หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 404
บทที่ 404
ชายหนุ่มเอามือหนึ่งยันพื้นโต๊ะ กลิ่นกายเจือกลิ่นใบป้อเหออ่อนๆ คุ้นจมูกห้อมล้อมเฉียวเจาไว้ในพริบตา ส่งผลให้หัวสมองที่มึนงงของนางแจ่มใสขึ้นทันใด
หญิงสาวดึงสติคืนมาแล้วไต่ถามเถี่ยจู้ “พี่เถี่ยจู้ ท่านลองดูที เป็นคนในภาพนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เขามองปราดเดียวก็ตบโต๊ะปังใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ใช่ๆ หน้าตาคนผู้นั้นเป็นอย่างนี้ เหมือนเหลือเกิน เหมือนเหลือเกินจริงๆ”
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ “นั่นเป็นเพราะพี่เถี่ยจู้จดจำได้แม่นยำ ไม่อย่างนั้นข้าก็สุดปัญญาเช่นกัน”
นางพูดจบแล้วมองภาพวาดนิ่งๆ อย่างเหม่อลอยอีกครั้ง
เซ่าหมิงยวนรู้สึกได้ว่านางผิดปกติไป เขาส่งเสียงเรียก “คุณหนูหลี?”
เวลาอยู่ต่อหน้าคนภายนอก เขาย่อมไม่อยากให้คนอื่นรู้ชื่อของหญิงในดวงใจ
นางดึงความคิดคืนมา ชายตามองไปทางเถี่ยจู้โดยไม่ส่อพิรุธ
เซ่าหมิงยวนเข้าใจความหมาย ยืดตัวขึ้นแล้วบอกกับเขา “พี่เถี่ยจู้ ท่านเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ” เถี่ยจู้ถามอย่างไม่แน่ใจ
“เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง พี่เถี่ยจู้สบายใจได้ มีภาพวาดแผ่นนี้แล้ว พวกข้าต้องลากตัวคนผู้นี้ออกมาได้แน่นอน”
เมื่อส่งเถี่ยจู้กลับไป เซ่าหมิงยวนย้อนกลับมาหาเฉียวเจา เขาทำไม่รู้ไม่ชี้จับมือนางไว้
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น “เซ่าหมิงยวน!”
ในเวลาเช่นนี้ เขายังมีแก่ใจเกี้ยวพาราสีสตรี?
ชายหนุ่มกลับไม่ใส่ใจว่านางขุ่นเคือง หลุบตาลงยกมือเรียวเล็กขึ้นมาเริ่มนวดคลึงเบาๆ
เฉียวเจานิ่งงันไป นางมองดูเขาบีบนวดสองมือที่เมื่อยล้าจนแทบเป็นตะคริวด้วยสีหน้าจดจ่อแล้วไม่รู้ว่าควรแสดงอาการตอบโต้อย่างไรดีไปชั่วขณะ
นางเคยผ่านการฝึกฝนกิริยามารยาทจนฝังลึกอยู่ในตัว อย่าว่าแต่นั่งทั้งคืน ถึงนั่งนานกว่านี้ยังคงหลังไม่ค่อม มือไม่ห้อยตกลงข้างลำตัว กระนั้นก็มิได้หมายความว่านางไม่รู้สึกเมื่อยล้า
แต่ยามที่นางเมื่อยล้าจนขยับไม่ไหว ไม่เคยมีคนผู้หนึ่งปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยนปานนี้
คนผู้นี้ตั้งใจจะวางบ่วงความอ่อนโยนรอให้นางเดินเข้าไปติดกับเองใช่หรือไม่
ทว่าธนูดอกนั้นกับกรงขังที่กักตัวนางไว้สองปีแห่งนั้นล้วนเป็นอดีตที่นางไม่ปรารถนาจะหวนคิดถึง
“ดีขึ้นบ้างหรือไม่” สุ้มเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่มดังขึ้นริมใบหู
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นมอง ดวงตาเขาแดงเรื่อจากการอดนอน แต่สีหน้าไม่อ่อนเพลียแต่อย่างใด
“ไม่ง่วงหรือ” นางเปล่งเสียงออกมาโดยไม่ทันคิด
