หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 390
บทที่ 390
เฉียวเจาทั้งโมโหทั้งขุ่นเคือง นางพูดเอ็ด “เซ่าหมิงยวน ท่านเอาจริงเอาจังสักนิดได้หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนวางหน้าเคร่งขรึม “ข้าเอาจริงเอาจังมากเสมอ”
เฉียวเจาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงตะเบ็งเสียงบอก “ปิงลวี่ ส่งแขก”
ประตูเปิดออก ปิงลวี่เดินฉับๆ เข้ามา นางทำหน้าตึงกล่าวขึ้น “แม่ทัพเซ่า เชิญเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนไม่กระดากกระเดื่องที่โดนไล่แต่อย่างใด เขาลุกขึ้นอย่างเนิบนาบ ส่งยิ้มอ่อนโยนให้นางพลางเอ่ย “เจาเจา ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพบกัน”
ปิงลวี่ส่งชายหนุ่มออกไปแล้ว นางย้อนกลับมาปิดประตูห้องก่อนขยับไปอยู่ใกล้ๆ ผู้เป็นนาย
เฉียวเจามองนางแวบหนึ่ง
ปิงลวี่หัวเราะแหะๆ “คุณหนู หลังกลับเมืองหลวง ใช่หรือไม่ว่าสมควรเรียกขานแม่ทัพเซ่าว่าท่านเขยเจ้าคะ”
“อย่าพูดจาส่งเดช” เฉียวเจาหน้าบึ้ง
ปิงลวี่แลบลิ้นอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้พูดจาส่งเดชนะเจ้าคะ หรือคุณหนูมิได้สังเกตว่าท่านปฏิบัติต่อแม่ทัพเซ่าไม่เหมือนใคร”
เฉียวเจานิ่งขึงไปน้อยๆ
ไม่เหมือนใครหรือ ระหว่างเขากับนางมีความเกี่ยวข้องพัวพันกันมากมายเหลือเกิน เป็นธรรมดาที่นางจะปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากคนอื่น แต่นี่หาได้บ่งบอกอะไรไม่
“ไม่มีอะไรไม่เหมือนใคร วันหน้าห้ามพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้อีก”
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ “แต่คุณหนูอยู่กับแม่ทัพเซ่าจะหน้าแดงเขินอาย แต่อยู่กับคนอื่นไม่เป็นนี่เจ้าคะ”
เฉียวเจายกมือจับใบหน้า สองแก้มของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย
นางหน้าแดงเพราะเขินอายหรือ เป็นเพราะโมโหชัดๆ นางหมดปัญญากับเจ้าคนหน้าหนาผู้นั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว
ฟ้ามืดลงทีละน้อย ด้วยภายในเรือนคับแคบ ทุกคนจึงกินอาหารร่วมกันอยู่ที่ลานด้านนอก
หญ้ารกตามข้างกำแพงถูกถอนทิ้งจนเกลี้ยงแลดูโล่งเตียน ทั่วบริเวณเหลือแค่ต้นผีผายืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงา ตะเกียงน้ำมันกับเทียนไขที่ซื้อจากคนในหมู่บ้านตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั้งสี่ด้าน ส่องแสงไฟเป็นดวงๆ ประชันรัศมีกับหมู่ดาวกลางผืนฟ้า ให้บรรยากาศอันสุนทรีย์ในอีกแบบหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงกินยำเนื้อวัวย่างชิ้นหนึ่งแล้วกล่าวโอดครวญ “น่าเสียดายที่มีแต่เนื้อไม่มีสุรา”
ฉือชั่นชายตามองเขา “เจ้านึกว่ามาเที่ยวชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงหรือไร”
เซ่าหมิงยวนเห็นพวกเขาต่อปากต่อคำกันก็โคลงศีรษะยิ้มๆ จากนั้นเบนหน้ามองไปทางเฉียวเจา “ไม่อยากอาหารหรือ”
นางดึงความคิดคืนมาแล้วเช็ดๆ มุมปาก “กินอิ่มแล้ว”
ชายหนุ่มวางตะเกียบลง “เช่นนั้นก็ออกไปเดินรอบๆ กันเถอะ”
“ได้”
เขาลุกขึ้น “สือซี ฉงซาน พวกเจ้ากินกันตามสบาย ข้าจะออกไปเดินเป็นเพื่อนเจาเจา”
ฉือชั่นชะงักตะเกียบในมือ พูดเสียงเรียบๆ โดยไม่เหลือบตาขึ้น “รีบไปรีบกลับ ที่นี่มีผีนะ”
หยางโฮ่วเฉิงตบอกรับรอง “ไม่เป็นไร ถ้าเจ้ากลัวล่ะก็ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
