หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 393
บทที่ 393
“ความเป็นไปได้ประการแรกคือได้ข่าวจากกององครักษ์จินหลิน ทว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ไม่มาก…” พอเห็นเฉียวเจารับฟังด้วยความตั้งใจ เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น “พินิจจากสภาพการณ์ที่ข้าเคยพบปะพูดคุยกับเจียงถังหัวหน้ากององครักษ์จินหลินมาหลายครั้ง เขาเป็นคนมีชั้นเชิงแพรวพราวและไม่มีทางเลือกข้างอย่างชัดเจน เรื่องที่ข้าลงใต้มาที่จยาเฟิง เขาต้องจับตาดูแน่ แต่เป็นไปไม่ค่อยได้ที่เขาจะแลกเปลี่ยนข่าวสารกับขุนนางท้องถิ่น”
เฉียวเจาพยักหน้าตอบ
“ส่วนความเป็นไปได้อีกประการนั้นน่าสนใจอยู่บ้าง คือเขาได้ข่าวมาจากทางเมืองหลวง จึงรู้แต่แรกว่าข้าจะมาจยาเฟิงและส่งคนมาเฝ้าที่ท่าเรือ”
“ท่านมาจยาเฟิงด้วยเรื่องส่วนตัว กลับจับตาดูอย่างใกล้ชิดเช่นนี้เพราะกลัวท่านหลอกว่ามาเซ่นไหว้ผู้ล่วงลับ แต่จริงๆ แล้วจะสืบคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว…” เฉียวเจาพ่นลมหายใจออกเบาๆ “แล้วเหตุใดท่านตอบตกลงให้นายอำเภอไปเซ่นไหว้ด้วยกันเล่า ไม่กลัวแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “เหตุไฟไหม้ครั้งนั้นผ่านไปตั้งนานปานนี้ เกรงว่าตอนนี้มิใช่แหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ไม่มีงูให้ตื่นแล้วต่างหาก”
ชายหนุ่มพูดจบแล้วพบว่านางมองตนเองนิ่งๆ ก็อดแปลกใจไม่ได้ เขาก้มหน้าเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม “ท่านพูดได้ถูกต้อง”
มีคนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อย่างนี้เป็นความรู้สึกที่ทั้งแปลกใหม่ทั้งดีเหลือเกิน
“ไปเถอะ ไปบอกกล่าวท่านเฉียนสักคำ” เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างพินิจ “เจาเจา ข้าคิดจะเปิดโลงพลิกศพต่อหน้านายอำเภอหวัง เจ้าเห็นด้วยหรือไม่”
ใบหน้าของเฉียวเจาเผือดลง นางหลุบเปลือกตาพลางพยักหน้า
นางเชิญนักชันสูตรเฉียนมาก็มิได้ตั้งใจจะลักลอบทำลับๆ ตั้งแต่แรก หาไม่แล้วถึงสืบพบความผิดปกติใดก็จะโดนปฏิเสธอย่างง่ายดาย
การเปิดโลงพลิกศพเพื่อเปิดเผยเรื่องสกุลเฉียวไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อสายตาคนใต้หล้า
“เช่นนั้นไปกันเถอะ”
ครึ่งชั่วยามให้หลัง พวกเซ่าหมิงยวนจุดธูปเซ่นไหว้ที่หน้าหลุมศพชาวสกุลเฉียวทีละคน
นายอำเภอหวังนึกเอะใจ เอ๊ะ พิธีนี้ไม่ใคร่เหมือนกับครอบครัวทั่วไป!
