หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 403
บทที่ 403
เถี่ยจู้ตะลึงงัน “วาด…วาดออกมา?”
ถึงแม้ประโยคนี้ไม่ซับซ้อนสักนิด แล้วเขาก็ฟังรู้เรื่องทุกคำ แต่เพราะอะไรถึงไม่เข้าใจว่าเด็กสาวผู้นี้พูดอะไรอยู่โดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “แม่ทัพเซ่า ไปห้องของท่านเถอะ”
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนไหววูบหนึ่ง
หนนี้เจาเจาบอกเองเลยว่าจะไปห้องของข้า ไม่มีทางเลือก!
ทว่าถ้าพาบุรุษฉกรรจ์ผู้หนึ่งไปที่ห้องของเจาเจา เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย
“อื้อ ไปสิ” เขาลุกขึ้นเดินอยู่ด้านข้างเฉียวเจา
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงลุกขึ้นตามไป
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า “วาดภาพคนตามคำบอกจำเป็นต้องเงียบสนิทนะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนส่งยิ้มให้พวกฉือชั่น “สือซี ฉงซาน หรือไม่พวกเจ้าเดินหมากกันสักกระดานก่อนดีหรือไม่”
“เวลานี้แล้วเจ้าจะให้พวกข้าเดินหมากกันหรือ” ฉือชั่นเลิกคิ้วไต่ถาม
เขาถอนตัวก็จริง แต่นั่นเพราะหลีซานไม่ชมชอบเขา มิใช่เพราะวรยุทธ์ของเซ่าหมิงยวนเหนือกว่า! ทำดีด้วยไม่กี่วัน เจ้าคนผู้นี้ถึงกับกล้าขับไล่ไสส่งเขาตามใจชอบรึ
หยางโฮ่วเฉิงเงยหน้าขึ้น ในช่วงสำคัญเช่นนี้เขาขอยืนอยู่ข้างเดียวกับฉือชั่นอย่างแน่วแน่ “นั่นน่ะสิ แสงไฟไม่พอ เสียสายตา”
ฉือชั่นเบะปาก “ไม่ต้องถามถิงเฉวียน เขาตัดสินใจไม่ได้สักหน่อย”
หลังกล่าวคำนี้ คุณชายฉือมองไปทางเฉียวเจา “หลีซาน พวกข้าดูอย่างเดียวไม่พูดได้หรือไม่”
หยางโฮ่วเฉิงลอบเหล่มองเซ่าหมิงยวนพลางรำพึงในใจ สือซีพูดจาไม่ไว้หน้าถิงเฉวียนเกินไปแล้ว มีคนอยู่เต็มเรือน ไฉนบอกว่าถิงเฉวียนตัดสินใจไม่ได้ ประเดี๋ยวก่อน ถิงเฉวียนไม่ทำสีหน้าคัดค้านเช่นนี้หมายความว่าอะไร
เขามองฟ้าอย่างหมดคำพูด
เฉียวเจาประสานสายตากับฉือชั่นแล้วพยักหน้า “ตกลง พวกท่านอย่าคุยกันก็พอ”
เห็นนางไม่คัดค้าน ฉือชั่นชายตามองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ห้องอีกฝ่ายด้วยหน้าตายิ้มย่อง
เซ่าหมิงยวนไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี เขาโคลงศีรษะแล้วสาวเท้าตามไป
เรือนของหญิงขายเต้าหู้เป็นแค่เรือนชาวบ้านสามัญชน ที่บอกว่าห้องของเซ่าหมิงยวน แท้จริงแล้วเยี่ยลั่วกับเฉินกวงสองคนก็พักอยู่ในนี้ด้วยกัน ขณะนี้ทั้งคู่จุดโคมสองสามดวงเสร็จก็ถอยออกไปแล้วปิดประตู
ภายในห้องสว่างไสวดุจยามกลางวัน เด็กสาวนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ หยิบพู่กันขนละเอียดยิบแท่งหนึ่งขึ้นมา เอ่ยถามเถี่ยจู้ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “คนผู้นั้นสูงเท่าไร”
เถี่ยจู้มองเซ่าหมิงยวนแล้วตอบอย่างไม่แน่ใจ “ดูเหมือนจะไล่เลี่ยกับท่านโหว”
เฉียวเจาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้ว นางไต่ถามต่อ “รูปหน้าเช่นใด”
“หน้าเหลี่ยมยาว”
“รูปทรงดวงตา?”