เซ่าหมิงยวนชะงักนิ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มกว้างขวาง “ไม่ง่วง เคยชินมานานแล้ว”
เหนือสิ่งอื่นใดได้อยู่กับเจาเจาตลอดคืน ต่อให้ง่วงก็หักใจนอนหลับไม่ได้
“เจ้าเป็นห่วงว่าข้าจะง่วงหรือ” เขากุมมือของเด็กสาวไว้ จู่ๆ ก็บีบแรงขึ้นพลางกล่าว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขานวดคลึงมือนาง นางไม่ได้รู้สึกผิดปกติอันใด ครั้นเขาออกแรงมากขึ้นกะทันหัน ใบหน้านางก็ร้อนซู่ฉับพลัน เฉียวเจาดึงมือออกพร้อมกับพูดเสียงเรียบ “อย่าพูดจาส่งเดช”
“ได้ ข้าพูดจาส่งเดชเอง เจ้าอยู่นิ่งๆ ข้านวดให้” บุรุษข้างกายจับมือนางไม่ยอมปล่อย น้ำหนักมือของเขานุ่มเบา “วาดไม่หยุดทั้งคืน ไม่นวดให้ดีๆ จะเป็นตะคริวได้ ถึงตอนนั้นคงทรมานน่าดู”
เฉียวเจาจ้องมองเขาไม่พูดไม่จา
เซ่าหมิงยวนผินหน้ามองนาง เขาหวั่นใจว่านางจะอายจนพาลโกรธไม่ยอมให้เขานวดมือให้เลยถามเข้าเรื่อง “เจาเจา เมื่อครู่เจ้ามองภาพที่วาดเสร็จแล้วทำสีหน้าแปลกไป มีอะไรหรือ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้เฉียวเจาย่นหัวคิ้วแทบชนกัน เลื่อนสายตาไปมองภาพวาดที่วางราบกับโต๊ะพลางเอ่ย “คนผู้นี้ ข้าเคยเห็นมาก่อน”
แม้จะสังหรณ์ใจเช่นนี้แต่แรก แต่ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ เซ่าหมิงยวนยังคงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “เจ้าเคยเห็นหรือ เขาเป็นใคร”
“ข้าไม่รู้” เฉียวเจาส่ายหน้า ดวงตาซึ่งจ้องมองภาพวาดทอแววเลื่อนลอยอยู่บ้าง “ถึงข้าจะความจำดีพอสมควร สามารถวาดภาพคนหรือสิ่งของที่เคยเห็นออกมาได้อย่างเหมือนจริง แต่นั่นต้องเป็นคนหรือสิ่งของที่ตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษ คนในภาพนี้ข้ากล้ายืนยันว่าข้าเคยเห็นมาก่อน แต่เป็นไปได้มากว่าตอนนั้นข้าคงแค่ชำเลืองมองไปเรื่อยเปื่อย ถึงเหลือภาพติดอยู่ในความทรงจำเพียงเลือนราง ดังนั้นคนผู้นี้มีฐานะอะไรหรือเคยพบเห็นที่ใดกันแน่นั้น ข้านึกไม่ออกโดยสิ้นเชิง”
เห็นดวงหน้าของเด็กสาวฉายแววเสียดายระคนขัดเคืองใจอย่างมาก เซ่าหมิงยวนก็อดใจไม่อยู่ ยกมือลูบเรือนผมงามสลวยของนาง กล่าวเสียงนุ่ม “เจาเจา เจ้าทำได้ดีมากแล้ว อย่าบีบคั้นตนเองเกินไป ในเมื่อตอนนี้พวกเรารู้รูปพรรณสัณฐานของคนร้ายแล้ว ขอแค่คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ถึงต้องพลิกแผ่นดินตามหา ข้าก็จะทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เอาตัวคนผู้นี้มาให้จงได้”
“อย่างนั้นต้องใช้เวลานานมาก ข้ามีภาพรางๆ ของคนผู้นี้ติดอยู่ในหัวแล้ว บางทียังมีโอกาสจดจำได้ ข้าจะคิดต่ออีก”
“ห้ามคิดแล้ว” เซ่าหมิงยวนปั้นหน้าบึ้งใส่นางอย่างหาได้ยาก “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำมิใช่คิดต่ออีก แต่เป็นนอนพักให้เต็มที่”
“แต่ว่า…”
“อย่าดื้อ!”
