หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 370
บทที่ 370
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉียวเจาโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งในที่สุด ริมฝีปากซีดขาวแย้มออกเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน จากนั้นก็ผลุนผลันออกไป
“หลีซาน…” ฉือชั่นก้าวขาไล่ตามไป
นักชันสูตรเฉียนสาวเท้าไปข้างนอกด้วยสีหน้าปกติ
เสี่ยวลิ่วไล่ตามเขามา “อาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งไปนะขอรับ ข้าจะเชิญท่านไปดื่มสุรา”
ชายชรายกมือขึ้น “ไม่ต้อง แล้วก็วันหน้าไม่ต้องขึ้นเขาไปกวนใจข้าอีก”
เสี่ยวลิ่วเดินตามเขาติดๆ “โธ่ อาจารย์ ท่านอย่าพูดเช่นนี้สิ วันหน้าข้าไม่เข้าใจอะไรยังต้องเชิญท่านออกโรงนะขอรับ”
นักชันสูตรเฉียนแค่นยิ้ม “ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีคราวหน้า”
เซ่าหมิงยวนเดินอยู่ข้างๆ นักชันสูตรเฉียนออกมาข้างนอก มองปราดเดียวก็เห็นเฉียวเจาเกาะต้นไม้เก่าแก่ในลานเรือนก้มตัวอาเจียนไม่หยุด ฉือชั่นยืนอยู่ด้านข้างล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้นาง
“รบกวนช่วยตักน้ำมาให้สักหน่อย” เซ่าหมิงยวนยื่นก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งให้
เสี่ยวลิ่วอึ้งไป เขามองนักชันสูตรเฉียนอย่างระมัดระวัง เห็นอาจารย์ของตนไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก็รับเงินไว้ทันที พร้อมกล่าวขอบคุณแล้ววิ่งไปอย่างว่องไว
นักชันสูตรเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดในที่ว่าการ ไม่บ่อยนักที่จะได้ลาภลอยเช่นนี้
ไม่นานนักเสี่ยวลิ่วก็หอบกาน้ำมา
เซ่าหมิงยวนรับไว้แล้วเดินไปหาเฉียวเจา “คุณหนูหลี ล้างมือก่อนเถอะ”
เฉียวเจาได้ยินเสียงของเขาก็ยืดตัวขึ้น นางหันหลังให้เขาพลางพักหายใจครู่ใหญ่ถึงหมุนกายไป “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
นางล้างมือด้วยน้ำในกาซ้ำๆ หลายรอบ ค่อยหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ดวงหน้าของเด็กสาวเผือดขาวดูจนตรอกอยู่บ้าง ไม่หลงเหลือท่าทางสุขุมเยือกเย็นเช่นที่ผ่านมาให้เห็นโดยสิ้นเชิง
ชั่วขณะนี้ไม่ว่าเซ่าหมิงยวนหรือฉือชั่นถึงตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าสำหรับเด็กสาวผู้นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่ทารุณทรมานจริงๆ
นางเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาๆ นางหนึ่ง ไม่ได้มีสามเศียรหกกร
สายตาที่มองไปทางนักชันสูตรเฉียนของฉือชั่นเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
ตาเฒ่าผู้นี้…ฝากไว้ก่อนเถอะ!
