนให้ฟังอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ภายในห้องที่เย็นเยือกสลัวรางนี้ ใบหน้าของชายชราหยาบกร้าน อาภรณ์บนกายเก่าขาดมอซอ แต่เขาเป็นเหมือนผู้ครองความเป็นใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ ความเชื่อมั่นในตนเองแผ่ซ่านออกมาอย่างเต็มที่
เฉียวเจาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ลืมเลือนแม้กระทั่งความรู้สึกคลื่นไส้ที่ถั่งโถมเข้าใส่ไปได้ชั่วคราว
นักชันสูตรเฉียนเริ่มกล่าวจากจุดสังเกตที่มือ ต่อจากนั้นสาธยายส่วนที่ให้เฉียวเจาตรวจดูไปตามลำดับ ทั้งเป็นการบอกให้เสี่ยวลิ่วฟังและบอกให้เฉียวเจาฟังด้วย
พูดจบเขากวาดตามองเด็กสาวปราดหนึ่งก่อนหันหน้าไปถามเสี่ยวลิ่ว “เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวลิ่วพยักหน้าด้วยสีหน้าเลื่อมใส “เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์ เพราะอย่างนี้ถึงต้องให้ท่านออกโรง เมื่อวานข้าดูอยู่ครึ่งค่อนวันก็มองอะไรไม่ออก”
นักชันสูตรเฉียนแค่นหัวร่อ
“อาจารย์ แล้วท่านตรวจสอบสาเหตุการตายของคนผู้นี้ได้หรือไม่” เสี่ยวลิ่วสบช่องถาม
ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ขึ้นเขาไปวันละหลายๆ รอบ ตอนแรกเขาเลิกหวังไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะลงเขามา
“คนผู้นี้ขาดอากาศหายใจตาย”
เสี่ยวลิ่วเบิกตากว้าง “อาจารย์ดูออกได้อย่างไรขอรับ ข้าตรวจดูบริเวณลำคอแล้วไม่พบร่องรอย”
“เจ้าดูรอยช้ำในปากกับจมูก ยังมี…” นักชันสูตรเฉียนใช้แหนบคีบเส้นด้ายเส้นหนึ่งออกมาทางปากศพ “เจ้าดูสิว่านี่คืออะไร”
“นี่คือ…” เสี่ยวลิ่วกะพริบตาปริบๆ แล้วทำหน้านิ่ว
“เส้นไหม?” เฉียวเจาโพล่งขึ้น
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้า เขามองไปทางเฉียวเจาด้วยสายตาแฝงรอยชมเชย “ถูกต้อง มันคือเส้นไหม”
เขาพูดพลางมองเสี่ยวลิ่วอย่างพินิจ “คนผู้นี้ถูกโยนลงน้ำหลังตายไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เส้นไหมจะเข้าไปในโพรงจมูกตอนอยู่ในน้ำ แล้วในสถานการณ์แบบใดที่คนจะสูดเอาสิ่งนี้เข้าไปได้เล่า”
เสี่ยวลิ่วมิใช่คนโง่เขลา เขากล่าวโดยไม่ต้องหยุดคิด “เวลาถูกคนใช้ของจำพวกผ้าเนื้อนิ่มๆ มีลายปักอุดปากกับจมูก”
“เป็นเช่นนี้” นักชันสูตรเฉียนโยนแหนบลงไปในบนถาด หันไปพยักหน้ากับเฉียวเจา “แม่เด็กน้อย ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบชั่วคราว ไปกันเถอะ”