“ดวงตาค่อนข้างรียาว หางตาเฉียงขึ้นเล็กน้อย”
…
หลังซักถามรูปพรรณสัณฐานเสร็จ เฉียวเจาพยักหน้ากับเถี่ยจู้ “พี่เถี่ยจู้ ท่านมาใกล้ๆ ข้า”
เขารับรู้ได้ทันทีว่าสายตาหลายคู่พุ่งมาที่ตัวเขา แต่มีสายตาคู่หนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้มากที่สุด เขาอดมองไปทางนั้นไม่ได้
ท่านแม่ทัพผงกศีรษะด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณหนูหลีเรียกท่าน รีบเข้าไปสิ”
เฉียวเจาหันไปมองเขา
เซ่าหมิงยวนอึ้งไป จากนั้นยกมือขึ้นพลางเอ่ย “ขออภัย ข้าลืมไปว่าพูดไม่ได้”
แม่นางเฉียวยกมุมปากขึ้น
แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “ข้าไปนั่งทางโน้น รับรองว่าไม่พูดจาส่งเดชแล้ว”
ฉือชั่นหัวเราะพรืด
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง
รอยยิ้มของฉือชั่นนิ่งค้างไป เขากล่าวอย่างคับข้องใจ “คงไม่บอกว่ากระทั่งหัวเราะก็ไม่ได้กระมัง”
เห็นเด็กสาวทำหน้าปึ่งชา เขาแอบร้อนตัว ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน “ตกลง ข้าไปนั่งทางโน้นด้วยก็ได้”
หยางโฮ่วเฉิงยกมือปิดพร้อมกับนวดๆ ข้างแก้ม
เขาขบขันแทบตายอยู่แล้ว ตามมาด้วยถึงจะมีเรื่องสนุกให้ดูดังคาด
เถี่ยจู้มาอยู่ใกล้ๆ เฉียวเจาแล้ววางมือวางไม้ไม่ถูก เขารู้สึกไม่วายว่าเด็กสาวผู้นี้ต่างหากคือคนที่เก่งกาจที่สุด
“พี่เถี่ยจู้นั่งตรงนี้ก็ได้” เฉียวเจาชี้ที่เก้าอี้ด้านข้างด้วยท่าทางเป็นมิตร
“คือว่า…” เถี่ยจู้อิดๆ ออดๆ ไม่กล้าขยับตัว
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกกวนจวินโหวมองดูอยู่ ต่อให้ไม่มีคนอื่นเขาก็ไม่กล้านั่งหรอก เข้าใกล้เด็กสาวผู้นี้ถึงเพียงนี้ออกจะเสียมารยาทเกินไป
เฉียวเจาข่มใจไว้ไม่เลิกคิ้วขึ้น กลัวว่าจะทำให้ชายชาวชนบทแสนซื่อเสียขวัญอีก นางได้แต่ฝืนยิ้มพลางพูดอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ต้องวาดภาพเป็นเวลานานมาก อีกทั้งต้องปรับเปลี่ยนตามคำบอกของท่านไม่หยุด ซ้ำยังต้องยืนยันกับท่านว่าแก้ไขเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้พี่เถี่ยจู้นั่งตรงนี้สะดวกกว่าเจ้าค่ะ”
เขาฟังแล้วถึงนั่งลงข้างๆ เฉียวเจาอย่างเงอะงะ
กลิ่นกายหอมรวยรินเฉพาะตัวสาวน้อยทำให้เถี่ยจู้ประหม่ามากกว่าเดิม เขาเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพหนุ่มซึ่งนั่งอยู่มุมห้องบ่อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าที่ไร้อารมณ์กับท่าทางเฉยชาของท่านแม่ทัพทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่
เซ่าหมิงยวนสังเกตเห็นเถี่ยจู้ผิดปกติไปก็ทั้งฉิวทั้งขัน จำต้องหลุบตาลงถือคติว่าไม่เห็นไม่หงุดหงิดใจ
“พี่เถี่ยจู้ ท่านว่าตาเป็นเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”
เขาพินิจดูครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ดูเหมือนไม่ใช่อย่างนี้ ตรงนี้ต้องยาวอีกนิด”
“เป็นตรงนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่”
“ตอนนี้ดูเป็นอย่างไร”
