หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 371
บทที่ 371
สี่ไหลฝูเป็นเพียงร้านสุราชั้นกลาง ตะเกียบทำจากไม้ไผ่แบบธรรมดาที่สุดเท่านั้น ทว่าชั่วขณะที่มันวางขวางอยู่เหนือตะเกียบของเฉียวเจา นางกลับรู้สึกว่ามีน้ำหนักที่หนักอึ้งกดทับลงมา
นั่นเป็นตะเกียบของฉือชั่น
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นมองเขา
ฝ่ายฉือชั่นกลับไม่ได้มองนาง เขาเอ่ยถามนักชันสูตรเฉียนด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “สุราอาหารวางอยู่บนโต๊ะแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้คนอื่นลองลิ้มชิมรสกระมัง ข้าขอกินคำหนึ่ง ท่านเฉียนคงไม่ถือสากระมัง”
นักชันสูตรเฉียนกวาดตามองเขาอย่างเฉยเมย เขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้อยากช่วยแม่เด็กน้อยด้านข้าง หากเป็นตามนิสัยของเขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา ทว่า…
ชายชราชำเลืองหางตาไปมองเด็กสาวที่นั่งตัวตรงอยู่ นึกไปถึงท่าทีของนางตอนอยู่ในโรงทึมยังนับว่าน่าพึงใจ สุดท้ายจึงไม่ได้พูดคัดค้าน
การอนุญาตเป็นนัยๆ ของนักชันสูตรเฉียนทำให้ฉือชั่นโล่งใจเล็กน้อย เขาไม่มองเฉียวเจา ใช้ตะเกียบคีบผัดลิ้นหมูทีเดียวหลายๆ ชิ้นมาใส่ลงในจานของตนเองทันที
ตอนแรกลิ้นหมูครึ่งจานนี้ของเฉียวเจาก็ไม่ถือว่าเยอะนัก หลังถูกคีบไปหลายชิ้นย่อมช่วยแบ่งเบาให้นางได้ไม่น้อย
มีตะเกียบยื่นมาอีกคู่หนึ่ง เซ่าหมิงยวนคีบลิ้นหมูไปอีกหลายชิ้นเช่นกันแล้วเริ่มกินเงียบๆ
สายตาของนักชันสูตรเฉียนไหววูบหนึ่ง เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ของที่คีบไปต้องกินให้หมดนะ ผัดลิ้นหมูรสอร่อยเหลือล้ำ ข้าทนเห็นคนกินทิ้งกินขว้างไม่ได้มากที่สุด”
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าถ้อยคำนี้จะพูดให้ฉือชั่นฟัง
ท่าทางของชายหนุ่มตอนอยู่ที่โรงทึมตกอยู่ในสายตาของนักชันสูตรเฉียนตลอด เขายังสังเกตเห็นอีกฝ่ายทำหน้าอยากจะอาเจียนตอนผัดลิ้นหมูจานนี้ยกมาวางบนโต๊ะเมื่อครู่นี้
เขาพลันรู้สึกว่าดูเจ้าหนุ่มคนนี้กินผัดลิ้นหมูยังน่าสนุกกว่าดูแม่เด็กน้อยผู้นั้นกิน
ช่วยไม่ได้ เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้เอง ใครใช้ให้เจ้าหนุ่มนี่ปากเสียเองเล่า
เมื่อเห็นสายตารอชมเรื่องสนุกของชายชรา ฉือชั่นแค่นหัวร่อ “แน่นอนว่าข้าชอบกินถึงได้คีบมา จะให้สิ้นเปลืองได้อย่างไร”
เขาพูดจบแล้วหลุบเปลือกตาลง คีบลิ้นหมูใส่ปากเคี้ยวไปเรื่อยๆ
เนื้อสัมผัสของลิ้นหมูเรียกภาพความทรงจำในโรงทึมผุดขึ้นในสมองพร้อมกัน ส่งผลให้ใบหน้าของฉือชั่นประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว เส้นเอ็นตรงหน้าผากปูดโปน มือที่วางอยู่บนโต๊ะก็กำเข้าหากันเป็นหมัดแน่นสุดแรงถึงจะข่มความอยากอาเจียนที่พุ่งขึ้นมากะทันหันไว้ได้
เซ่าหมิงยวนอดมองเฉียวเจาไม่ได้ สือซีมีความรักต่อคุณหนูหลีอย่างลึกซึ้งและจริงใจถึงเพียงนี้ กลับไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องวางตัวเหินห่างหมางเมินด้วย
เซ่าหมิงยวนกินผัดลิ้นหมูด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้สึกพะอืดพะอมแต่อย่างใด ดังนั้นถึงพูดว่าความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวดีแท้
