หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 396
บทที่ 396
นายอำเภอหวังเบิกตาโพลงกะทันหัน
นักชันสูตรเฉียนดึงผ้าด้านนอกออก ใช้สองมือถือประคองสิ่งของที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้วชูขึ้น เป็นพระราชโองการที่เปล่งประกายจับตาม้วนหนึ่ง
นายอำเภอหวังขยี้ตา เขายังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
ฉือชั่นสะกดใจไว้ไม่แย้มมุมปากออก เขาคุกเข่าลงเป็นคนแรก “ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
เซ่าหมิงยวนชะงักเล็กน้อยก่อนคุกเข่าตาม
หลังจากหยางโฮ่วเฉิงกับเจียงอู่คุกเข่าลง คนที่เหลือก็คุกเข่าหมอบกับพื้นดังพึ่บพั่บต่อกันเป็นทอดๆ จากใกล้ไปไกล เห็นแต่ศีรษะคนสีดำเป็นพืดพร้อมกับเสียงโขกศีรษะคำนับดังกึกก้อง
เฉียวเจาคุกเข่านิ่งๆ อยู่ใต้ร่มไม้ นางแย้มมุมปากออกอย่างไร้สุ้มเสียง
‘นักชันสูตรอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ หากไม่มีผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแผ่นดินกล่าวเอาไว้ ไหนเลยจะรับสมญานามนี้ไว้ได้อย่างเต็มภาคภูมิเล่า
นักชันสูตรเฉียนได้รับพระราชโองการฉบับนี้มานานหลายสิบปีแล้ว
ท่านปู่หลี่เคยเล่าให้นางฟังว่าปีนั้นมีท่านโหวป่วยตาย ทิ้งคำสั่งเสียไว้ว่าซื่อจื่อไม่กตัญญูและทูลขอเปลี่ยนตัวซื่อจื่อเป็นบุตรชายคนเล็กที่เกิดกับภรรยาใหม่จนเป็นที่ครึกโครมไปทั่วเมืองหลวง ในขณะที่ตำแหน่งซื่อจื่อของบุตรชายสายเลือดภรรยาคนแรกท่านนั้นง่อนแง่นคลอนแคลนเต็มที ญาติฝ่ายมารดาของซื่อจื่อเชิญนักชันสูตรเฉียนมา สุดท้ายตรวจพิสูจน์ได้ว่าท่านโหวผู้นั้นมิได้ป่วยตายแต่อย่างใด แต่จบชีวิตด้วยยาพิษ สามตุลาการจึงเข้าร่วมการสืบสวนใหม่อีกครั้ง ท้ายที่สุดสืบพบว่าผู้วางยาพิษคือภรรยาใหม่โฉมงามอ่อนเยาว์ผู้นั้น ซ้ำร้ายแม้แต่บุตรชายของนางก็เป็นของชายชู้
ผลสุดท้ายภรรยาใหม่กับชายชู้โดนประหารชีวิต ส่วนบุตรชายถูกขายเป็นทาส ซื่อจื่อซึ่งสืบทอดตำแหน่งโหวซาบซึ้งใจที่นักชันสูตรเฉียนช่วยพลิกสถานการณ์ให้ตนอย่างสุดกำลัง กราบทูลขอพระราชโองการสรรเสริญชมเชยฉบับนี้จากฮ่องเต้โดยเฉพาะ
ต่อมานักชันสูตรเฉียนออกจากเมืองหลวงไปเร้นกายอยู่ในไถสุ่ย เมื่อเวลาล่วงผ่านไปนักชันสูตรอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่เคยโด่งดังลือลั่นในช่วงเวลาหนึ่งก็ค่อยๆ เงียบหายไป กลายเป็นนักชันสูตรชรานิสัยแปลกประหลาดของเมืองไถสุ่ยที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของผู้คน
ว่าไปก็บังเอิญนัก ซื่อจื่อผู้นั้นคือเจิ้นหย่วนโหวซึ่งโดนฆ่าล้างตระกูลโทษฐานเป็นกบฏเมื่อยี่สิบปีก่อนนั่นเอง
เฉียวเจากลับพอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดนักชันสูตรเฉียนถึงเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ เช่นนี้ กิตติศัพท์นักชันสูตรอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเขาได้มาจากเจิ้นหย่วนโหว ทว่าต่อมาเจิ้นหย่วนโหวเป็นที่เกลียดชังของฮ่องเต้จนพบกับจุดจบเช่นนั้น หากเขารื้อฟื้นเรื่องอดีตบ่อยๆ ก็น่าตะขิดตะขวงใจ
กระนั้นตะขิดตะขวงใจก็ส่วนตะขิดตะขวงใจ กิตติศัพท์นักชันสูตรอันดับหนึ่งนี้เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เองโดยไร้ข้อกังขาจริงๆ นักชันสูตรเฉียนไม่เอ่ยถึงอดีตเจิ้นหย่วนโหว เพียงอาศัยกิตติศัพท์นี้ทำงานในหน้าที่ของตนก็ไม่มีใครถามไล่เลียงได้
