หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 392
บทที่ 392
“ปกติเขาเป็นคนอย่างไร” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
“เป็นคนอย่างไรน่ะหรือ” ผู้ใหญ่บ้านตรึกตรองครู่หนึ่ง “ปกติเถี่ยจู้เงียบขรึมไม่ช่างพูด น้อยนักที่จะได้รับความสนใจจากคนอื่น ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนซื่อๆ ทื่อๆ ท่านโหว ท่านรู้จักเถี่ยจู้ได้อย่างไร”
“เมื่อวานพบกันโดยบังเอิญ” ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรมากไปกว่านี้ เขารั้งตัวผู้ใหญ่บ้านดื่มชากัน และเปลี่ยนไปถามไถ่ถามเรื่องต่างๆ ในหมู่บ้าน
ด้วยอีกฝ่ายเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่เฉกกวนจวินโหว ผู้ใหญ่บ้านย่อมตอบทุกสิ่งที่รู้และพูดโดยไม่ปิดบัง พอดื่มชาถึงถ้วยที่สามบรรยากาศเริ่มเป็นกันเองขึ้น เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านโหว ข้าเห็นพวกท่านเป็นแขกผู้ทรงเกียรติแต่ไม่มีคนคอยยกน้ำชาให้สักคน ข้ามีหลานสาวหลายคน หากท่านไม่รังเกียจว่าพวกนางงุ่มง่ามเก้งก้าง ก็ให้พวกนางมาช่วยงานทางนี้สองสามวัน พวกงานปะชุนเสื้อผ้าหรือปัดกวาดเช็ดถู ยังพอทำให้พวกท่านได้ขอรับ”
เฉียวเจานั่งนิ่งอยู่มุมห้องเหลือบมองเซ่าหมิงยวนแล้วจิบน้ำชาคำหนึ่งเงียบๆ
เขารีบพูดขึ้น “ไม่จำเป็น พวกข้าล้วนเป็นบุรุษ มีมือมีเท้า ไม่ต้องมีคนรับใช้”
“เป็นอย่างนี้เองหรือ ถ้าหลังจากนี้ท่านโหวอยากได้สาวใช้มาเป็นแรงงาน เอ่ยปากได้เต็มที่ขอรับ” น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเจือความเสียดายไว้ชัดเจน
ว่ากันว่าเหล่าผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงแม้แต่ล้างหน้าสวมอาภรณ์ยังต้องมีคนปรนนิบัติ ไฉนท่านโหวผู้นี้ต่างออกไปนะ
หลานสาวสองสามคนนั้นของเขาล้วนรูปโฉมพริ้มเพรา มีผู้สูงศักดิ์อยู่ตั้งหลายคน เกิดเป็นที่ถูกตาต้องใจของคนใดคนหนึ่งก็ได้เสวยสุขไปตลอดชาติแล้ว หรืออย่างน้อยๆ ได้ค่าจ้างช่วยงานบ้างก็ยังดี
สายตาของผู้ใหญ่บ้านฉายแววเสียดายมากขึ้น
เซ่าหมิงยวนชายหางตามองเด็กสาวซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ที่มุมห้องปราดหนึ่ง พลันรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
นี่ผู้ใหญ่บ้านมิใช่หาเรื่องให้ข้าหรือ เกิดเจาเจาโมโหขึ้นมาจะทำฉันใด
“เรื่องพวกนี้ไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว พวกข้าล้วนชมชอบออกแรงทำงานทั้งนั้น” เซ่าหมิงยวนกล่าวยิ้มๆ
พวกหยางโฮ่วเฉิงด้านข้างฟังแล้วขมวดคิ้วอยู่ตลอด
ใครชมชอบออกแรงทำงานกัน เจ้าคนผู้นี้พูดแทนพวกข้าส่งเดชอีกแล้ว!
