หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 373
บทที่ 373
พอคิดว่าเฉียวโม่เป็นคนมอบถุงผ้าแพรใบนี้ให้ อีกทั้งบางทียังอาจจะมีความโยงใยอันซับซ้อนซ่อนเร้นกับเด็กสาวที่ถือถุงผ้าแพรไว้ผู้นี้ สายตาของเซ่าหมิงยวนจึงทอแววตึงเครียดอย่างช่วยไม่ได้ขณะหลุดปากกล่าวว่า “เป็นของข้า”
เฉียวเจาเหยียดมุมปาก ยื่นถุงผ้าแพรให้เขา “รู้เจ้าค่ะ ข้ามิได้คิดจะเอาไปสักหน่อย”
นางไม่ได้โง่งม ย่อมต้องรู้ว่าของที่หล่นมาจากอกเสื้อเขาเป็นของใคร
ต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ด้วยหรือ
เอ๊ะ…บางทีอาจเป็นหญิงในดวงใจมอบให้ถึงได้หวงเช่นนี้กระมัง
ครั้นคิดถึงตรงนี้ แม่นางเฉียวก็มองค้อนชายหนุ่มตรงหน้าวงหนึ่ง
ดีนักนะ คนบางคนโดนโจษจันไปทั่วเมืองหลวงว่ามีโรคร้ายแอบแฝง ยังมีแม่นางน้อยมอบถุงเครื่องหอมให้ หรือเด็กสาวสมัยนี้ไม่แยแสเลยสักนิดว่าบุรุษจะ ‘หมดน้ำยาหรือไม่’
สายตาขุ่นๆ ของนางทำให้เซ่าหมิงยวนร้อนตัวพอดู เขารีบเอาถุงผ้าแพรยัดไปใต้หมอน แสร้งทำท่าเยือกเย็นกล่าวขึ้น “คุณหนูหลี เริ่มต้นเถอะ”
“อื้อ” เฉียวเจาพบว่าดูเหมือนนางจะดึงความคิดกลับมาจากถุงผ้าแพรใบนั้นไม่ค่อยได้ จึงลอบดูแคลนตนเองที่สอดรู้สอดเห็น นางหยิบเข็มเงินออกมาพลางกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าจะเริ่มต้นแล้วนะเจ้าคะ”
ทั้งคู่คุ้นเคยกับขั้นตอนการฝังเข็มขับพิษเป็นอย่างดี ภายในห้องเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงไม้พายเรือพุ้ยน้ำดังจ๋อมๆ
เฉียวเจาดึงเข็มออกแล้วไต่ถามเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง อาการเจ็บปวดบรรเทาลงหรือไม่”
“ลดน้อยลงมากแล้ว กระทั่งยามอากาศเปลี่ยนก็ไม่หลั่งเหงื่อเย็นมากเท่าเดิมอีก”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี อีกสักระยะน่าจะไม่ต้องฝังเข็มแล้ว ถึงเวลาข้าจะปรุงยาขับไอเย็นให้แม่ทัพเซ่า ท่านแค่กินยาตามเวลาเท่านั้นเป็นพอเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนยินดียกใหญ่ “ดีเหลือเกิน หากเป็นอย่างนั้นได้ก็สะดวกขึ้นมาก ขอบคุณคุณหนูหลีที่…”
ถ้อยคำหลังถูกกลืนกลับลงคอเงียบๆ เมื่อชายหนุ่มมองสบดวงตาดำขลับเคร่งขรึมของเด็กสาว
เขารู้สึกไม่วายว่าคุณหนูหลีมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ เขารีบหุบปากจะดีกว่า
เฉียวเจาขุ่นเคืองอยู่บ้างจริงๆ นางเห็นคนผู้นี้ทำหน้าชื่นตาบาน แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาคิดว่าตนเป็นฝ่ายเสียหายที่ต้องเปลื้องผ้าฝังเข็ม ส่วนนางฉวยโอกาสกับเขาหรือไร
นางเคยลูบกล้ามหน้าท้องเขาก็จริงอยู่ แต่นี่นับเป็นการฉวยโอกาสอะไรกัน ตรงนั้นนูนๆ แข็งๆ ไม่น่าจับเลย
พอนางคิดคำนึงเช่นนี้ สายตาก็เลื่อนลงด้านล่างอย่างห้ามไม่อยู่
ผู้ฝึกยุทธ์มีประสาทสัมผัสเฉียบไว เซ่าหมิงยวนรับรู้ได้ทันควัน
เขาเอื้อมมือคว้าเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดทิ้งไว้ด้านข้างมาปกปิดร่างกาย ปั้นหน้านิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า “อากาศเย็นลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย”
เฉียวเจาลุกขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่รบกวนแม่ทัพเซ่าแล้ว ข้าไปกินข้าวก่อนนะเจ้าคะ”
นางเดินไปถึงหน้าประตูแล้วยังหันกลับมาเหลียวมองหมอนที่ทับถุงผ้าแพรไว้แวบหนึ่งถึงผลักประตูก้าวออกจากห้อง
เมื่อประตูห้องปิดลง กลิ่นหอมไม้กฤษณาจางๆ เหมือนมีเหมือนไม่มีที่วนเวียนอยู่ตรงปลายจมูกไม่ขาดสายระลอกนั้นจางหายไป พาเอาความเคว้งคว้างเข้าเกาะกุมตรงกลางอกอยู่หลายส่วน
เซ่าหมิงยวนรู้สึกว่าอารมณ์เช่นนี้เป็นอันตรายอยู่สักหน่อย เขาสะบัดศีรษะสลัดความคิดเหลวไหลไร้สาระทิ้งไป
เขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกอย่างว่องไวแล้วลุกขึ้นจะเดินออกไป เขาคิดๆ แล้วหยิบถุงผ้าแพรใต้หมอนสอดเก็บในอกเสื้อดังเก่าถึงสาวเท้าไปทางโถงกินอาหาร
ตอนเขามาถึงโถงกินอาหาร เฉียวเจาไม่ได้อยู่ที่นั่น หยางโฮ่วเฉิงร้องเรียกเขาอย่างกระตือรือร้น “ถิงเฉวียน กำลังรอเจ้าอยู่เลย วันนี้พวกเราต้องดื่มด้วยกันสักจอกแล้ว”
“คุณหนูหลีไม่ได้กินอาหารหรือ”
ฉือชั่นเหลือบมองนักชันสูตรเฉียนก่อนพูดเสียงเย็นๆ “กินไปสองสามคำก็กลับห้อง ตลอดสองวันนี้นางไม่ค่อยกินอะไรมากนัก”
เพิ่งโดนทดสอบมาเช่นนั้นถ้ายังเจริญอาหารได้สิน่าแปลก แม้แต่เขาตอนนี้ยังอยากดื่มแต่สุราไม่อยากกินเนื้อ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลีซาน
“มาๆๆ ดื่มสุรา ต่อจากนี้ไม่มีงานอะไรแล้ว วันนี้พวกเราดื่มกันให้หนำใจ” หยางโฮ่วเฉิงพูดคลี่คลายบรรยากาศ
สือซีเป็นพวกไม่ชอบเสียเปรียบให้ใคร ส่วนนักชันสูตรเฉียนผู้นี้ก็มีนิสัยประหลาดอย่างเห็นได้ชัด เกิดเขาตั้งแง่ไม่ยอมช่วยขึ้นมา คุณหนูหลีจะไม่ร้อนใจแย่หรือ ถึงตอนนั้นนางไม่ชักสีหน้าใส่สือซีก็แปลกแล้ว
ทั้งสี่ชนจอกร่ำสุรากันอย่างสำราญใจ ตอนกลับถึงห้องเซ่าหมิงยวนรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย
เขาชำระกายไปแล้วตอนเพิ่งขึ้นเรือ ยามนี้จึงล้มตัวนอนบนเตียงในอาภรณ์ชุดเดิม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มากมายผุดขึ้นในห้วงความคิดของเขาต่อกันเป็นฉากๆ ไม่ขาดสาย หากสิ่งสุดท้ายที่เหลือติดอยู่ในหัวสมองแจ่มชัดที่สุดคือเงาร่างอรชรสายนั้นกับกลิ่นไม้กฤษณาหอมรวยรินตรงปลายจมูก
เป็นเช่นนี้ไม่ได้ เซ่าหมิงยวนคิดคำนึงด้วยสติที่พร่าเลือน
เขาตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่าชาตินี้จะไม่ตบแต่งภรรยาอีก แล้วยังคิดถึงคุณหนูหลีอีกได้อย่างไรเล่า
แม่ทัพหนุ่มลืมตาขึ้นเพ่งสายตามองเพดานห้องที่วาดลวดลายประดับตกแต่ง ขณะที่นึกตำหนิตนเองอย่างมาก เขายังอดคิดอีกไม่ได้ว่า วันนี้ตอนคุณหนูหลีออกไปดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรนะ
น้ำเมรัยเริ่มออกฤทธิ์ เซ่าหมิงยวนยกมือนวดๆ ขมับ เขานวดไปสองสามรอบก็ชะงักมือกึก
นึกออกแล้ว คุณหนูหลีดูท่าทางสนใจถุงผ้าแพรของข้าพอดู ก่อนออกไปยังเหลียวมามองหมอนซ้ำอีกที
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปคลำหาใต้หมอนแต่ไม่พบอะไร ถึงฉุกใจขึ้นได้ภายหลังว่าถุงผ้าแพรเก็บอยู่ในอกเสื้อ
