หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 391
บทที่ 391
พอเซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้ เฉียวเจาหยุดดิ้นขัดขืนทันใด นางถูกเขาพาไปอยู่หลังต้นไม้อย่างว่องไว
แม้ว่าจะเป็นต้นไม้เก่าแก่แต่ไม่สามารถบังตัวคนสองคนไว้ได้ เซ่าหมิงยวนจึงมีเหตุผลกอดนางไว้ในอ้อมอกอย่างเต็มที่
ถึงเฉียวเจาจะอ่อนใจ แต่ไม่มีแก่ใจจะตั้งแง่กับเขาโดยใช่เหตุในเวลาอย่างนี้ นางค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกไปสังเกตการณ์รอบๆ
ในความมืดหญิงสาวไม่มีประสาทสัมผัสเฉียบไวเช่นบุรุษข้างกาย นางเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่พบความผิดปกติใด
เฉียวเจาอดสงสัยไม่ได้ว่าจอมเจ้าชู้บางคนอาจเล่นลูกไม้อีกแล้ว
“ทางนั้น…” เสียงพูดเบาๆ พลันดังขึ้นข้างหู ลมหายใจเย็นเฉียบที่คุ้นเคยรินรดข้างแก้มร้อนผ่าวๆ ส่งผลให้ใจนางว้าวุ่นอยู่บ้างชอบกล
แต่เฉียวเจาสงบจิตใจได้ในเวลาอันสั้น นางหรี่ตามองคนที่เดินย่องเข้ามา
คนผู้นั้นชะเง้อคอเมียงมองด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ จากนั้นหยุดยืนที่ข้างกำแพงด้านหลังเรือนของหญิงขายเต้าหู้
“ดูสิว่าเขาจะทำอะไร” เซ่าหมิงยวนลดสุ้มเสียงลงเบามาก เขารับรู้ได้ว่าเด็กสาวในวงแขนอยู่นิ่งๆ อย่างฉลาดน่ารัก ก็ลอบหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในสภาพการณ์ขณะนี้เสียงหัวเราะแผ่วๆ แทบไม่ได้ยินนี้กลับปลุกปั่นหัวใจให้สั่นไหวได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
จู่ๆ เฉียวเจาก็รู้สึกกระอักกระอ่วน นางลอบขยับตัวออกห่างเขา
ทันทีที่นางขยับก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแข็งๆ จ่ออยู่ตรงเอว
เฉียวเจาก้มหน้าลงอย่างฉงนใจ
ทีนี้ถึงคราวเซ่าหมิงยวนกระอักกระอ่วนบ้าง กระนั้นอาการตอบสนองทางกายมิใช่ว่าจะควบคุมกันได้ เขาจำต้องเกร็งตัวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างแข็งทื่อ แต่ด้านหลังเป็นลำต้นของต้นไม้เลยหมดทางถอย
เซ่าหมิงยวนหน้าแดงก่ำ เมื่อเข้าตาจนเขาบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งกล่าวว่า “ดูเร็วเข้า คนผู้นั้นปีนขึ้นกำแพงไปแล้ว”
เฉียวเจาถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปทันใด
ผู้มาเยือนปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วชะโงกมองเข้าไปในเรือน
“ไปจับคนผู้นั้นไว้ดีหรือไม่” เฉียวเจากระซิบถาม
“ไม่ต้อง”
เฉียวเจามองเขาอย่างหลากใจ
‘ไม่ต้อง’ หมายความว่าอะไร หรือจะปล่อยคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ คนนั้นไป
แต่แล้วนางก็ได้รู้คำตอบในเวลาอันรวดเร็ว
มือข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาจากขอบกำแพง คว้าตัวคนที่เกาะอยู่บนนั้นไว้หมับแล้วดึงเข้าไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป คนผู้นั้นไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจด้วยซ้ำไป
“ไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนทำไม่รู้ไม่ชี้จูงมือเฉียวเจาเดินกลับไป
เฉียวเจาเพิ่งรู้สึกตัวตอนใกล้ถึงหน้าประตู นางดึงมือคืนพร้อมกับกระซิบเตือน “เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าได้คืบเอาศอกนะ”
แม่ทัพหนุ่มยื่นหน้าไปใกล้ๆ ข้างใบหูนาง พูดกลั้วเสียงหัวเราะแผ่วเบา “น้อมรับคำสั่งขอรับ”