สีหน้าแววตาของทุกคนตกอยู่ในสายตาของเซ่าหมิงยวนจนสิ้น แต่เขาทำหน้าไม่อนาทรร้อนใจ
ขอแค่เจาเจาไม่โมโหก็พอ สำหรับคนอื่น หึๆ แต่ละคนล้วนเป็นบุรุษสูงใหญ่บึกบึน ถ้าไม่พอใจพาออกไปสั่งสอนสักยกก็สงบเสงี่ยมแล้ว
เซ่าหมิงยวนวางถ้วยน้ำชาลงตั้งท่าจะส่งแขก แต่เขายังไม่ทันอ้าปากพูด เฉินกวงก็เข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ด้านนอกมีชาวบ้านมาหาผู้ใหญ่บ้านขอรับ”
“หาข้า?” ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืนอย่างกังขาใจ “ใครกันมาหาข้าในเวลานี้ ข้าบอกกล่าวภรรยาที่เรือนไว้ว่ามาพบท่านโหวที่นี่ ท่านโหวขอรับ เช่นนั้นข้าขอออกไปดูสักหน่อย”
เซ่าหมิงยวนส่งสายตาบอกเฉินกวงแล้วรั้งตัวผู้ใหญ่บ้านไว้ “เชิญคนผู้นั้นเข้ามาพูดเถอะ”
เฉินกวงวิ่งออกไปทันที ไม่นานนักก็พาชายหนุ่มหน้าตาฉลาดหัวไวผู้หนึ่งเข้ามา
เมื่ออยู่เบื้องหน้าพวกเซ่าหมิงยวน เขาก้มหน้าลงแต่ดวงตากลับกลอกหลุกหลิกไปมา
ผู้ใหญ่เข้าไปเงื้อมือฟาดเขาทีหนึ่ง “มัวมองอะไรส่งเดชอยู่เล่า มีเรื่องใดก็รีบพูด”
ชายหนุ่มพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านนายอำเภอมาแล้วขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านตกใจยกใหญ่ “ท่านนายอำเภอมาที่หมู่บ้านเราได้เช่นไร”
“ท่านนายอำเภอบอกว่าจะมาเยี่ยมคารวะกวนจวินโหวขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านมองไปทางเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ท่านเห็นว่า…”
เขาพยักหน้ากับเฉินกวงทีหนึ่ง “เฉินกวง เจ้าตามเขาไปดู ถ้าเป็นนายอำเภอจยาเฟิงก็เชิญเข้ามา”
“น้อมรับคำสั่ง” เฉินกวงพาชายหนุ่มออกไป
เซ่าหมิงยวนกลับไปนั่งลง เขาชี้เก้าอี้ด้านข้าง “ผู้ใหญ่บ้าน เชิญนั่ง”
ผู้ใหญ่บ้านทำท่าละล้าละลัง นั่นเป็นถึงท่านนายอำเภอเชียวนะ เขาจะอยู่ในนี้กับกวนจวินโหวต่อดีหรือว่าออกไปต้อนรับท่านนายอำเภอดี
ท่านโหวใหญ่กว่าท่านนายอำเภอ เขาควรจะอยู่ในนี้ แต่เขานั่งเช่นนี้ ประเดี๋ยวท่านนายอำเภอเข้ามาจะทำประการใด
“ผู้ใหญ่บ้าน เชิญนั่ง” เซ่าหมิงยวนกล่าวเป็นคำรบที่สอง
ผู้ใหญ่บ้านรีบนั่งลง เขานั่งหมิ่นๆ บนขอบเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างระวังตัวแกมกระสับกระส่าย
ไม่นานนักบุรุษไว้หนวดสั้นวัยราวสี่สิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามา มีผู้ติดตามด้านหลังหลายคน
ผู้ใหญ่บ้านลุกพรวดขึ้นทันที
บุรุษหนวดสั้นเหลียวมองรอบตัวอย่างว่องไว สุดท้ายหยุดสายตาที่ตัวเซ่าหมิงยวน ประสานมือคำนับพลางกล่าว “ข้าคือหวังต้าไห่นายอำเภอจยาเฟิง คารวะท่านโหวขอรับ”
“นายอำเภอหวัง เชิญนั่ง”
นายอำเภอหวังนั่งลง ท่าทางของเขานอบน้อมพอสมควร “ข้าได้ยินว่าท่านโหวมาเยือนอำเภอเรา รู้สึกเป็นเกียรติเหลือหลาย ข้ามิได้ไปต้อนรับแต่แรกทันที หวังว่าท่านโหวจะไม่ตำหนิโทษ”
“นายอำเภอหวังเกรงใจเกินไปแล้ว” เซ่าหมิงยวนพินิจดูเขาด้วยสีหน้านิ่งสนิท
นายอำเภอหวังปาดเหงื่อก่อนเบนสายตาไปทางพวกฉือชั่น “ท่านโหว ไม่ทราบว่าคุณชายสองท่านนี้คือ…”
เซ่าหมิงยวนชี้ที่ฉือชั่น กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “นี่คือคุณชายฉือ นี่คือคุณชายหยาง”
นายอำเภอหวังกุลีกุจอกล่าวทักทายคนทั้งสอง “ที่แท้เป็นคุณชายฉือกับหยางซื่อจื่อ ข้าได้ยินชื่อมานานแล้ว”