แต่พอเขาคิดอีกทีว่าบางทีอาจเป็นธรรมเนียมของทางเมืองหลวง ก็เข้าไปจุดธูปดอกหนึ่งด้วย
บนภูเขามีหลุมฝังศพใหม่เรียงรายเป็นแถว สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาหอบกระดาษเงินกระดาษทองปลิวว่อนทั้งสี่ทิศ คละเคล้าไปด้วยกลิ่นกระดาษไหม้ไฟจางๆ บันดาลให้นายอำเภอหวังสะท้านเยือกโดยไม่รู้ตัว เขายกยิ้มกล่าวกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ จะให้เกียรติไปพูดคุยสังสรรค์กันในเมืองหรือไม่ ข้าสั่งให้คนจองโต๊ะอาหารในหอสุราที่ดีที่สุดของเมืองไว้เลี้ยงต้อนรับทุกท่านขอรับ”
“ข้ายังมีธุระอีก” เซ่าหมิงยวนบอกปัดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
นายอำเภอหวังประหลาดใจพอดู แต่ยังกล่าววาจาได้รัดกุมไร้ช่องโหว่ “ท่านโหวเดินทางมาไกล อาจจะไม่สะดวกเท่าอยู่ในเมืองหลวง หากมีเรื่องยุ่งยากอันใดบอกกับข้าได้เลยเต็มที่ ข้าจะสั่งให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาข้าไปทำให้เองขอรับ”
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างสุภาพ “ขอบคุณในน้ำใจของนายอำเภอหวัง ทว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะให้คนอื่นมาทำ”
“อืม” นายอำเภอหวังลูบหนวดสั้นๆ ของตนตามความเคยชิน สองจิตสองใจว่าจะหยั่งถามตามตรงหรือไม่
มาตรว่ากวนจวินโหวท่านนี้จะอายุยังน้อย ท่าทางสุภาพมีมารยาท แต่กลับให้ความรู้สึกว่าจะดูแคลนไม่ได้ จากประสบการณ์ที่เขาเป็นขุนนางมานานปี นี่เป็นกระดูกชิ้นโตเคี้ยวยาก
ไฉนคนใหญ่คนโตระดับนี้ถึงมาที่จยาเฟิงได้นะ!
เซ่าหมิงยวนไม่แยแสนายอำเภอหวังอีก เขายื่นมือออกไปพลางเอ่ย “เฉินกวง”
เฉินกวงยื่นจอบเล่มหนึ่งส่งให้
เซ่าหมิงยวนรับไว้แล้วก็เริ่มขุดสุสานหนึ่งในนั้น
“ท่านโหว นี่ท่านจะทำอะไรขอรับ” นายอำเภอหวังร้องเสียงหลง
เซ่าหมิงยวนเบนหน้ามองเขาแวบหนึ่ง บอกด้วยสุ้มเสียงเรียบเฉย “อ้อ เปิดโลงพลิกศพ พวกเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด”
สิ้นเสียงเขา มีจอบนับไม่ถ้วนฟันลงมาบนพื้นดินจนฝุ่นตลบในพริบตา
“แค่กๆๆ…” นายอำเภอหวังถอยกรูดพร้อมไออย่างรุนแรง ครู่หนึ่งถึงหายใจได้เป็นปกติ เขากล่าวอย่างเหลือเชื่อว่า “ท่านโหว ท่าน…ท่านจะเปิดโลงพลิกศพ?”
เซ่าหมิงยวนยืดตัวขึ้นใช้มือหนึ่งถือจอบยันพื้นไว้ พลางกล่าวเอื่อยๆ “ใช่ นายอำเภอหวังมีข้อข้องใจใดหรือ”
“แน่นอน…” ครั้นมองสบดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย นายอำเภอหวังพูดเบี่ยงไปอีกทางกะทันหัน “แน่นอนว่าไม่กล้ามีข้อข้องใจ เพียงแต่ท่านโหวต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนนะขอรับ ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวถูกนำลงฝังมาครึ่งปีเศษแล้ว ท่านทำอย่างนี้จะไม่เป็นการรบกวนดวงวิญญาณของพวกเขาหรือ”
พอเห็นเซ่าหมิงยวนไม่สนใจไยดี นายอำเภอหวังมองหน้าทุกคนแล้วพูดอย่างร้อนรน “ทุกท่านพูดห้ามท่านโหวสิ”
ครั้นเห็นว่าเป็นคนหนุ่มไม่รู้เรื่องรู้ราว นายอำเภอหวังโคลงศีรษะ กวาดตาไปมองเห็นผู้ใหญ่บ้านที่แอบอยู่ด้านข้างเป็นเต่าหดหัว เขาตะโกนถามว่า “เจ้าคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านไป๋อวิ๋นใช่หรือไม่ ยังไม่มาช่วยกันพูดห้ามท่านโหวอีก!”
ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามา สีหน้าของเขาไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร “ท่านโหว ท่านนายอำเภอกล่าวได้ถูกต้อง ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”
“หือ?”
ผู้ใหญ่บ้านปาดเหงื่อไม่หยุด “มีอย่างที่ใดกันคนถูกนำลงฝังแล้วยังจะเปิดโลงพลิกศพอีก ทำให้เถ้ากระดูกของบรรพบุรุษกระทบแสงตะวัน นี่เป็นเรื่องอัปมงคลร้ายแรง และอกตัญญูอย่างใหญ่หลวงนะขอรับ”
กตัญญูหรือไม่มิใช่กงการอะไรของเขา แต่ถ้าทำเลที่ตั้งและความสมดุลของหมู่บ้านต้องเสียหายเพราะเหตุนี้ วันข้างหน้าคนในหมู่บ้านจะทำฉันใด
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบฟังผู้ใหญ่บ้านพูดจนจบก็เงื้อจอบขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านเผ่นพรวดไปหลบหลังนายอำเภอหวังทันที
นายอำเภอหวังอึ้งงัน ตาเฒ่าผู้นี้ยังอายุมากกว่าข้า แข้งขากลับว่องไวปานนี้!
