หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 395
บทที่ 395
เมื่อทุ่มเงินก้อนโต ปัญหาก็คลี่คลายอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาเดินไปถึงใต้ต้นไม้ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนคำหนึ่งว่า “ยกขึ้น!”
ตามมาด้วยเสียงตะคอกของนักชันสูตรเฉียนทันที “อย่าให้ร่มโงนเงนไปมา!”
นางเขย่งส้นเท้าชะเง้อมอง แต่ถูกพวกคนถือร่มบังสายตาไว้เลยมองอะไรไม่เห็น
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ไม่ไกลส่งเสียงอึกทึกเซ็งแซ่ระลอกหนึ่ง
“จะเปิดโลงพลิกศพจริงๆ หรือ คนหนุ่มพวกนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่กลัวรบกวนดวงวิญญาณของคนตายเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ได้ยินหรือไรว่าใต้เท้าเฉียวไปเข้าฝันกวนจวินโหว ดีไม่ดีอาจมีเรื่องคับแค้นใจใหญ่หลวงก็เป็นได้”
“เอ๊ะ นี่หมายความว่าเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวไม่ใช่อุบัติเหตุ?”
“ถ้าเป็นอุบัติเหตุไฉนจะมาเข้าฝันลูกเขยเล่า”
“แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสืบสวนไปแล้ว ยังเรียกพวกข้าไปสอบถาม ท้ายที่สุดผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นอุบัติเหตุนะ”
“บางทีขุนนางท่านนั้นอาจสืบไม่พบน่ะสิ ไม่อย่างนั้นใต้เท้าเฉียวจะเข้าฝันลูกเขยไปด้วยเหตุใด”
ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาเข้าฝันเป็นที่ยอมรับในหมู่บ้านเล็กๆ อย่างนี้มากกว่าทางเมืองหลวงอย่างเห็นได้ชัด
เฉียวเจาได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านทั้งหลายแล้วรู้ว่าเซ่าหมิงยวนเดินหมากตานี้ได้ถูกต้อง
ยามนี้เองที่แสงสว่างเบื้องหน้าพลันมืดลง นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษร่างสูงผอมผู้หนึ่งยืนอยู่
บุรุษผู้นี้รูปงามเอาการ ทว่าท่าทางเฉยชาเคร่งเครียดลดทอนความหล่อเหลาลงไม่น้อย
หญิงสาวรู้โดยสัญชาตญาณว่าบุรุษที่ปรากฏตัวตรงหน้านางคือองครักษ์จินหลิน
มาตรว่านางจะคาดเดาไว้ในใจเช่นนี้ แต่ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ใด เพียงใช้นัยน์ตาสุกใสทั้งคู่จ้องมองเขาเงียบๆ
“คุณหนูหลี?” ชายหนุ่มเอ่ยปากพูด
“ท่านคือ…”
สายตาเย็นชาของชายหนุ่มมองกวาดไปทั่วใบหน้านาง เขายิ้มบางๆ “ข้าคือองครักษ์จินหลินนามเจียงอู่”
เขาสนใจใคร่รู้เป็นอันมากจริงๆ ว่าเหตุใดท่านพ่อบุญธรรมถึงให้พวกเขาจับตาดูเด็กสาวผู้หนึ่ง ตอนนี้ได้เห็นประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นสตรีธรรมดาๆ นางหนึ่งเท่านั้น
“ที่แท้เป็นท่านเจียงอู่” เฉียวเจาคลี่ยิ้มลอบถอนใจเมื่อเรื่องเป็นดังคาดไว้
จะว่าไปแล้วเพราะเจียงถังผู้บังคับบัญชากององครักษ์จินหลินรับบุตรบุญธรรมไว้ถึงสิบสามคน ไม่ว่าไปถึงที่ใดจึงเป็นต้องได้พบเจอจริงๆ
เจียงอู่หัวเราะ “มิกล้ารับคำเรียกขานนี้ของคุณหนูหลี ท่านเรียกข้าว่าพี่อู่ก็ได้”
ความคิดของท่านพ่อบุญธรรมนั้นยากหยั่งเดา ระมัดระวังท่าทีที่แสดงต่อคุณหนูหลีผู้นี้ไว้ก่อนเป็นการดี
เดิมทีเขากระทำความผิดถึงถูกส่งตัวมายังที่ล้าหลังห่างไกลพรรค์นี้ หากสร้างความไม่พึงใจให้ท่านพ่อบุญธรรมอีก เกรงว่าจะหมดโอกาสกลับเมืองหลวงแล้ว
พี่อู่?