แม่นางเฉียวหน้าแดงทันควัน เขาไปเรียนรู้กลเม็ดแทะโลมสตรีพวกนี้มาจากที่ใดกันแน่
ทั้งคู่ก้าวเข้าประตู มองปราดเดียวก็เห็นเยี่ยลั่วใช้เท้าเหยียบตัวคนผู้นั้นตรึงไว้กับพื้น เขาดิ้นกระเสือกกระสนสุดแรง แต่ทำได้แค่ส่งเสียงร้องครางในลำคอ
พวกฉือชั่นยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าตกใจ
“เยี่ยลั่ว” เซ่าหมิงยวนสาวเท้าเข้าไปพลางเปล่งเสียงเรียก
เยี่ยลั่วได้ยินเสียงก็หันไป เขายกเท้าออกทันทีแล้วแสดงคารวะพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพ มีสายสืบขอรับ”
ชั่วพริบตาเดียวเซ่าหมิงยวนก็เดินมาถึงใกล้ๆ เขาก้มลงมองสำรวจคนบนพื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พาเขาเข้าเรือนก่อนค่อยว่ากัน”
ทุกคนเข้าไปในเรือน
ภายในห้องสว่างไสวดุจยามกลางวัน เผยรูปโฉมโนมพรรณของผู้มาเยือนให้ปรากฏชัดต่อเบื้องหน้าสายตา
เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนเรือนกายล่ำสันบึกบึน คิ้วหนาตาโต เพราะโดนคนมากมายจ้องมอง เขาดิ้นขลุกขลักไม่หยุดประหนึ่งวิหคตื่นกลัวเกาทัณฑ์
“เอาของที่ยัดใส่ปากเขาไว้ออก” เซ่าหมิงยวนออกคำสั่ง
เยี่ยลั่วหยิบผ้าขี้ริ้วในปากบุรุษผู้นั้นออกโดยไม่รอช้า
“พวกเจ้า…พวกเจ้าจะทำอะไร”
เซ่าหมิงยวนนั่งลงแย้มปากยิ้มพลางพูดอย่างเป็นจังหวะจะโคน “ประโยคนี้สมควรเป็นพวกข้าถามเจ้าจึงจะถูก ค่ำมืดลมแรง พี่ชายปีนกำแพงเรือนคนอื่นคิดจะทำอะไรหรือ”
ชายหนุ่มซึ่งนั่งบนเก้าอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าบุรุษวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงอันตรายตามสัญชาตญาณ เขากระถดตัวหนี พูดตะกุกตะกักว่า “ขะ…ข้าแค่มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น…”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง
เฉินกวงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากลอกตาขึ้น “พี่ชาย เป็นท่านโง่เขลาหรือว่าเห็นพวกข้าโง่เขลารึ ต้องอยากรู้อยากเห็นเพียงใดถึงมาปีนกำแพงดูตอนดึกๆ ดื่นๆ”
บุรุษวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก เขากล่าวอย่างซื่อสัตย์ “ข้ารู้สึกว่ามาดูตอนกลางวันจะถูกจับได้น่ะสิ”
เฉินกวงอึ้งงัน “…” เหตุผลนี้ทำเอาจนวาจาจะโต้ตอบ
“พี่ชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” เซ่าหมิงยวนถามไถ่ด้วยสีหน้าราบเรียบ
บุรุษวัยกลางคนก้มหน้าลง “ข้ามีนามว่าเถี่ยจู้”
“เหตุใดพี่เถี่ยจู้ถึงสนใจพวกข้าเล่า”
เถี่ยจู้เงยหน้าขึ้น เกาท้ายทอยแกรกๆ “ที่นี่มีผีมิใช่หรือ ข้าได้ยินว่ามีคนเข้ามาพัก ก็อยากรู้ว่าเหตุใดพวกใต้เท้าถึงไม่กลัว เลยอดมาดูว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรไม่ได้ ใต้เท้า ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอื่นใดจริงๆ และไม่ใช่ขโมยด้วย”
เขาพูดพลางประสานมือปลกๆ ให้เซ่าหมิงยวน “ใต้เท้าใจคอกว้างขวาง อย่าถือสาหาความข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะขอรับ”
“ได้”
เซ่าหมิงยวนตอบตกลงง่ายดายเหลือเกินจนทำให้เถี่ยจู้ตั้งตัวไม่ติด เขาคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ “อะไรนะ”
เฉินกวงกลอกตาขึ้น “หูหนวกรึ ไม่ได้ยินหรือว่าท่านแม่ทัพของข้าตกลงปล่อยเจ้าไปแล้ว รีบไปเสีย!”