ฉือชั่นยกเท้าเตะเขาแรงๆ ทีหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะอาหาร
“โอ๊ย! พูดขัดหูคำเดียวก็เตะกันเลยหรือ” หยางโฮ่วเฉิงก้มตัวลงกุมหน้าแข้งพลางร้องโอดโอย
พอย่างเท้าออกจากประตูเรือน เซ่าหมิงยวนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “พวกเขาสองคนยังเป็นเหมือนเดิม”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงกล่าวเสียงเบา “ไม่กระทบกระเทือนกับความสัมพันธ์ของพวกท่านก็ดีแล้ว”
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไปก่อนส่ายหน้า น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมาก “ไม่หรอก”
เจาเจามิได้ชมชอบสือซี เขาถึงมีโอกาสไขว่คว้านางอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย แต่ถ้าหากทั้งคู่รักใคร่ชอบพอกัน เขาคงได้แต่อวยพรคนทั้งสองอยู่ในใจเท่านั้น
“เจ้าเคยมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นกระมัง” จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากถามขึ้น
นางชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ค่อยพยักหน้ากล่าว “ย่อมเคยมาสิ มิหนำซ้ำเคยมาหลายครั้งด้วย”
เฉียวเจาคล้ายเดาออกว่าเซ่าหมิงยวนอยากถามอะไร นางทอดสายตามองไปที่หมู่บ้านกลางม่านราตรี พูดเสียงพึมพำว่า “ข้าเคยเจอหญิงขายเต้าหู้มาก่อน ยามนั้นข้ายังวัยเยาว์ เห็นนางถือมีดหั่นผักวิ่งไล่ตามบุรุษตัวโตผู้หนึ่งโดยบังเอิญ ส่วนบุตรชายของนางร้องไห้กระจองอแงอยู่หน้าประตูเรือน พวกชาวบ้านพากันมุงดูชี้นิ้วนินทา ต่อมามีหญิงวัยกลางคนหลายคนดักรอที่หน้าประตูจะขับไล่หญิงขายเต้าหู้ออกจากหมู่บ้าน แต่ท่านปู่ของข้าออกหน้าไกล่เกลี่ยถึงทำให้เรื่องยุติลงได้”
เฉียวเจาเล่าถึงตรงนี้แล้วถอนใจเบาๆ “บุรุษที่หญิงขายเต้าหู้วิ่งไล่ตามเป็นพวกงอมืองอเท้าซึ่งคนในหมู่บ้านใครเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี กระนั้นชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์นี้กลับยืนอยู่ข้างเขาและประณามเหยียดหยามหญิงขายเต้าหู้ ตอนนั้นข้ารู้สึกว่ามันน่าแปลกอย่างที่สุดจริงๆ”
นางเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาพราวระยับดุจดวงดาวของอีกฝ่าย ไต่ถามเสียงค่อยว่า “แม่ทัพเซ่ารู้สึกอย่างไร”
บุรุษที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก้มศีรษะลงประสานสายตากับเด็กสาวที่เงยหน้ามองตน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ข้ารู้สึกว่าน่าแปลกอย่างที่สุดเหมือนกัน”
เฉียวเจาออกเดินต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะหมู่บ้านกลางเขาในยามค่ำคืนดูสลัวเลือนรางดุจภาพมายาในความฝัน ทำให้เสียงพูดของนางอ่อนโยนกว่าปกติหลายส่วน “ตอนนั้นข้าก็ถามท่านปู่อย่างนี้ ท่านเดาสิว่าท่านปู่ตอบอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนเพียงมองนางอย่างจริงจัง เขารู้ว่าเวลานี้เด็กสาวตรงหน้าแค่ต้องการผู้รับฟังเงียบๆ คนหนึ่ง
ในสถานที่ที่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวของนางมากที่สุด ในใจนางคงสุมแน่นไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย
ยังดีที่เขาได้อยู่เคียงข้างนาง
“ท่านปู่ตอบว่าคนใต้หล้านี้มักใจแคบกับสตรีมากกว่าบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีที่สูญเสียสามีไป ดังนั้นวันหน้าข้าอยากมีชีวิตอิสระก็ต้องพยายามครอบครองสิ่งที่ไม่มีวันสูญเสียไปได้”