เฉียวเจานึกถึงที่เจียงซือหร่านเรียกขานเจียงหย่วนเฉาว่า ‘พี่สือซาน’ ทันใด
นางอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยการล่วงเกินคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่นางนั้นจะดีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเรียกท่านว่าใต้เท้าเจียงเถอะเจ้าค่ะ”
“สุดแท้แต่ใจคุณหนูหลีเถอะ”
เฉียวเจาผลิยิ้ม “เช่นนั้นใต้เท้าเจียงช่วยถอยออกไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจียงอู่งงงัน
นางเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “ท่านยืนบังจนข้ามองไม่เห็นการเปิดโลงพลิกศพแล้ว”
เจียงอู่หมดคำพูดทันใด “…”
เอาเถอะ ข้าถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ เด็กสาวที่ชอบดูการเปิดโลงพลิกศพมีบางอย่างพิเศษอยู่เล็กๆ น้อยๆ
ชายหนุ่มจึงเบี่ยงกายไปด้านข้าง
เสียงพูดไม่เร็วไม่ช้าของนักชันสูตรเฉียนดังลอยมา “สภาพศพไหม้เกรียม ในลำคอไม่มีฝุ่นควันเศษขี้เถ้าเกาะติดอยู่…ตรงกระดูกคอมีร่องรอยขีดข่วน…”
ทั่วบริเวณป่าเขาค่อยๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นแปลกประหลาดชวนให้คลื่นเหียน นักชันสูตรเฉียนยืดตัวขึ้นกล่าวลงความเห็นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในที่สุด “คนจบชีวิตเพราะโดนปาดคอ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเหตุไฟไหม้ในภายหลังเป็นการเผาศพเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุการตายที่แท้จริง”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้น ฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างส่งเสียงฮือฮาทันใด
สีหน้าของนายอำเภอหวังขรึมลง เขาแค่นเสียงกล่าวขึ้น “เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี ตาเฒ่าผู้นี้ปั้นน้ำเป็นตัว ข่มขู่ผู้อื่นให้เสียขวัญ สร้างความหวาดหวั่นให้ชาวบ้านเช่นนี้มุ่งหวังสิ่งใดกันแน่”
นักชันสูตรเฉียนทำหน้าตึง “ท่านนายอำเภอกังขาต่อการลงความเห็นของข้าหรือ”
นายอำเภอหวังสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับยิ้มเยาะ “เจ้าเป็นใครกัน ก็แค่คนชั้นต่ำที่พลิกศพผู้หนึ่ง ยังกล้าเสนอหน้าพูดกับข้ารึ”
ไม่ว่าเป็นที่ใดๆ ก็ตาม การพลิกศพล้วนเป็นงานต่ำต้อยที่สุด นักชันสูตรซึ่งทำหน้าที่นี้จึงมีฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เป็นที่ดูถูกดูแคลนของชาวบ้านสามัญชนมากมาย
“นายอำเภอหวังกล่าวผิดถนัด ข้าเป็นคนเชิญนักชันสูตรเฉียนมา ย่อมจะเชื่อถือการลงความเห็นของเขา” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้น
นายอำเภอหวังมีสีหน้าไม่เห็นพ้องด้วย “ท่านโหว ข้าขอบังอาจกล่าวคำหนึ่ง ท่านทำเช่นนี้ออกจะสะเพร่าเกินไป ไฉนถึงหาคนชั้นต่ำผู้หนึ่งมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทั้งยังปล่อยให้เขากล่าววาจาเลื่อนเปื้อนส่งเดช หรือไม่ก็เอาอย่างนี้เถอะ ข้าจะสั่งคนไปเรียกนักชันสูตรจากที่ว่าการอำเภอจยาเฟิงมาจะดีกว่า ให้นักชันสูตรที่ทางการรับรองทำการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ออกมาถึงจะทำให้ทุกคนยอมรับขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมองนายอำเภอหวังด้วยสีหน้าเย็นชา รอยยิ้มแผ่ไปไม่ถึงดวงตา “ทุกคนยอมรับ? ข้าเป็นคนเชิญนักชันสูตรเฉียนมา ขอแค่ข้าเชื่อถือในการลงความเห็นของเขาก็เพียงพอแล้ว ไยต้องให้ทุกคนยอมรับ”
