หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 372
บทที่ 372
หลังออกจากร้านสี่ไหลฝู อารมณ์ของนักชันสูตรเฉียนสลดหดหู่ลงอย่างชัดเจน
“ท่านเฉียน พวกข้าคิดจะเร่งเดินทางทั้งคืน ท่านทานทนไหวหรือไม่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนถาม
“ไปวันนี้เลยหรือ” เขาประหลาดใจอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น “พวกข้าต้องรีบรุดไปสมทบกับสหายแล้วมุ่งหน้าไปยังจยาเฟิงทางน้ำ เพื่อไล่ตามให้ทันเรือโดยสารตอนจอดเทียบท่าเรือถัดไป ดังนั้นเร่งเดินทางตลอดคืนเป็นการดีที่สุดขอรับ”
พวกหยางโฮ่วเฉิงนั่งเรือเดินทางทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว ส่วนไปทางบกยังต้องอ้อมไกลขึ้น หากพวกเขาอยากกวดตามไปให้ทัน จำเป็นต้องเร่งฝีเท้าม้าโดยไม่หยุดพัก
“ถ้าท่านเฉียนรู้สึกเหนื่อยล้า พวกเราหาโรงเตี๊ยมนอนพักก่อน พรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยออกเดินทางก็ได้ขอรับ” ถึงอย่างไรนักชันสูตรเฉียนสูงวัยแล้ว เซ่าหมิงยวนเป็นห่วงว่าร่างกายของเขาจะทนไม่ไหว จึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยเสนอขึ้น
“ไม่ต้อง รีบไปกันเถอะ”
เซ่าหมิงยวนเสาะหารถม้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยไม่แน่ใจเรื่องฝีมือ เขาจึงไม่ได้ว่าจ้างสารถี แต่รับหน้าที่ควบขับรถม้าเอง ทั้งสี่คนเร่งเดินทางสองวันสองคืน ในที่สุดก็ตามมาสมทบกับหยางโฮ่วเฉิงที่ชะเง้อคอรอคอยอยู่ที่ท่าเรือของเมืองถัดไป
เขาต่อยเซ่าหมิงยวนเบาๆ ทีหนึ่งอย่างตื่นเต้น “มากันได้เสียที ข้ายังเป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะตามมาไม่ทัน”
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม “เจ้าช่วยรับรองนักชันสูตรเฉียนด้วย ข้าไปนอนหลับสักตื่นก่อน”
หยางโฮ่วเฉิงเพิ่งสังเกตเห็นดวงตาของสหายแดงระเรื่อ ใต้ขอบตาดำคล้ำ
“นี่เจ้าไม่ได้นอนมานานเพียงใดกัน” เขาส่งเสียงถามไล่หลังเซ่าหมิงยวน
ฉือชั่นทำหน้าตึงเอ่ยขึ้น “ไม่ได้นอนเลย”
หยางโฮ่วเฉิงพินิจดูอีกสามคนซ้ำๆ ถึงแม้ทั้งสามจะเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทาง แต่สีหน้าท่าทางยังสดชื่นไม่เลว
“สือซี เจ้าไม่ได้สลับหน้าที่กับถิงเฉวียนบ้างหรือ”
“เขาติว่าข้าขับรถม้าช้า” ฉือชั่นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็อยากช่วยแต่กลับโดนติติง
หยางโฮ่วเฉิงครุ่นคิดเล็กน้อย อื้อ ถิงเฉวียนติติงได้มีเหตุผล
เขาอดชอบใจไม่ได้ “เอาล่ะ รีบขึ้นเรือพักผ่อนเถอะ”
ชายหนุ่มเป็นคนคิ้วหนาตาโต พอแย้มยิ้มจะดูสดใสร่าเริงมีอัธยาศัยดีเป็นพิเศษ “ท่านเฉียนคงเหนื่อยแย่แล้วกระมัง ข้าเตรียมห้องหับไว้ให้ท่านแล้ว พวกเรากลับห้องไปพักสักครู่ก่อนนะขอรับ”
นักชันสูตรดูจะถูกชะตากับคนหนุ่มแบบหยางโฮ่วเฉิงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาเบะปากเอ่ยถามขึ้น “นี่เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ว่าข้าต้องมาแน่นอนหรือ”
หยางโฮ่วเฉิงยิ้มหน้าบานมากขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูหลีทำอะไรเชื่อมือได้เสมอ ไม่เคยทำให้ผิดหวังมาก่อน”
“หึ” นักชันสูตรเฉียนยิ้มออกแล้ว เขาย่ำเท้าลงบนสะพานไม้กระดานไปที่เรือ “หิวแล้ว เจ้าหนุ่มรีบเตรียมของกินให้ข้า”