อย่างน้อยๆ ในแผ่นดินนี้ก็ไม่มีนักชันสูตรที่มีบารมีและความน่าเชื่อถือในด้านพลิกศพมากไปกว่าเขาแล้ว
นักชันสูตรเฉียนคลี่พระราชโองการออกช้าๆ ชูขึ้นเบื้องหน้านายอำเภอหวัง “นายอำเภอหวังจะดูหรือไม่ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”
นายอำเภอหวังคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาเข่าอ่อนทรุดกายคุกเข่าลงหลั่งเหงื่อดุจสายฝน
ไฉนนักชันสูตรผู้หนึ่งถึงมีพระราชโองการ หรือว่าวันนี้เขามาที่นี่ผิดฤกษ์ผิดยาม
เจียงอู่เงยหน้าขึ้น ดวงตาแผ่ประกายคมกล้าวูบหนึ่ง มิน่าท่านพ่อบุญธรรมให้เขาจับตาดูกลุ่มของคุณหนูหลี ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น คนพวกนี้ล้วนน่าสนใจอย่างยิ่งจริงๆ
“นายอำเภอหวัง ท่านเห็นว่าการลงความเห็นของข้าทำให้ทุกคนยอมรับได้หรือไม่” นักชันสูตรเฉียนชูพระราชโองการพลางถาม
มุมปากของนายอำเภอหวังกระตุกริก ตาเฒ่าแทบจะเอาพระราชโองการทิ่มตาเขาอยู่แล้ว เขาจะบอกว่า ‘ไม่’ ได้หรือ
นายอำเภอหวังพยักหน้าพลางยิ้มเจื่อน
นักชันสูตรเฉียนถึงม้วนเก็บพระราชโองการห่อด้วยผ้าตามเดิมแล้วยัดเข้าอกเสื้อ
ทุกคนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เซ่าหมิงยวนเหลียวหลังทอดสายตามองไกลๆ ไปที่เฉียวเจาใต้ต้นไม้อย่างอดใจไม่อยู่
ทั้งสองประสานสายตากัน เฉียวเจาส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา
เซ่าหมิงยวนแจ่มแจ้งในบัดดล ที่แท้เจาเจาอยากไปขอให้นักชันสูตรเฉียนออกโรง บอกว่าเขาคือนักชันสูตรอันดับหนึ่งในใต้หล้า มิได้มีความหมายเพียงเท่านั้น แต่นางคาดเดาได้แต่แรกว่าต้องพบกับการตั้งข้อสงสัยและขัดขวางนานัปการ ถึงเตรียมการอย่างพร้อมพรักที่สุดไว้ล่วงหน้า
เจาเจาเป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ว่ามีเขาอยู่ข้างกายหรือไม่ นางก็อาศัยกำลังของตนเองทำได้ดีที่สุด
เซ่าหมิงยวนมองเด็กสาวใต้ต้นไม้อย่างพินิจอีกคำรบหนึ่ง
ทั้งที่อยู่ในบรรยากาศเคร่งเครียดวังเวงใจ ชั่วขณะนี้เขากลับใจเต้นแรงดั่งรัวกลองกะทันหัน
เขาบอกไม่ถูกเช่นกันว่าจิตใจที่สั่นไหวรุนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้เป็นเพราะอะไร แต่เขาไม่อยากหยุดยั้งความรู้สึกอย่างนี้
ได้หลงรักสตรีผู้หนึ่งอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เขายินยอมพร้อมใจและไม่นึกเสียใจชั่วชีวิต
“ในเมื่อท่านนายอำเภอไม่โต้แย้งผลการพลิกศพของเขา เช่นนั้นก็ตรวจสอบศพต่อไปเถอะ แม่ทัพเซ่า ท่านสั่งคนนำใต้เท้าเฉียวลงฝังตามเดิมได้แล้ว”
เฉียวเจาได้ยินดังนั้นก็สาวเท้าเร็วรี่รีบเดินไปทางนั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ ทว่าปิงลวี่รั้งตัวนางไว้สุดแรง “คุณหนู ท่านอย่าเข้าไปเลย น่ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาถูกปิงลวี่จับไว้จนขยับตัวไม่ได้ นางทำหน้าบึ้งอย่างสุดระงับ “ปิงลวี่ ปล่อยมือ”
พอเห็นคุณหนูโกรธเคือง สาวใช้น้อยก็รีบปล่อยมือ
เอ่อ…เทียบกับท่านเขยในอนาคต ข้าย่อมจะเชื่อฟังคุณหนูเป็นธรรมดา
เฉียวเจาเดินฉับๆ เข้าไป เซ่าหมิงยวนขวางหน้านางไว้พลางบอกกับหยางโฮ่วเฉิง “ฉงซาน ให้พวกพี่น้องของเจ้าขุดหลุมศพด้านข้างก่อน อย่าเพิ่งแตะต้องหลุมศพของท่านพ่อตาข้า”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้าแล้วตะโกนบอก “มาๆ ทุกคนออกแรงกันหน่อย ข้าไม่ลืมตอบแทนทุกคนอย่างงามแน่”