“หางตาต้องเฉียงขึ้นอีกหน่อย”
เด็กสาวพูดเสียงเบานุ่มนวล นางถามไปแก้ไขไปอย่างใจเย็นสุดจะเปรียบ
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองเงียบๆ เขามองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เป็นเหตุให้ฉือชั่นอดกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจไม่ได้
ไม่เอาไหนจริงๆ ข้าไม่เคยจ้องมองหลีซานจนตาลอยเช่นนี้มาก่อนเลยนะ
เหตุไฉนหลีซานชมชอบคนโง่งมพรรค์นี้ได้นะ แม่เด็กน้อยโง่งมช่างตาต่ำเหลือเกิน
การวาดภาพคนตามคำบอกอย่างเดียวดำเนินไปอย่างยืดยาวและซ้ำซากจำเจ หลังความรู้สึกแปลกใหม่ในตอนต้นจางหายไป ฉือชั่นทานทนไม่ไหวทีละน้อย พอถึงกลางดึกก็เริ่มสัปหงก
เซ่าหมิงยวนสะกิดเขาทีหนึ่ง
ฉือชั่นลืมตาขึ้น
เซ่าหมิงยวนชี้หน้าประตู
ฉือชั่นสะลึมสะลือลุกขึ้นเดินไปทางหน้าห้อง
เสียงเปิดปิดประตูมิได้ทำให้เด็กสาวที่กำลังวาดภาพอยู่เสียสมาธิแม้แต่น้อยนิด นางยังคงอยู่ในท่านั่งหลังตรง น้ำเสียงเป็นจังหวะจะโคนดุจเดิม จวบจนเสียงกรนดังขึ้นกะทันหัน มือที่จับพู่กันไว้ของเฉียวเจาถึงหยุดชะงัก นางมองไปทางต้นเสียง
แม่ทัพหนุ่มทำหน้าเหลอหลา
ไม่ใช่ข้านะ ข้าไม่เคยกรน ไม่อย่างนั้นดักซุ่มข้าศึกตอนดึกดื่น ข้าศึกได้ยินเสียงกรนก็หนีกันไปหมดแล้ว
เสียงกรนดังขึ้นอีก
เซ่าหมิงยวนทำหน้าตึงลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าหยางโฮ่วเฉิงแล้วเตะเขาทีหนึ่งอย่างปราศจากความเกรงใจ
หยางโฮ่วเฉิงกระเด้งตัวขึ้น “ใครเตะเข้า” แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงของสหายรักก็สงบปากสงบคำทันที ทำตาปรือพูดเสียงงัวเงีย “น่าแปลก ข้าละเมออีกแล้ว”
คุณชายหยางที่ ‘ละเมอ’ อยู่ผลุบออกไปดุจสายลมวูบหนึ่ง
“รบกวนเจ้าแล้วใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถาม
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ไม่เป็นไร กลับรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง”
เห็นดวงตาของเด็กสาวแดงเรื่อเพราะอดนอน เซ่าหมิงยวนสงสารอย่างมาก เขาเอ่ยเสนอขึ้น “หรือไม่ค่อยวาดต่อพรุ่งนี้ดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง ใกล้วาดเสร็จแล้ว ข้าชอบทำอะไรให้เสร็จรวดเดียวจนเป็นนิสัย” นางพูดจบแล้วยิ้มกับเถี่ยจู้เป็นเชิงขอโทษ “แค่ว่าต้องลำบากพี่เถี่ยจู้แล้ว”
นางไม่ได้มีนิสัยชอบทำอะไรให้เสร็จรวดเดียว แต่เรื่องนี้สำคัญต่อนางเหลือเกิน นางกลัวว่ายิ่งยืดเยื้อยิ่งยุ่งยาก
“ไม่ลำบากๆ สำหรับข้าแล้วนี่ไม่นับว่ามีอะไรเลย” เถี่ยจู้รีบกล่าว
“เช่นนั้นพวกเราวาดต่อเถอะ”
ยามดึกดื่นเงียบสงัด เซ่าหมิงยวนไม่มีท่าทางอ่อนล้าให้เห็นแม้สักกระผีก เขามองเด็กสาวด้วยสายตาแรงกล้า
ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงปลายพู่กันลากปราดๆ ไปบนกระดาษเสวียนจื่อได้
จวบจนแสงแรกแห่งวันจับขอบฟ้า เด็กสาวถึงวางพู่กันลง เพ่งมองภาพวาดนิ่งๆ อย่างเหม่อลอย
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปยืนข้างกายนางพลางถามไถ่ “มีอะไรหรือ”