หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 388
บทที่ 388
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้” นักชันสูตรเฉียนบังเกิดความสนใจครามครัน เดินเข้ามาถามแทรกขึ้นทันที
เขาคลุกคลีอยู่กับศพจนเคยชิน จึงช่ำชองในการมองหาร่องรอยการจบชีวิตของผู้ตายจากศพ ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เพียงอาศัยโอ่งน้ำว่างเปล่าใบเดียวก็ลงความเห็นเช่นนี้ได้ เช่นนั้นก็น่าสนุกแล้ว
เฉียวเจามองเซ่าหมิงยวนเงียบๆ รอเขาไขความกระจ่างเช่นกัน
เขายื่นมือตบๆ ขอบโอ่ง “ก้นโอ่งแห้งสนิท จุดที่สูงขึ้นมาสองฉื่อมีคราบเป็นเส้นรอบผนังโอ่งอย่างชัดเจน พูดอีกนัยหนึ่งคือตรงนั้นน่าจะเป็นระดับน้ำในตอนนั้น เมื่อครู่ข้าลองใช้เล็บขูดตรงผนังโอ่งเหนือเส้นแบ่ง มีรอยขีดเหลืออยู่บนนั้นเส้นหนึ่ง ตอนนี้รอยนั้นยังเห็นได้ชัดมาก” เขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะ
นักชันสูตรเฉียนเข้าใจได้แล้วพยักหน้าเป็นเชิงชมเชย เขาเอ่ยถามเฉียวเจา “แม่เด็กน้อยรู้เหตุผลแล้วหรือยัง”
เฉียวเจาตรึกตรองก่อนกล่าว “เมื่อครู่แม่ทัพเซ่าบอกว่าในโอ่งไม่มีอะไรสักอย่าง แสดงว่าหลังหญิงขายเต้าหู้ล้มหัวทิ่มลงไปในนั้นก็มิได้ดิ้นกระเสือกกระสนใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด” ไม่รอเซ่าหมิงยวนกล่าวตอบ นักชันสูตรเฉียนก็ตบมือทีหนึ่ง “ถ้าเป็นคนปกติชะโงกตัวตักน้ำในโอ่งแล้วไม่ระวังจนตกลงไป จะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดสุดชีวิตตามสัญชาตญาณ ดังนั้นน่าจะมีรอยขีดข่วนลึกๆ ติดอยู่ตามผนังโอ่งมากมาย แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้สักอย่าง นี่แสดงว่าตอนหญิงขายเต้าหู้ล้มหัวทิ่มลงไปในโอ่ง นางเสียชีวิตไปแล้ว หรือจะพูดว่าอย่างน้อยก็ไม่มีสติ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ “อันว่าทุกศาสตร์วิชาล้วนมีทักษะเฉพาะทาง ยังคงเป็นท่านเฉียนที่อธิบายได้ชัดเจน”
พอได้ยินถ้อยคำนี้ นักชันสูตรเฉียนรู้สึกเบิกบานสำราญใจโดยพลัน เขามองชายหนุ่มอย่างชื่นชม
ไม่ว่าใครก็ตามได้รับคำชมอย่างถูกจุดในด้านที่ตนเชี่ยวชาญล้วนต้องปลาบปลื้มใจ แม้แต่คนแปลกประหลาดเช่นนักชันสูตรเฉียนก็มิใช่ข้อยกเว้น
เฉียวเจาชายตามองชายหนุ่ม ที่แท้คารมคำหวานของคนบางคนใช้ในทางนี้นั่นเอง
เซ่าหมิงยวนรับรู้ถึงสายตาของนางได้เฉียบไวเป็นพิเศษ เขาหันไปมองด้วยสายตาหวานซึ้งทันที
มุมปากของเด็กสาวกระตุกริก นางส่งเสียงไอทีหนึ่งกลบเกลื่อน “ข้ายังมีข้อสงสัยอีกอย่าง”
“เจ้าพูดสิ”
“โอ่งน้ำใบนี้ลึกถึงเพียงนี้ เพราะอะไรหญิงขายเต้าหู้เห็นน้ำขอดโอ่งแล้วยังไม่หาบน้ำมาเติมเล่า เช่นนี้ตอนใช้น้ำจะไม่ยุ่งยากมากหรอกหรือ”
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนเปล่งประกายวูบหนึ่ง เขาจ้องมองโอ่งน้ำอย่างครุ่นคิด