“ท่านโหว…” นายอำเภอหวังส่งยิ้มให้เซ่าหมิงยวน
หรือว่าอากัปกิริยาสุภาพนุ่มนวลของกวนจวินโหวก่อนหน้าล้วนเสแสร้งแกล้งทำ พอพูดขัดหูคำเดียวก็จะกวัดแกว่งจอบเข้าใส่?
แม่ทัพหนุ่มที่ถือจอบไว้แย้มมุมปากออกเล็กน้อย “ด้วยเหตุนี้นายอำเภอหวังยังมีข้อข้องใจหรือ”
ชะรอยผู้ใต้บังคับบัญชาจะเคยชินกับการเก็บของที่ดีที่สุดไว้ให้ผู้เป็นนายของตน จอบเล่มที่อยู่ในมือเซ่าหมิงยวนจึงใหม่เอี่ยมอ่อง ส่องประกายเย็นเยียบอยู่ใต้แสงแดด
นายอำเภอหวังเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะแห้งๆ “ข้าน้อยมิบังอาจๆ”
ชายหนุ่มหันไปมองผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้านไม่ต้องกังวลใจ ข้าทำเพราะกตัญญูต่อท่านพ่อตาแม่ยายถึงตัดสินใจเปิดโลงพลิกศพ”
ผู้ใหญ่บ้านก้าวออกจากด้านหลังของนายอำเภอหวังแต่แรก เขาถามเสียงสั่นๆ “ท่านโหวกล่าวคำนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
เขาอายุมากแล้วกำลังวังชาถดถอย ประเดี๋ยวดูท่าไม่ดีค่อยเป็นลมก็แล้วกัน
เซ่าหมิงยวนมองนายอำเภอหวังพลางพูดเอื่อยๆ “เมื่อคืนหลังข้าหลับไป จู่ๆ ท่านพ่อตาก็มาเข้าฝันตำหนิว่าข้าไม่กตัญญูถึงเพิ่งมาเซ่นไหว้ตอนนี้ เป็นต้นเหตุให้หลายเดือนมานี้ท่านจับเจ่าเฝ้ารอข้าเรื่อยมาจนนอนอยู่ใต้ดินไม่เป็นสุขแม้แต่ชั่วเค่อเดียว พอข้าตื่นขึ้นก็คิดทบทวนไปมา ถึงตัดสินใจเปิดโลงดูให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป”
ในใจนายอำเภอหวังย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา แต่เขาไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า เพียงพูดกล่อมว่า “ท่านโหวต้องเข้าใจความหมายของใต้เท้าเฉียวผิดไปเป็นแน่ ใต้เท้าเฉียวรอคอยท่านอยู่ เมื่อท่านมาเซ่นไหว้ก็คือได้พบกันแล้ว ไฉนจะให้ท่านเปิดโลงเล่าขอรับ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าเคร่งขรึม ถือจอบขวางไว้ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง “นายอำเภอหวังไม่รู้ว่าท่านพ่อตากำชับแล้วกำชับอีกให้ข้ามาพบหน้าท่าน มิเช่นนั้นจะนอนตายตาไม่หลับ”
เขากล่าวคำว่า ‘นอนตายตาไม่หลับ’ นี้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ทำให้นายอำเภอหวังสะท้านเยือกอย่างสุดระงับ
ห่างไปไม่ไกลมีคนในหมู่บ้านทยอยกันมาล้อมวงมุงดูจนเต็ม หลังถ้อยคำนี้ของเซ่าหมิงยวนถูกบอกต่อๆ กันไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกชาวบ้านยิ่งดังขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
ตรงกลางฝูงชนมีชายหนุ่มหลายคนยืนมองดูอยู่เงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
เฉินกวงขุดไปได้ครู่หนึ่งก็ยืดตัวตรง “ท่านแม่ทัพ เห็นโลงแล้วขอรับ”
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เซ่าหมิงยวนเบี่ยงตัวบังสายตานางไว้ เขาไต่ถามนักชันสูตรเฉียน “ท่านเฉียน จะเปิดโลงที่นี่เลยหรือไม่ขอรับ”