สำหรับการขุดหลุมศพนั้นพวกองครักษ์จินอู๋กลับไม่ระย่อ ถึงอย่างไรการได้ประจบประแจงกวนจวินโหว เป็นผลดีต่ออนาคตของพวกเขาอย่างมาก
“แม่ทัพเซ่า นี่ท่านมีเจตนาใด” ครั้นได้ยินเขาสั่งกำชับเช่นนี้ อีกทั้งห้ามไม่ให้นางเข้าไป เฉียวเจาจึงอดถามขึ้นไม่ได้
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” เซ่าหมิงยวนยิ้มปลอบนาง ก่อนจะก้มตัวดันฝาโลงที่เลื่อนออกไปด้านข้างปิดกลับเข้าที่เดิม จากนั้นยืดตัวขึ้นกล่าว “น่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
“อะไรหรือ” นางไม่เข้าใจ
เขาทอดสายตามองไปที่ไกลๆ พร้อมกับยกมือชี้ “มาแล้ว”
ไม่นานนักทุกคนในที่นั้นล้วนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็พากันเหลียวมองไป เห็นเกวียนเทียมวัวแล่นเนิบนาบมาคันแล้วคันเล่า บังเกิดเสียงหนักทึบดังครืดคราดๆ
บนเกวียนเป็นโลงศพใหม่เอี่ยมแบบเดียวกันหมด มีชายฉกรรจ์หลายคนติดตามอยู่ด้านข้าง
คนที่เดินนำหน้าขบวนคือเยี่ยลั่วที่เมื่อวานไม่ได้กลับมาทั้งคืน
เฉียวเจาอดหันไปมองเซ่าหมิงยวนไม่ได้
ด้วยติดขัดที่อยู่ต่อหน้าผู้คนจะพูดอะไรมากก็ไม่ถนัด เขาได้แต่ส่งยิ้มให้นางเล็กน้อยก่อนจะมองไปทางเยี่ยลั่ว
เยี่ยลั่วเดินด้วยฝีเท้าเร็วรี่มาถึงตรงหน้าผู้เป็นนาย ประสานมือคำนับพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพ ซื้อโลงศพได้ทั้งหมดสิบสองใบ ในบรรดานั้นเป็นโลงไม้หนานมู่*สองใบ โลงไม้สนสามใบ และโลงไม้ไป่มู่** เจ็ดใบขอรับ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะน้อยๆ “ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
โลงศพสิบสองใบฟังดูไม่มาก แต่เพราะต้องการแบบที่ทำสำเร็จพร้อมใช้ คิดจะรวบรวมให้ครบจึงมิใช่ง่ายดายปานนั้น โดยเฉพาะมีสองใบเป็นโลงไม้หนานมู่ชั้นดีซึ่งไม่มีขายในร้านขายโลงศพทั่วไป
เยี่ยลั่วที่อดนอนจนตาแดงก่ำขานตอบคำหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนช่วยกันกับชายฉกรรจ์พวกนั้นนำร่างไร้วิญญาณของใต้เท้าเฉียวบรรจุลงโลงอีกครั้ง จากนั้นเขาโขกศีรษะแรงๆ หลายทีที่หน้าหลุมศพ
เฉียวเจามองดูอยู่เงียบๆ ด้วยจิตใจที่สับสนปนเปเป็นพิเศษ
นางคิดคำนึงว่าถ้านางมาที่จยาเฟิงเพียงลำพัง คงจะจัดการทุกอย่างได้ไม่เรียบร้อยรัดกุมเท่าเซ่าหมิงยวน
เมื่อดวงตะวันจวนเจียนลับฟ้าถึงตรวจสอบศพของชาวสกุลเฉียวจนครบ จากศพทั้งหมดยี่สิบหกศพ มีสองศพที่ตายในกองเพลิง ที่เหลือยี่สิบสี่ศพล้วนโดนฆ่าปาดคอโดยไม่เว้นแม้แต่ศพเดียว
เพราะโลงศพมีไม่พอ นอกจากนายท่านนายหญิงของสกุลเฉียวแล้ว ศพของบ่าวไพร่ทั้งหลายได้แต่บรรจุลงโลงศพรวมกันใบละสองสามคน ตอนที่หลุมศพปรากฏขึ้นหลุมแล้วหลุมเล่าอีกครา เหล่าคนที่มุงดูอยู่ต่างรู้สึกสยดสยองพองขนไปตามๆ กัน
ชาวสกุลเฉียวถูกสังหาร มิน่าใต้เท้าเฉียวถึงต้องไปเข้าฝันบุตรเขย เพราะนอนตายตาไม่หลับนี่เอง!
* หนานมู่ เป็นไม้ยืนต้น เขียวตลอดปี ใบรูปกลมรี ด้านหน้าเป็นเงาวาว ด้านหลังมีขนอ่อน ดอกเป็นสีเขียว เนื้อไม้ละเอียดแน่นราคาแพง มักใช้ปลูกสร้าง ทำเครื่องเรือน และต่อเรือ พบมากในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) และอวิ๋นหนาน (ยูนนาน)
** ไป่มู่ เป็นไม้ยืนต้นจำพวกสน เขียวชอุ่มตลอดปี ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นไม้เนื้อแข็ง นิยมใช้ในการก่อสร้าง