“ได้ขอรับ ของกินก็เตรียมไว้รอท่า ข้าพาท่านไปเอง” หยางโฮ่วเฉิงพูดพลางมองฉือชั่นกับเฉียวเจาแวบหนึ่ง
เฉียวเจาผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อย “ข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ”
ฉือชั่นพูดตามนาง “ข้าจะกลับห้องเหมือนกัน”
เร่งเดินทางมาหลายวันอย่างนี้ ไม่ล้างหน้าบ้วนปากสักหน่อย ใครจะกินอาหารลง
เฉียวเจากลับถึงห้องพักบนเรือ ปิงลวี่ก็เดินรี่เข้ามาหา “คุณหนู ท่านบอกท่านลงเรือไปทำธุระ ไฉนไม่พาข้าไปด้วยเจ้าคะ”
สาวใช้น้อยน้อยอกน้อยใจอย่างยิ่งยวด นางตวัดสายตามองอาจูที่สงบเสงี่ยมพร้อมกล่าวอย่างไม่สู้เต็มใจ “ต่อให้พาอาจูไปด้วยก็ยังดี ท่านออกไปคนเดียว เกิดโดนคนฉวยโอกาส พวกข้าก็ล้วนสุดปัญญาจะช่วยได้แล้ว”
“คุณหนูไม่เสียเปรียบหรอก มีแม่ทัพเซ่าตามไปด้วย” อาจูพลันอ้าปากพูด “พวกเราตามไปกลับจะวุ่นวายมากขึ้น”
“เจ้า…” ปิงลวี่ยกมือชี้ไปที่อาจู นึกชังที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ “อาจู เจ้าโง่งมใช่หรือไม่ คุณหนูไม่เสียเปรียบให้คนอื่นหรอก แต่ถ้าเกิดโดนแม่ทัพเซ่าฉวยโอกาสเล่า”
ฮึ คุณหนูเป็นสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนนะ แต่เจ้าเอ้อร์ปิ่งนกขุนทองที่แม่ทัพเซ่ามอบให้คุณหนูก็เรียกนางว่าน้องหญิง นี่จะต้องเป็นแม่ทัพเซ่าสอนมันแน่ๆ
ถึงแม้นางจะเห็นดีเห็นงามที่คุณหนูจะออกเรือนไปกับแม่ทัพเซ่า แต่ก่อนเข้าพิธีมงคลจะให้แม่ทัพเซ่าฉวยโอกาสไม่ได้
“แม่ทัพเซ่าไม่ใช่คนเช่นนั้น” อาจูกล่าวเสียงเรียบ
หลังอยู่กับคุณหนูมานานถึงเพียงนี้ นางมองดูอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าแม่ทัพเซ่าเป็นคนที่ไว้ใจได้ หากคุณหนูแต่งงานกับแม่ทัพเซ่า น่าจะมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์พูนสุข
“อาจู เจ้ามันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!”
“ข้าแค่พูดตามความจริง”
เห็นสาวใช้สองคนเริ่มปะทะคารมกัน เฉียวเจายกมือขึ้นนวดๆ หว่างคิ้ว “พอแล้ว ปรนนิบัติข้าล้างหน้าบ้วนปากเถอะ”
ตั้งแต่ไปที่โรงทึม จากนั้นก็เร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน แม้ว่านางไม่ต้องขับรถม้า แต่ความลำบากตรากตรำระหว่างทางนั้นยากจะพรรณนาเป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้
เฉียวเจาชำระกายจนสาแก่ใจแล้วหลับรวดเดียวไปยันพลบค่ำถึงไปกินข้าวที่โถงกินอาหาร
“ไฉนไม่เห็นแม่ทัพเซ่าเจ้าคะ” เฉียวเจาเหลียวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น
“เขายังนอนหลับอยู่” ฉือชั่นตอบ
“เช่นนั้นพวกท่านกินกันก่อน ข้าจะไปหาเขาครู่หนึ่ง”
การฝังเข็มทุกวันจะขาดตอนไม่ได้ เวลานี้เขานอนหลับอยู่กลับทำได้สะดวก
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมิได้พูดอะไร เพราะต่างรู้ดีว่าเฉียวเจาจะไปทำอะไร
ด้านนักชันสูตรเฉียนชายตามองตามแผ่นหลังเด็กสาว ค่อยมองฉือชั่นพร้อมกับถอนใจเฮือกๆ
เจ้าหนุ่มผู้นี้ชอบพอแม่เด็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นทั้งที่สองวันมานี้รีบเร่งเดินทางถึงเพียงนั้น แม่เด็กน้อยกับแม่ทัพแซ่เซ่าผู้นั้นจะต้องอยู่กันตามลำพังเป็นเวลาช่วงหนึ่งเสมอ แต่เจ้าหนุ่มนี่ถึงกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
เขาแก่ชราแล้ว อ่านความคิดของพวกหนุ่มสาวไม่เข้าใจจริงๆ
เฉียวเจามาถึงหน้าประตูห้องของเซ่าหมิงยวน
“คุณหนูหลี” เยี่ยลั่วเปล่งเสียงทักทาย
“แม่ทัพเซ่าตื่นแล้วหรือยัง”
“ยังขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามข้าเข้าไปเถอะ”
เยี่ยลั่วก้าวเข้าห้องพร้อมกับนาง
ชายหนุ่มนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าสงบสุข
“ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของแม่ทัพเซ่าออก”
รูม่านตาของเยี่ยลั่วหดแคบลงฉับพลัน
ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ข้างกายท่านแม่ทัพช่วงนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมายเท่าไรกันแน่
เยี่ยลั่วผู้เงียบขรึมเป็นนิจควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเฉินกวง มาตรว่าในใจตะลึงพรึงเพริดสุดจะกล่าว แต่ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แม้สักน้อยนิด เขาปลดสายคาดเอวของท่านแม่ทัพออกอย่างคล่องแคล่ว
เซ่าหมิงยวนลืมตาพรึบ
เยี่ยลั่วที่ดึงสายคาดเอวสีขาวงาช้างอยู่นิ่งขึงไป
“เจ้าไปรอนอกประตูเถอะ”
“ขอรับ” เยี่ยลั่วก้มหน้าไม่กล้ามองอีก เขาหมุนกายออกไป แต่เดินไม่กี่ก้าวก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงลุกลนย้อนกลับมายัดเยียดสายคาดเอวให้เฉียวเจา จากนั้นวิ่งออกไปอย่างว่องไวดุจสายลม
นางถือสายคาดเอวของเซ่าหมิงยวนไว้อย่างงงงัน เยี่ยลั่วยัดเยียดมันให้นางด้วยเหตุใดกัน
นางอดมองไปทางเซ่าหมิงยวนไม่ได้
ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนใจเหลือหลายเช่นเดียวกัน เรื่องที่เดิมคุ้นชินไปแล้วเวลานี้กลับทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง เขาพยายามวางท่าสงบนิ่งสุดกำลัง กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ไฉนคุณหนูหลีไม่ปลุกข้าตื่น”
ใบหน้าของเฉียวเจากลับเป็นปกติในเวลาอันสั้น นางคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “สองวันมานี้แม่ทัพเซ่าต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากที่สุด สมควรพักผ่อนมากๆ เจ้าค่ะ”
“ข้านอนพอแล้ว” เซ่าหมิงยวนบอกอย่างยิ้มแย้ม
“เช่นนั้นก็เริ่มฝังเข็มเถอะ อาหารเย็นพร้อมแล้ว พวกพี่ฉือกำลังกินกันอยู่”
“ได้” เซ่าหมิงยวนบอกไม่ถูกว่าเหตุใดถึงรู้สึกประหม่า แต่เห็นเฉียวเจามีสีหน้าดุจเดิมก็ลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนกุลีกุจอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเผยให้เห็นแผงอกกำยำบึกบึน
เขารีบร้อนไปบ้าง เป็นเหตุให้ดึงถูกถุงผ้าแพรในช่องด้านในเสื้อคลุมตัวนอกจนหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันหล่นลงบนพื้นดังแปะ
เฉียวเจาก้มตัวลงเก็บขึ้นมา
ถุงผ้าแพรเป็นสีฟ้าอ่อน ฝีเข็มละเอียดถี่ยิบ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ช่ำชองในเชิงเย็บปักถักร้อย
อืม…เย็บถุงผ้าแพรเช่นนี้ได้ น่าจะเป็นสตรีที่ฉลาดหัวไวและมีฝีไม้ลายมือดีเยี่ยม เอาเป็นว่านางทำออกมาไม่ได้ก็แล้วกัน
เฉียวเจากำถุงผ้าแพรไว้ในมือ พลางหันไปมองเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้าชอบกล