เถี่ยจู้ถูกไล่ตะเพิดออกนอกประตูถึงได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน “ขอบคุณใต้เท้าขอรับๆ” พูดจบเขาก็วิ่งไปโดยไม่เหลียวหลัง
“ถิงเฉวียน นี่เจ้าปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ” ฉือชั่นเอ่ยถาม
“เจ้ารู้สึกว่าเขาน่าสงสัยมาก?”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “คำพูดพวกนั้นของเขาเอาไปโกหกผียังพอทำเนา ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนพาพวกเรามาพำนักที่นี่อย่างเปิดเผย มิได้ลักลอบเข้ามาอยู่เองถึงได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนได้มากถึงเพียงนี้”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “จริงของเจ้า”
“แล้วเจ้า…”
เขายกยิ้ม “ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้เขากลับไป เขาเป็นชาวบ้านที่นี่มิใช่นักโทษ อีกอย่างพวกเราเพิ่งมาถึง ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง จะแหวกหญ้าให้งูตื่นง่ายๆ ไม่ได้”
“ถิงเฉวียนพูดไม่ผิด แต่น่าจะจับตาดูคนผู้นั้นไว้สักหน่อย” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายิ้มๆ “วางใจได้ เยี่ยลั่วติดตามไปแล้ว”
พอเขาบอกเช่นนี้ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเยี่ยลั่วหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
ทั้งคู่มองหน้ากันไปมาแล้วทดท้อใจอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งที่รุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขากลับอ่อนด้อยกว่าสหายรักมากนัก สนามรบฝึกฝนบ่มเพาะคนได้เฉกนี้จริงๆ หรือ
หยางโฮ่วเฉิงอดถอนใจไม่ได้ “ถิงเฉวียน ขืนเจ้าทำให้คนอื่นสะเทือนใจเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเราคงเป็นสหายกันดีๆ ไม่ได้แล้ว”
“พวกเขามีชามข้าวใบนี้ใบเดียว เจ้าอย่าไปแย่งชามข้าวคนอื่นเลย”
“วันหน้าจะไม่พาข้าไปสนามรบด้วยจริงๆ หรือ” หยางโฮ่วเฉิงถามด้วยแววตาวาดหวัง
เซ่าหมิงยวนตบไหล่เขา “มันถ่วงรั้งชีวิตมากเกินไป จะไม่ได้ตบแต่งภรรยานะ”
หยางโฮ่วเฉิงเบะปาก “พูดอย่างกับว่าเจ้ามีภรรยาแล้วกระนั้น”
เขาพูดคำนี้จบก็รู้ตัวว่าพลั้งปาก จึงตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งค่อยมองไปทางฉือชั่น พอเห็นทั้งสองล้วนไม่มีท่าทีอะไรถึงลูบๆ จมูก “แค่กๆ ง่วงแล้ว ข้าไปนอนนะ”
ตลอดทั้งคืนไร้เสียงสนทนาใด
วันถัดมาเซ่าหมิงยวนส่งคนไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมา
“เมื่อคืนท่านโหวคงนอนหลับสบายกระมัง” คราใดที่มาเรือนผีสิงหลังนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ้าง
“ขอบคุณที่ผู้ใหญ่บ้านห่วงใย พวกข้าล้วนหลับสบายไม่เลว” เซ่าหมิงยวนพูดคุยตามมารยาทสองสามคำก่อนถามเรื่องของเถี่ยจู้
“เถี่ยจู้น่ะหรือ เมื่อก่อนเป็นช่างเหล็กในหมู่บ้าน เขามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว”