หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 398
บทที่ 398
เซ่าหมิงยวนผายมือด้วยสีหน้าขอลุแก่โทษ “ที่นี่อัตคัด มีแต่ชาชั้นเลวถ้วยหนึ่ง หวังว่าใต้เท้าเจียงจะไม่ถือโทษ”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงอดสบตากันไม่ได้ พวกเขานึกในใจ เจ้าคนผู้นี้วางท่าสุภาพเคร่งขรึมตบตาคนอีกแล้ว
การเดินทางลงใต้เที่ยวนี้พวกเขากลัวคุณหนูหลีจะไม่คุ้นเคยกับอาหารการกิน ยังนำชาชั้นดีทุกชนิดติดตัวมาไม่น้อย เพราะถึงกระนั้นรับรองคนของกององครักษ์จินหลินด้วยน้ำชงเศษใบชาที่ผู้ใหญ่บ้านมอบให้เป็นของกำนัลก็เหมาะเจาะที่สุดแล้ว
น้ำชาสีเหลืองขุ่นๆ ใส่ในถ้วยชากระเบื้องเนื้อหยาบ เห็นแล้วชวนให้นึกโยงไปถึงบางอย่างที่ไม่ชวนให้เจริญอาหารนักได้ง่ายๆ
เซ่าหมิงยวนยกขึ้นดื่มคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกล่าวยิ้มๆ “เชิญใต้เท้าเจียง”
เจียงอู่สะกดอาการพะอืดพะอมฝืนใจดื่มคำหนึ่งก่อนพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “วันนี้ท่านโหวมีงานยุ่งถึงเพียงนี้ ยังปลีกเวลารับรองข้า ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก ท่านโหวกับคุณชายทั้งสองเป็นอาคันตุกะจากแดนไกล เดิมทีสมควรเป็นข้ารับรองพวกท่านมากกว่า”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ใต้เท้าเจียงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอย่างนี้ ว่าไปแล้วพวกข้ากับองครักษ์จินหลินก็นับเป็นสหายเก่าแก่กัน ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล อย่างเช่นการเดินทางมาแดนใต้หนนี้ก็โชคดีได้ร่วมทางกับรองผู้บัญชาการเจียงหลายวัน”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากัน ต่างร้องชมสหายรักในใจ
นี่ถึงได้บอกว่าเจ้าเซ่าหมิงยวนผู้นี้เป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก บทจะร้ายกาจขึ้นมามิใช่คนเลยทีเดียว
เจียงอู่เคยรั้งตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ต่อมาไม่รู้เหตุผลกลใดถูกเจียงสือซานแทนที่ ตอนนี้ได้ยินเซ่าหมิงยวนเอ่ยถึง เขาน่าจะโกรธแทบกระอักแล้วกระมัง
“รองผู้บัญชาการเจียง?” ดวงตาของเจียงอู่ทอประกายปึ่งชาวูบหนึ่งถึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นน้องสือซานของข้าหรือ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “เป็นท่านสิบสามนั่นเอง”
เจียงอู่แค่นเสียงเยาะ “ท่านโหวจะทำให้พวกข้าอายุสั้นแล้ว ยามอยู่ต่อหน้าท่าน ไหนเลยพวกข้าสิบสามราชองครักษ์จะคู่ควรให้เรียกขานว่า ‘ท่าน’ ได้เล่า”
เซ่าหมิงยวนเพียงยิ้มไม่กล่าววาจา
เจียงอู่ประจักษ์ได้ว่าการสนทนาเป็นไปตามทางที่อีกฝ่ายต้องการแล้วไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่เรื่องที่เจียงหย่วนเฉาเดินทางสู่ทิศใต้ทำให้ในใจเขาคันยิบๆ ด้วยความกระหายใคร่รู้ จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงจมูกไป
เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเจียงสือซานถึงลงใต้ไปในเวลานี้ แต่ไรมาท่านพ่อบุญธรรมวางแผนการใดไว้ไม่เคยบอกกับพวกเขามากนัก
หรือว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีก เจียงสือซานไปที่ใดกันนะ
ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเจียงอู่ เขาอดถามขึ้นไม่ได้ “ไม่ทราบว่าท่านโหวรู้หรือไม่ว่าน้องสือซานของข้าไปที่ใด ว่าไปแล้วพวกข้าพี่น้องไม่ได้พบกันมานาน รู้สึกคิดถึงยิ่งนัก”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบได้”
“เขาขึ้นฝั่งที่ใดหรือ” เจียงอู่ถามซักไซ้
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ดูทีว่าท่านเจียงอู่ผู้นี้จะให้ความสนใจเจียงสือซานมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“ดูเหมือนจะเป็น…” เซ่าหมิงยวนมองฉือชั่นแวบหนึ่ง
ฉือชั่นพูดต่อให้ “เขาขึ้นฝั่งที่อวี๋สุ่ย”
“อวี๋สุ่ย?” เจียงอู่พึมพำทวนสองคำนี้ เขารู้สึกไม่วายว่าขึ้นฝั่งที่นั่นน่าแปลกอยู่บ้าง แต่ในหัวสมองสับสนวุ่นวายจนหาคำตอบไม่ได้ในชั่วขณะ เขาได้แต่ปัดความคิดยุ่งเหยิงพวกนี้ทิ้งไปชั่วคราว เสไปพูดเรื่องอื่น “ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอเขาแล้ว หนนี้ท่านโหวมาเซ่นไหว้ใต้เท้าเฉียว ยังสืบพบความจริงที่น่าตกใจปานนี้ หากมีสิ่งใดต้องการให้ช่วยก็เอ่ยปากมาได้เต็มที่ ขอแค่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายิ้มๆ คำพูดตามมารยาทพรรค์นี้ เขาไม่ถือจริงจังเป็นธรรมดา
ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะไม่ปฏิเสธ แต่ว่าอันใดคือไม่เหลือบ่ากว่าแรง อันใดคือเหลือบ่ากว่าแรง ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่ว่าปากจะพูดอย่างไรก็เท่านั้น
สำหรับเขาแล้วองครักษ์จินหลินไม่ก่อกวนก็ดีแล้ว เขาถึงเอ่ยเรื่องเจียงหย่วนเฉาหันเหความสนใจของท่านเจียงอู่ผู้นี้
“เช่นนั้นข้าขอกล่าวขอบคุณใต้เท้าเจียงไว้ล่วงหน้า หากมีความจำเป็น ข้าต้องบอกกับใต้เท้าเจียงแน่”
ด้วยในใจพะวักพะวนถึงเรื่องที่เจียงหย่วนเฉาเดินทางสู่แดนใต้ เป็นเหตุให้เจียงอู่นั่งไม่ติดดังคาด เขาไต่ถามทุกข์สุขสองสามคำก็เอ่ยปากขอตัวกลับ “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”
หลังเจียงอู่ไปแล้ว ฉือชั่นแค่นเยาะเสียงหนึ่ง “หน้าไหว้หลังหลอก”
“ไม่ต้องสนใจ”
หยางโฮ่วเฉิงตบตัวเซ่าหมิงยวนทีหนึ่ง “ถิงเฉวียน ข้าพบว่านับวันเจ้ายิ่งร้ายกาจขึ้นทุกที”
“หือ?” เซ่าหมิงยวนมองขวับไปที่เฉียวเจาซึ่งนั่งหลบมุมเงียบๆ เขารำพึงในใจ พูดจาส่งเดชได้อย่างไรกัน ข้าเป็นชายหนุ่มแสนดีชัดๆ เกิดเจาเจาเข้าใจผิดจะทำฉันใด
สหายวัยเยาว์ผู้อ่านสีหน้าคนไม่เป็นยังคงกล่าวแฉโพยต่อไป “เจ้าให้คนยกถ้วยน้ำชานั่นมาให้เจียงอู่ ข้าเห็นตอนเขาดื่มเข้าไป สีหน้าดูไม่จืดเลย ฮ่าๆๆ เมื่อก่อนจื่อเจ๋อบอกว่าในบรรดาพวกเราสี่คน เมื่อใดที่เจ้าร้ายกาจขึ้นมาจะน่ากลัวที่สุด ข้ายังไม่เชื่อเลยนะ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว ปกติเจ้าเป็นคนเอาจริงเอาจัง บทจะร้ายกาจขึ้นมาจริงๆ ทำให้คนไม่มีทางป้องกันได้เลยทีเดียว…”
เซ่าหมิงยวนส่งเสียงไอทีหนึ่งก่อนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อย่าพูดจาส่งเดช!”
จื่อเจ๋อเคยวิจารณ์เขาไว้เช่นนี้ด้วยหรือ เห็นทีว่ารอกลับถึงเมืองหลวงเขากับจื่อเจ๋อมีเรื่องต้องสะสางกันเสียแล้ว
ด้วยรู้ว่าเวลาหยางโฮ่วเฉิงอยู่กับคนคุ้นเคยกันจะปากไม่มีหูรูด เขาหวั่นใจว่าสหายจะพูดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบกล่าวขึ้น “เยี่ยลั่ว ไปดูสิว่าเฉินกวงกลับมาหรือยัง ถ้ากลับมาแล้วให้เขามาพบข้าทันที”
ไม่นานนักเฉินกวงก็เข้ามาอย่างลุกลน “ท่านแม่ทัพ คนที่ท่านให้ข้าจับตาดูไว้ผู้นั้น หลังจากนักชันสูตรเฉียนตรวจพบสาเหตุการตายของใต้เท้าเฉียวว่าโดนปาดคอก็กลับไปเงียบๆ ขอรับ”
“ถิงเฉวียน เจ้าให้เฉินกวงจับตาดูใคร” หยางโฮ่วเฉิงฉงนสงสัย
“คนที่มาแอบดูเมื่อคืนหรือ” ฉือชั่นถาม
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “อื้อ วันนี้ข้าพบเขาอยู่ในหมู่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ด้วยเลยให้เฉินกวงคอยสังเกตไว้”
เขาอธิบายจบแล้วยักคิ้วกับเฉินกวง “พูดต่อไป”
“คนผู้นั้นออกจากหมู่บ้านเดินไปตามถนนเล็กๆ เข้าเมือง ท่านแม่ทัพไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นดูท่าทางซื่อๆ แต่จริงๆ แล้วระวังตัวมาก เขาเหลียวมองด้านหลังเป็นระยะตลอดทาง โชคดีที่ข้าหัวไว ไม่เช่นนั้นคงโดนจับได้แล้ว…”
เซ่าหมิงยวนยกมือเคาะศีรษะเฉินกวงทีหนึ่ง “พูดเข้าเรื่อง”
แค่สะกดรอยตามช่างตีเหล็กผู้หนึ่งแล้วไม่ถูกจับได้ เจ้าหนุ่มผู้นี้ภาคภูมิใจอะไรนักหนากันแน่
ครั้นนึกถึงว่าตอนเฉินกวงกล่าวคำนี้เหลือบตามองไปทางเฉียวเจา เซ่าหมิงยวนเริ่มเฉลียวใจได้ทีละน้อย
นี่คืออยากจะอวดฝีมือต่อหน้าเจาเจาหรือ
เมื่อคิดไปเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มไม่พึงใจเต็มที่
ดูทีว่าปกติเขาจะใจดีเกินไป ทำให้องครักษ์พวกนี้นับวันยิ่งใจกล้ามากขึ้น
ข้ายังอวดฝีมือต่อหน้าภรรยาไม่พอเลยนะ เจ้าหนุ่มผู้นี้จะเข้ามาร่วมวงอะไรด้วย
พอความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ท่านแม่ทัพตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาคุยให้รู้เรื่อง
เฉินกวงหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าตนโดนท่านแม่ทัพขึ้นบัญชีดำไว้ลับๆ เขากล่าวต่อว่า “คนผู้นั้นไปที่สำนักศึกษาในเมืองพบกับเด็กหนุ่มวัยราวสิบหกสิบเจ็ดผู้หนึ่ง ข้าได้ยินคนผู้นั้นเรียกชื่อเด็กหนุ่มว่าซานจื่อ”
หยางโฮ่วเฉิงมุ่นคิ้ว “ชื่อ ‘ซานจื่อ’ นี้ฟังคุ้นๆ หู ใช่แล้ว มิใช่บุตรชายของหญิงขายเต้าหู้หรือ”
ฉือชั่นมองเซ่าหมิงยวนปราดหนึ่ง เขาเลิกคิ้วยิ้มๆ “เรื่องนี้ยิ่งมายิ่งน่าสนุกแล้วสิ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า ซักถามเฉินกวงอีก “แล้วซานจื่อเรียกขานเถี่ยจู้ว่าอะไร”
“ข้าได้ยินเขาเรียกว่า ‘อาเถี่ยจู้’ ขอรับ”
“ฟังไม่ผิดนะ”
“ไม่ผิดแน่นอนขอรับ”
“ตอนซานจื่อเรียก ‘อาเถี่ยจู้’ สีหน้ากับน้ำเสียงเป็นอย่างไร”
“ดูคุ้นเคยกันดีขอรับ”
เซ่าหมิงยวนหลับตาลงแล้วค่อยมองไปทางเฉียวเจา
นางเม้มมุมปากกล่าวขึ้น “ข้าคาดเดาว่าเถี่ยจู้น่าจะรู้ว่าหญิงขายเต้าหู้ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”