“นี่จะมีอะไรน่าแปลก คงรอใช้จนเกือบหมดแล้วค่อยเติมน่ะสิ” นักชันสูตรเฉียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่ไม่ใคร่สมเหตุสมผล หญิงขายเต้าหู้ครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ทำงานหาเงินเลี้ยงดูบุตรจนเติบใหญ่ด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าสตรีอ่อนแอที่เลี้ยงดูฟูมฟักบุตรชายตามลำพังนางหนึ่งต้องมีจิตใจเข้มแข็ง แต่ลึกๆ กลับขาดความมั่นคงทางใจเป็นอย่างมาก เห็นได้จากในชีวิตประจำวัน พวกนางมักชอบเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าจนเป็นนิสัย จะได้ไม่วุ่นวายทำอะไรไม่ถูกเมื่อถึงยามจำเป็นต้องใช้”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วมองประตูเรือนปราดหนึ่ง ค่อยกล่าวต่อว่า “ตอนผู้ใหญ่บ้านพาพวกเรามาที่นี่ ข้าสังเกตเห็นบ่อน้ำไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ที่นี่ มารดาที่เคยชินกับการจัดการเรื่องต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยผู้หนึ่งไม่น่าจะรอจนน้ำใกล้หมดค่อยไปหาบมาเติม”
เซ่าหมิงยวนเริ่มจับเค้าลางได้ “เจาเจา เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เฉียวเจากล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ข้าคิดอยู่ว่าปกติจะมีคนหาบน้ำมาให้นางหรือไม่นะ…”
นางพูดครึ่งๆ กลางๆ แล้วไม่พูดต่ออีก
หญิงม่ายนางหนึ่งมีคนหาบน้ำให้ ในสายตาผู้คนหาใช่เรื่องดีอันใดไม่ เฉียวเจาได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี เดิมทีนางไม่มีทางเอ่ยคาดเดาเรื่องพรรค์นี้ออกจากปากส่งเดช ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว นางจะมองข้ามความเป็นไปได้ใดๆ ไปไม่ได้
“นี่ก็เป็นไปได้” เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเบาๆ
น้ำหมดแล้วมีคนหาบมาเติมให้ เป็นธรรมดาที่ไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีน้ำมากน้อยเท่าใด
เขาเพ่งมองเด็กสาวที่พินิจพิเคราะห์หาเบาะแสอย่างสุขุมแล้วอยากจะกอดนางไว้กับอกแล้วยีผมนุ่มสลวยของนางแรงๆ ใจจะขาด
ไฉนสตรีของเขาถึงฉลาดปานนี้นะ
“ในเมื่อการตายของหญิงขายเต้าหู้มิใช่อุบัติเหตุ อีกทั้งเป็นวันเดียวกับเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว เช่นนั้นบางทีสองเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกัน” เฉียวเจากล่าว
“อื้อ วางใจได้ ในเมื่อพวกเรามาแล้วจะไม่มองข้ามความผิดปกติใดๆ ไปทั้งสิ้น ส่วนว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ค่อยมาสืบกันดูอีกที” เซ่าหมิงยวนยกมือเฉียดผ่านเส้นผมของเฉียวเจา “ข้าจะไปดูที่อื่นต่อ”
เรือนของหญิงขายเต้าหู้ไม่ใหญ่นัก เขาเดินไปจนทั่วทุกซอกทุกมุมรอบหนึ่งแล้วเอ่ยกับนาง “พวกเราออกไปข้างนอกเถอะ เรียกให้พวกเขาเข้ามาช่วยกันปัดกวาดเช็ดถู จะได้กินข้าวก่อน”
เมื่อมีคนมากก็เก็บกวาดเสร็จอย่างรวดเร็ว หนึ่งชั่วยามต่อมาเรือนทั้งหลังสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่ ข้าวปลาอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะพร้อมพรัก
“ในหมู่บ้านไม่มีอาหารดีๆ สักเท่าไร กินแก้ขัดเถอะ” หยางโฮ่วเฉิงหิวจนไส้กิ่วตั้งนานแล้ว เขาเอาตะเกียบคีบน่องไก่มากินอย่างตะกละตะกลาม
เซ่าหมิงยวนคีบน่องไก่อีกข้างหนึ่งวางในชามเฉียวเจาโดยไม่พูดอะไร
ปิงลวี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉียวเจาพยักหน้ากับตนเอง รู้จักคีบน่องไก่ให้คุณหนูของนาง แม่ทัพเซ่าก็ช่างเอาใจใส่ดี