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอประกายวูบ เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“ท่านโหวเดินทางมาในคราวนี้เพื่อเซ่นไหว้ใต้เท้าเฉียวหรือขอรับ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ประเดี๋ยวก็จะไปเซ่นไหว้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปพร้อมกับท่านโหวเถอะ อาจารย์เฉียวจัวคือต้นแบบของเหล่าปัญญาชนทั่วหล้า ส่วนใต้เท้าเฉียวเป็นแบบอย่างของชนรุ่นเราเช่นเดียวกัน ข้าหมายใจจะไปเซ่นไหว้มานานแล้ว”
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม “ตกลง นายอำเภอหวังนั่งรอสักครู่ ข้าไปเตรียมตัวก่อน”
เขาลุกขึ้นมองเฉียวเจาปราดหนึ่งโดยไม่ให้ผิดสังเกตถึงเดินออกไป
นายอำเภอหวังเข้าไปโอภาปราศรัยกับพวกฉือชั่นทันที
ยามอยู่กับคนเหล่านี้ฉือชั่นจะวางท่าเย็นชาถือตัวมาแต่ไหนแต่ไร คร้านแม้แต่จะรักษามารยาท ขณะที่หยางโฮ่วเฉิงยังนับว่าช่างพูดช่างเจรจา บรรยากาศถึงไม่อึดอัดนัก
ยามนี้เองเฉียวเจาก็สบช่องเล็ดลอดออกไป
เซ่าหมิงยวนรออยู่ใต้ต้นผีผาในลานเรือน เห็นเด็กสาวเดินมาหาก็ก้าวเท้าเข้าไป
“นายอำเภอหวังผู้นี้มีพิรุธ” เฉียวเจาเดินอยู่ข้างกายเซ่าหมิงยวนพลางพูดเสียงค่อย
“เจ้ามองออกเหมือนกันหรือ” เซ่าหมิงยวนอมยิ้มถาม
เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง “ข้ามิได้โง่งมสักหน่อย”
นางพูดจบแล้วยิ้มละไมมองชายหนุ่ม “ไหนแม่ทัพเซ่าว่ามาให้ฟังทีสิว่านายอำเภอผู้นี้มีพิรุธที่ใด”
เขามองไปทางหน้าประตูเรือน ลดสุ้มเสียงลงกล่าว “เขาออกจะมาเร็วเกินไปสักหน่อย พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ต่อให้พวกชาวบ้านชอบเล่าลือต่อๆ กันก็ไม่มีทางแพร่ไปเร็วถึงเพียงนี้ พูดอีกนัยคือนายอำเภอหวังน่าจะส่งคนไปเฝ้าดูที่ท่าเรือไว้โดยเฉพาะถึงได้ข่าวอย่างทันท่วงที”
“ไม่ผิด ยังมีคำที่เขาเรียกขานพี่หยาง ท่านแนะนำว่าเป็นคุณชายหยางชัดๆ เขากลับเรียกขานพี่หยางว่าหยางซื่อจื่อ นี่บ่งบอกว่าเขารู้ฐานะของพวกพี่หยางแต่แรก…” เฉียวเจาสังเกตเห็นบุรุษตรงหน้ามีสีหน้าผิดแผกไป นางหยุดพูดแล้วอดถามขึ้นไม่ได้ “มีอันใดหรือ”
เซ่าหมิงยวนคับข้องใจอย่างมาก “เพราะอะไรพวกเขาคือพี่หยางกับพี่ฉือ ส่วนข้าคือแม่ทัพเซ่า”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกๆ นางปั้นหน้าตึงย้อนถาม “แม่ทัพเซ่ามีข้อข้องใจหรือ”
“ข้อข้องใจน่ะไม่มี มีแต่ข้อเสนอแนะเล็กๆ อย่างหนึ่ง เจาเจาเรียกข้าว่าพี่เซ่าเป็นอย่างไร”
นางมองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พูดอย่างปราศจากความเกรงใจ “อันที่จริงว่ากันถึงวัยที่ต่างกันของพวกเราในยามนี้ ข้าเรียกท่านว่าอาเซ่าก็ยังได้เลย”
เซ่าหมิงยวนกำมือขึ้นกดริมฝีปากไอเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นเป็นแม่ทัพเซ่าเถอะ”
ถ้าเรียกขานตามลำดับอาวุโสจะตอบตกลงไม่ได้!
เมื่อข้อเสนอโดนแย้งกลับ เซ่าหมิงยวนจำต้องพูดเข้าเรื่องต่อ “ไม่ว่าเป็นเรื่องที่พวกเจ้าลงใต้เสาะหาตัวยา หรือว่าข้ามาเซ่นไหว้ผู้ล่วงลับ นายอำเภอซึ่งอยู่ไกลถึงแดนใต้ผู้หนึ่งไม่มีทางล่วงรู้ได้ และไม่จำเป็นต้องส่งคนไปเฝ้าดูที่ท่าเรือ ดังนั้นมีความเป็นไปได้สองประการ…”