ฉือชั่นกินจนหมดในที่สุด เขายกน้ำชาดื่มอักๆ หลายคำแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ค่อยพูดเนิบๆ สองคำ “อร่อย”
เขากล่าวเช่นนี้จบก็นั่งเหยียดแผ่นหลังตรงนิ่งๆ ไม่หยิบตะเกียบขึ้นอีกเลย
นักชันสูตรเฉียนเบนสายตาไปมองเด็กสาว
เฉียวเจาลอบคับอกคับใจอยู่บ้าง นางนึกว่านางบอกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งมากพอแล้ว ไฉนฉือชั่นยังดันทุรังเช่นนี้
เขายิ่งดีต่อนาง นางยิ่งทรมานใจเพราะไม่อาจตอบแทนความดีของเขาได้
เฉียวเจาคีบผัดลิ้นหมูใส่ปากแล้วแทบจะอาเจียนออกมาทันที แต่พอมองสบสายตาที่จับจ้องอยู่ของชายชรา นางก็รีบเม้มปากแน่นสุดกำลัง สะกดอาการตอบสนองตามสัญชาตญาณในกายไว้
นางคีบเข้าปากกินอย่างไม่รู้รสคำแล้วคำเล่าโดยไม่หยุดมือ ด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าทันทีที่ลังเลก็จะกินต่อไปไม่ได้
ฉือชั่นมองเฉียวเจาเป็นอย่างนี้แล้วปวดใจอยู่บ้าง เขาคิดคำนึงในใจว่า รู้แต่แรกเมื่อครู่นี้น่าจะคีบให้มากกว่านั้น
สุดท้ายผัดลิ้นหมูจานนั้นก็หมดเกลี้ยง เฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก จากนั้นอมยิ้มกับชายชรา
เวลานี้นางพูดไม่ออกแล้ว เพียงหวั่นใจว่าพออ้าปากก็จะอาเจียนออกมา ส่งผลให้สิ่งที่อุตส่าห์ทำไว้ต้องสูญเปล่า
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้าแกนๆ “กินข้าวเถอะ” นี่ถือว่าเฉียวเจาผ่านการทดสอบแล้วโดยปริยาย
ชายชรายกชามข้าวสวยขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย ในโต๊ะมีแต่เซ่าหมิงยวนที่กินเป็นเพื่อนเขาได้ ส่วนเฉียวเจากับฉือชั่นไม่มีแม้แต่ความกล้าจะหยิบตะเกียบแล้ว
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสี่ก้าวออกจากร้านสุรา ด้านนอกเริ่มจุดโคมไฟสว่างไสว
เงาดำสายหนึ่งใต้ต้นไม้ไม่ไกลนักสาวเท้าก้าวใหญ่ตรงมา สุ้มเสียงของเขาแฝงความโกรธเกรี้ยวระคนเกลียดชัง “ท่านมาทำอะไร”
“อาเหวิน…” นักชันสูตรเฉียนขยับฝีปากเปล่งเสียงเรียกชื่อแรกเกิดของบุตรชาย
คนที่ขวางทางอยู่คือบุตรชายของนักชันสูตรเฉียน
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาเคยเจอเขามาก่อน ทั้งคู่หันไปมองชายชรา
นักชันสูตรเฉียนสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
อาเหวินถอยหลังทันที ความเกลียดชังฉายชัดบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง “เพราะอะไรท่านถึงมาที่นี่”
“ข้ามากินอาหาร” ยามอยู่ต่อหน้าบุตรชาย นักชันสูตรเฉียนมิได้เย่อหยิ่งจองหองอย่างตอนอยู่กับพวกเฉียวเจา ฟังน้ำเสียงเขาแล้วกลับแฝงความรู้สึกต่ำต้อยอยู่หลายส่วน
อาเหวินยิ้มเยาะ เขาพูดเสียงดังขึ้นว่า “กินข้าว? ข้าเคยบอกแล้วว่าวันหน้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า ท่านยังทำร้ายข้าไม่พอหรือ กว่าข้าจะได้เป็นผู้ดูแลบัญชีของร้านสี่ไหลฝูอย่างมั่นคงมิใช่ง่ายๆ ท่านก็จะให้ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ต้องถูกคนอื่นมองด้วยสายตาดูแคลนไปชั่วชีวิต ท่านถึงจะพอใจหรือไร”
ริมฝีปากของนักชันสูตรเฉียนกระตุกริก แต่ไม่มีเสียงพูดดังลอดออกมา