นักชันสูตรเฉียนชายตามองฉือชั่น เขาพูดเยาะๆ “เหตุใดรึ เจ้าหนุ่มอยากคิดบัญชีกับข้าภายหลังหรือ”
เฉียวเจาอดมองฉือชั่นไม่ได้
ฉือชั่นดูออกว่าสายตาแวบนั้นของนางแฝงรอยหวั่นวิตกว่าเขาจะทำเสียเรื่อง เขาจึงยิ้มเจื่อนๆ อย่างสุดระงับ
ถึงเขาจะโกรธสักเพียงใดก็ไม่มีทางทำให้ความทุ่มเทพยายามของนางต้องล้มเหลวไป
“มีที่ใดกัน ข้านับถือผู้เฒ่าผู้แก่เอ็นดูเด็กน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ท่านเฉียนคิดมากไปแล้ว”
“ฮึ!” นักชันสูตรเฉียนแค่นเสียงขึ้นจมูก เห็นชัดว่าไม่สนใจไยดีว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาถามเฉียวเจาโดยตรง “อาเจียนพอแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว”
“ข้ากลับมิได้หัวเราะเยาะ ในเมื่ออาเจียนพอแล้ว เช่นนั้นก็รับการทดสอบต่อไปเถอะ ขืนโอ้เอ้ไปเรื่อยๆ จะฟ้ามืดพอดี”
“ยังจะทดสอบอีก? ไหนเมื่อครู่นี้ท่านพูดว่านางผ่านการทดสอบแล้วไม่ใช่หรือ” ฉือชั่นทำหน้าบึ้งอย่างโมโห แต่ก็หมดปัญญาจะทำอะไรชายชราได้
นักชันสูตรเฉียนหัวเราะหึๆ “ทีแรกน่ะผ่านแล้ว แต่ข้าเห็นเจ้าขัดนัยน์ตาเลยจะทดสอบนางเพิ่มอีกอย่าง”
ฉือชั่นหน้าเสียไปถนัดตา เขามองเฉียวเจาพลางอ้าปากแต่กล่าววาจาไม่ออก ในดวงตาฉายแววรู้สึกผิดเต็มที
ในสายตาของหลีซาน ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่มีอะไรดีสักอย่าง มิหนำซ้ำยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง…
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ท่านเฉียน ท่านอย่าล้อเล่นเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านก็บอกแล้วว่าข้าแค่ผ่านการทดสอบชั่วคราว เป็นธรรมดาที่ต่อจากนี้ยังมีการทดสอบรอคอยอยู่”
“ฮ่าๆ แม่เด็กน้อยกลับฉลาดนัก” นักชันสูตรเฉียนขึงตาใส่ฉือชั่นก่อนจะก้าวขาเดินไปข้างหน้า
ฉือชั่นมองไปทางเฉียวเจาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย มุมปากเขายกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นางคงกลัวเขาเสียใจเลยแก้สถานการณ์ให้เขากระมัง เช่นนี้แสดงว่านางยังไยดีเขาอยู่บ้างเล็กน้อย
“สือซี ไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนสะกิดฉือชั่นทีหนึ่ง
เขาถึงพบว่าเฉียวเจาเดินไปไกลแล้ว
“ถิงเฉวียน” จิตใจของเขาแช่มชื่นเบิกบานไม่เข้ากับบรรยากาศหม่นมัววังเวงของโรงทึม ทั้งสีหน้าและแววตาแต่งแต้มด้วยความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด “ข้ารู้สึกอารมณ์ดี”
เซ่าหมิงยวนไม่เปล่งเสียงตอบ เขาตบแขนของสหายเบาๆ
“ประเดี๋ยวไล่ตามพวกหยางเอ้อร์ทัน พวกเราดื่มสุรากันเถอะ”
“ดี”
พอออกจากประตูใหญ่ของโรงทึม เฉียวเจาพรูลมหายใจออกยาวเหยียดคลายความอึดอัดตรงกลางอก
ยามนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ลับเหลี่ยมเขา สายลมเย็นน้อยๆ ทำให้รู้สึกถึงฤดูใบไม้ร่วงในที่สุด
ละแวกใกล้ๆ โรงทึมไม่มีคนเดินผ่านไปมานัก ทุกคนเดินตรงไประยะหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหนึ่งถึงเริ่มคึกคักขึ้น
ควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยอวลขึ้นตามบ้านช่องเรือนชาน ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนนอย่างเร่งรีบ โคมไฟหน้าประตูหอสุราร้านอาหารส่องแสงสว่างบ่งบอกว่าเป็นเวลากินอาหารเย็นแล้ว
“หิวแล้วกระมัง” นักชันสูตรเฉียนยิ้มพรายยามเอ่ยถามเฉียวเจา
สีหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าในใจยิ้มฝืดๆ แม้ว่าเมื่อครู่นางอาเจียนอาหารกลางวันออกมา แต่ตอนนี้จะกินลงที่ใดกัน
“กินไม่ลง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของนักชันสูตรเฉียนไม่เลือนหายไป
เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากถาม “ท่านเฉียนอยากไปกินอาหารที่ใดขอรับ”
เขามองเฉียวเจาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็ไปร้านสี่ไหลฝูตรงถนนสายตะวันออกนั่นเถอะ”
“ได้ เชิญขอรับท่านเฉียน”
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าตรงไปยังร้านสี่ไหลฝู
เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับ “โอ๊ะ ที่แท้เป็นพวกท่านนั่นเอง เชิญด้านในเลยขอรับ”
เขาเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวนักชันสูตรเฉียนแล้วนิ่งงันไปในทีแรก จากนั้นเบิกตากว้างกะทันหัน “เจ้า…เจ้าคือคน…”
ฉือชั่นโยนก้อนเงินก้อนหนึ่งไปตรงหน้าอกเสี่ยวเอ้อร์ทันที “อย่าพูดมาก พาพวกข้าไปห้องส่วนตัว”
อำนาจของเงินสำแดงผลทันใด เสี่ยวเอ้อร์ค้อมกายพูดซ้ำๆ “ท่านทั้งหลายเชิญข้างในขอรับ!”
ทุกคนตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เขาถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านทั้งหลายอยากจะกินอะไรดีขอรับ”
เซ่าหมิงยวนเบนหน้าไปถามนักชันสูตรเฉียน “ท่านเฉียนอยากกินอะไรขอรับ”
“ลิ้นหมูผัดไฟแดง ตับหมูผัดพริก…” ชายชราบอกชื่ออาหารต่อๆ กันเป็นชุดอย่างไม่เกรงใจ
เขาบอกชื่อหนึ่ง เฉียวเจาก็หน้าซีดลงส่วนหนึ่ง ถึงตอนท้ายนางแทบนั่งไม่ติด
นางเดาได้แล้วว่าการทดสอบต่อไปของนักชันสูตรเฉียนคืออะไร
พวกเขามาถึงร้านเร็ว ใช้เวลาไม่นานนักอาหารร้อนกรุ่นก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ
“ทุกท่านกินตามสบายขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้วนิ่งคิดก่อนจะลอบไปทางด้านหลังของร้านเงียบๆ
บุตรชายของนักชันสูตรเฉียนกำลังมองออกมาทางนอกประตูอย่างเหม่อลอย วันนี้จู่ๆ มีคนมาหาตาเฒ่าผู้นี้ทำให้จิตใจเขาไม่ใคร่สงบ
“อาจารย์เฉียน” เสี่ยวเอ้อร์ส่งเสียงเรียก
“มีเรื่องใดหรือ”
“นักชันสูตรเฉียนมากินอาหารที่ร้านสุราของเรา…”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวไม่ทันจบ บุตรชายของนักชันสูตรเฉียนลุกพรวดขึ้นเดินฉับๆ ออกนอกประตู “เขามาได้อย่างไร”
“โธ่ ท่านอย่าเพิ่งตื่นเต้น เขาไม่ได้มาคนเดียวหรอก ถ้ารบกวนการกินอาหารของลูกค้า ผู้ดูแลร้านคงด่าทอไปแล้ว”
“ข้ารู้แล้ว” บุตรชายของนักชันสูตรเฉียนสะบัดเสื้อคลุมยาวบนร่าง ก้าวขาเดินไปทางด้านหน้าร้าน
ภายในห้องส่วนตัว กลิ่นหอมของอาหารลอยอวลอยู่ตรงปลายจมูกของทุกคน มีเพียงเซ่าหมิงยวนกับนักชันสูตรที่ยังนับว่ามีสีหน้าเรียบเฉย
ฉือชั่นมองผัดลิ้นหมูพูนจานแวบหนึ่ง ออกแรงเม้มปากถึงสะกดความอยากอาเจียนไว้ได้
ตอนอยู่ที่โรงทึม เขามองไปโดยไม่ตั้งใจเลยเห็นตอนเฉียวเจาใช้มือข้างที่สวมถุงมือจับลิ้นของคนตายพลิกขึ้นตามความต้องการของนักชันสูตรเฉียน
ชายชรายกผัดลิ้นหมูจานนั้นเทลงในชามตนเองครึ่งหนึ่งถึงเลื่อนไปตรงหน้าเฉียวเจา “กินผัดลิ้นหมูครึ่งจานนี้ให้หมด ห้ามอาเจียน ข้าก็จะตามพวกเจ้าไป”
“จริงนะเจ้าคะ” เฉียวเจาถามเสียงเบา
นักชันสูตรเฉียนแค่นเสียงพูด “หรือว่าข้ายังต้องหลอกแม่เด็กน้อยผู้หนึ่งเช่นเจ้า”
เด็กสาวหลุบตาเพ่งมองผัดลิ้นหมูที่วางอยู่ตรงหน้า แพขนตาดกหนากระพือขึ้นลง จากนั้นนางยกตะเกียบยื่นออกไป
ทันใดนั้นมีตะเกียบอีกคู่หนึ่งยื่นมาขวางอยู่เหนือตะเกียบนาง