นายอำเภอหวังอึ้งงันไป นี่ต่างจากที่เขาคิดไว้ เพราะอะไรกวนจวินโหวเป็นคนวางอำนาจและถือใจตนเป็นใหญ่เพียงนี้
ด้วยคุ้นชินกับการเล่นลิ้นใช้คารมพลิกแพลงในหมู่ขุนนาง จึงพาให้นายอำเภอตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “ท่านโหวอย่าลืมนะว่าใต้เท้าเฉียวเป็นข้าราชสำนัก หากตายด้วยอุบัติเหตุก็แล้วกันไป แต่ถ้าถูกคนสังหารจริงๆ นั่นจะเป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องถวายฎีการายงานราชสำนัก ดังนั้นจะสะเพร่าไม่ได้เป็นอันขาดนะขอรับ”
“อ้อ นั่นเป็นเรื่องของนายอำเภอหวัง ข้าเป็นเจ้าทุกข์ เชิญนักชันสูตรมาพลิกศพได้ผลลัพธ์ว่าครอบครัวของท่านพ่อตาถูกคนสังหาร เช่นนั้นข้าก็จะสืบสาวราวเรื่องต่อไปตามผลลัพธ์นี้” ชายหนุ่มพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
นี่เป็นการบอกกับนายอำเภอหวังว่า ‘ไม่สำคัญว่าท่านจะคิดอย่างไร ข้าในฐานะเจ้าทุกข์ก็จะสืบหาความจริงให้จงได้’
ตอนนี้เองนักชันสูตรเฉียนพลันส่งเสียงไอทีหนึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนไป “ท่านนายอำเภอเห็นว่าการลงความเห็นของข้าไม่อาจทำให้ทุกคนยอมรับได้หรือ”
นายอำเภอหวังมองนักชันสูตรเฉียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ไม่รู้ว่าตาเฒ่าผู้นี้มาจากที่ใดถึงบังอาจพูดจากับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ก็แค่อาศัยมีกวนจวินโหวหนุนหลังอยู่ ฮึ…รอให้กวนจวินโหวกลับเมืองหลวง ข้าย่อมมีโอกาสเล่นงานเจ้าในวันหน้า
นักชันสูตรเฉียนล้วงของสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อยื่นให้ ใบหน้าเขาปราศจากความรู้สึกใดๆ “เชิญท่านนายอำเภอผ่านตา”
ของชิ้นนั้นมีลักษณะเรียวๆ ยาวๆ ห่ออยู่ในผ้าที่ดูสีเดิมไม่ออกแล้ว นายอำเภอหวังขมวดคิ้วแน่นอย่างรังเกียจ “นี่คืออะไร”
นักชันสูตรเฉียนเหยียดยิ้ม “เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าการลงความเห็นของข้ามิใช่ผายลม”
“เจ้า!” นายอำเภอหวังถูกคนชั้นต่ำพูดโต้กลับก็เดือดดาลจนหน้าเขียว
หยางโฮ่วเฉิงลดสุ้มเสียงลงพูดกับฉือชั่น “ปกติรู้สึกว่านักชันสูตรเฉียนผู้นี้พูดจากวนโทสะน่าดู ที่แท้ขึ้นอยู่กับคู่สนทนา วันนี้ฟังเขาพูดแล้วน่าสนุกขึ้นตั้งเยอะ”
“ไร้สาระ” ฉือชั่นเหยียดมุมปากออก ปกติกวนโทสะพวกเขา ตอนนี้กวนโทสะคนอื่นก็ต้องน่าสนุกแน่นอน
เวลานี้เขาสนใจอยากรู้มากว่าของที่นักชันสูตรเฉียนเอาออกมาคืออะไร เห็นรูปทรงและขนาดของมันแล้ว…นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง ฉือชั่นเพียงรู้สึกเหลือเชื่อ หัวคิ้วเขากระตุกริกๆ
“ท่านนายอำเภอไม่อยากดูหรือ”
นายอำเภอหวังทำเสียงฮึขึ้นจมูก “ของกระจอกงอกง่อยที่เอามาจากที่ใดก็ไม่รู้นี่น่ะรึ”
“ท่านนายอำเภอบอกว่ามันเป็นของกระจอกงอกง่อยที่เอามาจากที่ใดก็ไม่รู้หรือ” นัยน์ตาขุ่นมัวของชายชราเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน แววตาแฝงรอยเยาะหยัน
นายอำเภอหวังโกรธจัด เขาจะล่วงเกินกวนจวินโหวก็ไม่เป็นการดี หรือว่ายังต้องทนให้คนชั้นต่ำสบประมาท
นายอำเภอหวังปัดของในมือนักชันสูตรเฉียนออกแล้วเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ในฐานะขุนนางประจำอำเภอจยาเฟิง ข้ายังคงต้องสั่งให้นักชันสูตรตรวจสอบใหม่อีกครา หวังว่าท่านจะเข้าใจได้”
เซ่าหมิงยวนไม่ทันเอ่ยตอบ นักชันสูตรเฉียนก็ถอนใจเบาๆ “ดีที่ยังไม่ตกพื้น หาไม่แล้วใต้เท้าคงเป็นขุนนางประจำอำเภอไม่ได้แล้ว”
เขาดึงผ้าที่ห่ออยู่ด้านนอกออกเผยให้เห็นมุมหนึ่งของสิ่งของชิ้นนั้น