ฉือชั่นแค่นหัวเราะ “นี่ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าขืนเจ้าพูดจาด้วยท่าทางเช่นนี้ต่อไป ข้าจะทำให้เจ้าถูกขับไล่ออกจากที่นี่ในตอนนี้เลยก็ยังได้”
อาเหวินหน้าเปลี่ยนสี “ท่านเป็นใคร”
ฉือชั่นแกว่งถุงเงินในมือไปมา กล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ เถ้าแก่ร้านสี่ไหลฝูรู้ว่านี่คืออะไรก็พอ”
อันว่ามีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้* ผู้ดูแลบัญชีหาใช่คนสำคัญอันใดไม่ เอาเงินฟาดหัวสักก้อน บอกให้เปลี่ยนคนก็เปลี่ยนได้แล้ว
อาเหวินเข้าใจจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยถามนักชันสูตรเฉียนอย่างหวาดหวั่นวิตก “เพราะอะไรท่านถึงอยู่กับคนพวกนี้ แล้วพวกเขาเป็นใครมาจากที่ใด”
เซ่าหมิงยวนอดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้ “พี่เฉียนน่าจะยังจำพวกข้าได้กระมัง พวกข้าได้ยินกิตติศัพท์ของบิดาท่านจึงเดินทางมาเชื้อเชิญให้ออกโรงช่วยเหลือ ท่านจะมีข้อกังขาก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่เวลากล่าววาจากับบิดา ไม่สมควรเรียกขานว่าท่านพ่อสักคำหรือ”
ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! อาเหวินถลึงตามองบิดาอย่างดุดัน
นักชันสูตรเฉียนถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ พวกเราไปกันเถอะ”
เขาเลือกมากินอาหารที่ร้านสี่ไหลฝู ก็เพื่อจะได้เห็นหน้าบุตรชายอีกสักครา ส่วนลึกในใจเขายังตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ว่าบางทีบุตรชายได้เห็นคนที่มีกิริยาท่าทางไม่สามัญพวกนี้เคารพนอบน้อมต่อเขาแล้วอาจจะละวางอคติลงได้หรือไม่ บัดนี้ดูไปแล้วเป็นเขาละเมอเพ้อพกเอง ในเมื่อเขาหลงใหลในทุกอย่างที่เป็นการชันสูตรศพ ก็ถูกลิขิตแล้วว่าไม่สมควรได้ครอบครองความสุขในครอบครัวเฉกคนทั่วไป
นักชันสูตรเฉียนมองอาเหวินนิ่งๆ จากนั้นหมุนกายออกเดินไป
อาเหวินหวั่นใจกับคำขู่ของฉือชั่น จึงเพียงมองตามแผ่นหลังของบิดาอย่างชิงชังโดยไม่พูดอะไร
เฉียวเจาหันหน้าขวับ “ท่านอา…ผู้ดูแลเฉียน ท่านเอาแต่บอกว่าท่านเฉียนทำร้ายท่าน อันที่จริงข้าสนใจใคร่รู้เป็นอันมากว่าเหตุใดคนที่มาจากครอบครัวนักชันสูตรเช่นท่านถึงได้เป็นผู้ดูแลบัญชีได้”
เมื่อครั้งที่ท่านปู่หลี่พานางมาเยี่ยมคารวะนักชันสูตรเฉียน บุตรชายของเขามีอายุยี่สิบปีเศษ แต่ยังคงไม่ได้ออกไปทำงานทำการ อีกทั้งไม่ได้สืบทอดวิชาของบิดา แต่ไปสำนักศึกษาทุกวัน
นักชันสูตรเฉียนบอกว่าบุตรชายไม่มีพรสวรรค์ในการเล่าเรียนเขียนอ่าน แต่เขาไม่เต็มใจรับช่วงต่องานของบิดา อย่างนั้นก็ให้เขาเรียนไปเรื่อยๆ ได้เรียนมากกว่าคนอื่นหลายปี ภายภาคหน้าได้เป็นผู้ดูแลบัญชีก็ดีเหมือนกัน
ตอนนี้บุตรชายของเขาได้เป็นผู้ดูแลบัญชีจริงๆ แต่กลับลืมเลือนบิดาที่ส่งเสียให้เขาเล่าเรียน
ชายชราชะงักฝีเท้านิ่งมองเฉียวเจาครู่หนึ่ง “แม่เด็กน้อย ไม่ต้องพูดมากอย่างนั้น รีบไปกันเถอะ”
* มีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้ เป็นสำนวน หมายถึงหากใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจก็สามารถว่าจ้างคนให้ทำงานต่างๆ ได้