นางคิดเช่นนี้แล้วกลอกตาไปมองฉือชั่น ในใจบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นสุดจะกล่าว
ก่อนหน้านี้คุณชายฉือชมชอบคุณหนูของนางมากแท้ๆ พักนี้เขากลับนิ่งเงียบไป
เข้าใจแล้ว ต้องเป็นเพราะคราวก่อนแม่ทัพเซ่ากับคุณชายฉือทะเลาะกันบนเรือ คนที่แพ้ก็ถอนตัวไป
เฉียวเจาจ้องมองน่องไก่ในชามอึดใจหนึ่งก่อนเริ่มกินเงียบๆ
ช่างเถอะ บ่ายเบี่ยงยักไปยักมาต่อหน้าทุกคนกลับน่ากระอักกระอ่วน
เซ่าหมิงยวนเหลือบมองเด็กสาวตั้งหน้าตั้งตากินน่องไก่ทางหางตาแล้วอดยิ้มไม่ได้ เขารู้อยู่แล้วว่าพอทำหน้าหนา เจาเจาก็หมดปัญญา กับสตรีอย่างเจาเจานี้จะพูดกับนางด้วยเหตุผลไม่ได้
แม่ทัพหนุ่มผู้รู้แจ้งถึงจุดนี้ได้เริ่มวาดหวังถึงอนาคตอย่างเต็มที่
หลังกินข้าวเสร็จ เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ข้าอยากไปเซ่นไหว้ท่านพ่อตาแม่ยายสักหน่อย”
“รีบร้อนเพียงนี้? ยังไม่ได้ตระเตรียมพวกธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทองเลยนะ” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
“ไปโขกศีรษะหน้าหลุมศพพวกท่านก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำพิธีเซ่นไหว้”
เมื่อพวกเขายกขบวนกันเดินตัดผ่านสวนซิ่งจื่อไป สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าสายทุกคนคือซากปรักหักพังหลังเพลิงไหม้ครั้งใหญ่
เซ่าหมิงยวนจับตามองเฉียวเจาอยู่ตลอด เห็นนางหน้าซีดเผือดในพริบตาก็ยื่นมือไปกุมมือนางแน่นๆ อย่างอดใจไม่อยู่
หญิงสาวไม่ได้ขัดขืน เพลานี้นางพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ภาพน่าสลดใจตรงหน้า
สายตาของฉือชั่นมองเห็นมือของคนทั้งสองกุมกันอยู่ เขาหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
หลีซานของเขาเป็นเด็กสาวใจร้าย แต่เจาเจาของเซ่าหมิงยวนกลับไม่ใช่
เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ในที่สุดเขาก็ตัดใจได้อย่างแท้จริงเสียที
“ไปเถอะ ข้าได้ยินพี่เฉียวโม่บอกว่าท่านพ่อตาแม่ยายนอนหลับนิรันดร์อยู่บนเขาด้านหลังคฤหาสน์
เฉียวเจาหลุดจากภวังค์ นางดึงมือคืนอย่างเพิ่งรู้สึกตัว เพียงพยักหน้าโดยไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ
นางกลัวว่าทันทีที่อ้าปากพูดก็จะควบคุมตัวไม่อยู่
คนทั้งกลุ่มไต่ขึ้นเขาไปก็เห็นหลุมศพสร้างใหม่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กเรียงรายอยู่ตรงหน้า
เฉียวเจาเข่าอ่อนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น
ข้ามฝ่าหมื่นสายน้ำพันภูผามาถึงถิ่นเดิม ทว่าผู้คนกลับไม่เหมือนเดิม
นางกลับมาแล้วในที่สุด แต่ไม่สามารถเรียกขานท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างเปิดเผย หลุมศพของท่านปู่ท่านย่ายังมีหญ้าขึ้นรกชวนให้ใจสลาย
ชั่วขณะนี้เฉียวเจาลืมเลือนว่าต้องปิดบัง นางปล่อยให้น้ำตาไหลพรากดุจสายฝน
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมาด้วยความตกใจ
เซ่าหมิงยวนคุกเข่าตามนาง โขกศีรษะดังๆ เก้าทีที่หน้าหลุมศพบิดามารดาของเฉียวเจา กล่าวอยู่ในใจว่า ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย พวกท่านวางใจได้ ข้าจะปกป้องเจาเจาไปชั่วชีวิต นับแต่นี้จะอยู่เคียงข้างนาง ร่วมเป็นร่วมตายและไม่ทอดทิ้งตีจากขอรับ