ถุงผ้าแพรที่พี่เฉียวโม่มอบให้เขามีอะไรอยู่กันแน่
เซ่าหมิงยวนไม่เคยบังเกิดความคิดที่จะค้นหาคำตอบให้ถึงที่สุดอย่างแรงกล้าดังเช่นชั่วเสี้ยวเวลานี้
เขาล้วงมือหยิบถุงผ้าแพรในอกเสื้อออกมาพิศดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้นมองไม่เห็นจุดพิเศษจริงๆ จึงเปิดมันออกอย่างห้ามใจไม่อยู่ในที่สุด
ในนั้นเป็นแผ่นกระดาษที่พับทบกันอย่างเรียบร้อยแผ่นหนึ่ง เห็นรอยกดพู่กันนูนออกมาทางหลังกระดาษได้รางๆ
ที่แท้เป็นกระดาษสารแผ่นหนึ่งฝากถึงเขานั่นเอง
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม ชักกังขาว่าเฉียวโม่มีเรื่องใดที่พูดกับเขาซึ่งๆ หน้าไม่ถนัดปาก ถึงต้องใช้วิธีอย่างนี้
ปกติสิ่งที่เขียนใส่ไว้ในถุงผ้าแพรมักเป็นแผนการล้ำเลิศ เขากลับอยากดูนักว่าในกระดาษแผ่นนี้เขียนอะไรไว้กันแน่
กระดาษสีพื้นที่พับทบไว้อย่างดีถูกคลี่กางออก ตัวอักษรบนนั้นสะท้อนเข้าคลองจักษุ
เซ่าหมิงยวนไล่สายตาอ่านปราดเดียวก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ไม่แม้แต่จะเสียเวลาสวมรองเท้าก็ผลักประตูห้องเปิดออกแล้วตรงดิ่งไปยังห้องของเฉียวเจา
เวลานี้ยังไม่นับว่าดึกเกินไป แต่เพราะพวกเขาเพิ่งดื่มสุรากัน ยามนี้ต่างคนต่างพักผ่อนอยู่ในห้องของตนเอง ระเบียงยาวจึงเงียบเชียบมาก
ในหัวของเซ่าหมิงยวนละม้ายประทัดพวงหนึ่งแตกระเบิดเสียงดังสนั่นจนสมองอึงอลว่างเปล่า เขาอาศัยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวยามพุ่งตรงไปที่หน้าห้องของเฉียวเจาและเคาะประตูเรียกนาง
“ใคร” เสียงของอาจูดังลอดมาจากข้างใน
“ข้าเอง”
อาจูหันหน้าไป “คุณหนู ดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพเซ่าเจ้าค่ะ”
ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้านอน เฉียวเจายังคงแต่งกายอย่างเรียบร้อย นางคาดเดาว่าเซ่าหมิงยวนมาหาตอนนี้ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องสำคัญใดหรือไม่ จึงพยักหน้าพลางบอกกับอาจู “เชิญแม่ทัพเซ่าเข้ามา”
อาจูได้รับคำสั่งแล้วกุลีกุจอเปิดประตูออก
เงาร่างสายหนึ่งถลันเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็นน้อยๆ จากแม่น้ำ ดีที่อาจูเป็นคนสุขุมหนักแน่นถึงไม่ร้องอุทานออกมา นางถามเสียงเบา “แม่ทัพเซ่า ท่าน…”
นางพูดไม่ทันจบก็มีพละกำลังสายหนึ่งผลักตัวนางออกไป ต่อจากนั้นประตูห้องก็ปิดดังปังทันที
อาจูซึ่งโดนกันไว้นอกประตูนิ่งงันตาค้างไปทันใด
เซ่าหมิงยวนปรี่เข้าไปหาเฉียวเจาเช่นนี้ทำให้นางประหลาดใจครามครัน
นางไม่เคยเห็นเซ่าหมิงยวนในลักษณาการนี้มาก่อน คล้ายกับสัตว์ป่าที่ถูกปลุกสัญชาตญาณในตัวขึ้นมา
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“แม่ทัพเซ่า ท่านมาที่นี่ตอนนี้…”
เฉียวเจายังพูดไม่จบก็ถูกเซ่าหมิงยวนดึงเข้าไปกอดไว้ในวงแขนหมับ
เฉียวเจาตกอยู่ในอ้อมอกกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ตกตะลึงไปหมด นางส่งเสียงเรียกอย่างสุดระงับ “เซ่าหมิงยวน ท่าน…”
ชายหนุ่มกัดกลีบปากของนางทันทีทันใด