“เป็นต้นว่าสติปัญญาและวิชาแพทย์ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาแย้มมุมปากออก “ใช่แล้ว เป็นต้นว่าสติปัญญาและวิชาแพทย์”
นางพลันหลุบเปลือกตาลง กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “น่าเสียดายที่ถึงท่านปู่จะเก่งกาจปราดเปรื่องเหนือใครสักปานใด ก็ไม่อาจคาดถึงว่าคนในครอบครัวจะประสบเภทภัยเฉกนี้”
ใต้แสงจันทร์กระจ่างปราศจากผู้คน มีความมืดเป็นที่กำบัง น้ำตาหยดหนึ่งร่วงรินจากทางหางตาของนางเงียบๆ
น้ำตาหยดนั้นคล้ายหล่นลงกลางใจเขาอย่างไร้สุ้มเสียง สะท้านสะเทือนหัวใจของชายหนุ่มให้เจ็บแปลบปลาบ
เขาบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบกะทันหัน ยื่นมือไปเชยคางขาวนวลเนียนของเด็กสาวขึ้นแล้วก้มหน้าลงประทับจูบ
ดวงตาแวววาวทั้งคู่ของเฉียวเจาเบิกกว้างเพราะจุมพิตอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ นางมองบุรุษเหนือศีรษะอย่างงุนงง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าแม่นางเฉียวยังไม่รู้ตัวว่าคนผู้นี้ทำอะไรอยู่
การนิ่งเฉยของเด็กสาวราวกับเป็นคำอนุญาตกลายๆ ปลุกสัญชาตญาณดิบของบุรุษขึ้นมาในชั่วอึดใจ
เขาใช้มือหนึ่งรองท้ายทอยของเฉียวเจา อีกมือหนึ่งโอบเอวเล็กไว้ ดันปลายลิ้นแทรกเข้าในปากนางอย่างหนักหน่วงทว่าพลิกพลิ้วในเวลาเดียวกัน ทำให้การจูบปลอบเบาๆ ดุจแมลงปอแตะผิวน้ำในทีแรกทวีความดูดดื่มลึกล้ำขึ้น
หัวสมองของหญิงสาวอึงอลว่างเปล่า เหลือความคิดเพียงอย่างเดียวว่า เจ้าคนบ้าผู้นี้ทำอะไรอยู่กันแน่
เซ่าหมิงยวนกอดเอวนางแน่นๆ เดิมทีเขาเพียงคิดจะลิ้มลองพอหอมปากหอมคอ แต่นางช่างหอมหวานต่างจากความคาดหมายของเขาลิบลับ มันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษจนกระทั่งจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคงดุจภูผายังมิอาจต้านทานได้ไหว ในม่านราตรีเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำแหบพร่าด้วยอารมณ์ปรารถนา “เจาเจา…”
เสียงเรียก ‘เจาเจา’ ดึงสติของเฉียวเจาคืนมาฉับพลัน นางยกสองมือขึ้นออกแรงผลัก
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนฉายแววรับรู้สิ่งรอบข้างดังเดิม เขาค่อยๆ ปล่อยตัวนาง
“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ” ริมฝีปากที่เห่อชาทำให้เสียงถามไล่เลียงของนางฟังดูอ่อนระโหย
บุรุษตรงหน้าเพียงเพ่งมองนางด้วยสายตาแรงกล้าโดยไม่พูดไม่จา
เฉียวเจาโกรธจนตัวสั่น ยกเท้าเตะหน้าแข้งเขาทีหนึ่ง พร้อมพูดเสียงขุ่นเขียว “ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรอยู่”
ครั้งนี้เขาอ้าปากตอบแต่โดยดี “รู้สิ จูบเจ้า”
นางยกเท้าเตะเขาอีกที “ไร้ยางอาย”
เขาแอบเบี่ยงตัวซ่อนความผิดปกติทางร่างกายไว้
ดูเหมือนเขาจะไร้ยางอายอยู่สักหน่อย หากเป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนเขาคงคิดไม่ถึงว่าตนจะกระทำเรื่องพรรค์นี้ได้
แต่ไฉนความรู้สึกเช่นนี้ถึงได้ยอดเยี่ยมนักนะ
เห็นท่าทางของอีกฝ่ายเป็นดั่งสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกแล้ว เฉียวเจาลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วก้าวขาออกเดินไป
เซ่าหมิงยวนคว้าตัวนางไว้หมับ
“ท่าน…”
เขายื่นมือไปปิดปากนางไว้ กระซิบบอกว่า “เบาเสียงลง ทางนั้นมีคนมา”