เฉียวเจาแค่นยิ้มด้วยความโมโห “เซ่าหมิงยวน ท่านเป็นอะไรกับข้าถึงมาสั่งข้าเช่นนี้”
แม่ทัพหนุ่มโน้มตัวไปใกล้ๆ จนลมหายใจที่เย็นเล็กน้อยพ่นรดใส่ลำคอขาวผ่องของเด็กสาว “ข้าเป็นบุรุษของเจ้า เรื่องนี้ยังมีข้อกังขาหรือไม่”
หากมิใช่เขาปักใจแล้วว่านางคือภรรยาของตน จะจับมือเด็กสาวคนหนึ่งทุกวันอย่างไม่ละอายแก่ใจเฉกนี้หรือ
และหากนางมิได้รู้สึกใดๆ กับเขาแม้สักเศษเสี้ยว จะยอมให้เขากระทำตามอำเภอใจเฉกนี้หรือ
แม่เด็กน้อยโง่งมของเขาแค่ยังไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเอง
เขาเป็นถึงแม่ทัพเป่ยเจิงผู้ทรงเกียรติ สังหารข้าศึกมานับไม่ถ้วนจนชาวต๋าจื่อได้ยินชื่อก็ขวัญหนีดีฝ่อ ถ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าตามงอนง้อขอคืนดีกับภรรยา มิสู้ปาดคอตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าได้คืบเอาศอกนะ”
ชายหนุ่มหลุบตาลงทำท่าทางสะเทือนใจ “เจาเจา ทั้งที่เจ้าก็เคยเห็นร่างกายข้าแล้ว จูบก็เคยจูบกันแล้ว เจ้ายังรังเกียจรังงอนข้าถึงเพียงนี้ ไม่คิดจะรับผิดชอบเลยสักนิดใช่หรือไม่”
ไม่รอให้เด็กสาวโต้แย้ง เขาช้อนตัวนางอุ้มขึ้นทันที
เฉียวเจาไม่ทันตั้งตัว นางยกสองแขนโอบรอบคอเขาตามสัญชาตญาณ กล่าวอย่างฉุนเฉียว “เซ่าหมิงยวน ท่านจะทำอะไร”
“ทำเรื่องที่บุรุษพึงกระทำน่ะสิ” เซ่าหมิงยวนพูดพลางสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปที่เตียง
เฉียวเจาตะลึงงันไปหมด
เรื่องที่บุรุษพึงกระทำ? แม้นนางไม่เคยผ่านการร่วมหอลงโรง แต่มารดาเคยชี้แนะอ้อมๆ ก่อนออกเรือน
เป็นไปไม่ได้ เซ่าหมิงยวนเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หญิงสาวคล้ายตกอยู่ในห้วงฝัน จนกระทั่งบุรุษที่อุ้มนางไว้วางตัวนางลงบนเตียงถึงตื่นขึ้นจากฝัน ง้างขาถีบใส่คนที่อยู่เหนือร่างสุดแรง
เท้าของนางถีบโดนท้องของอีกฝ่ายพอดี
ชายหนุ่มทำหน้าเบ้ด้วยความเจ็บทว่ามิได้ชะงักมือ เขาวางเด็กสาวลงเบาๆ ดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวนางก่อนถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เจาเจา เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน รีบนอนเถอะ”
ถึงเขาจะใจร้อนปานใดก็ไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางก่อนแต่งงานหรอก
เฉียวเจานิ่งขึงไป
ท่าทางงงงันของเด็กสาวทำให้เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ อดพูดเย้าแหย่นางไม่ได้ “แน่นอนว่าถ้าเจ้าต้องการ…ข้าก็เต็มใจนะ…”
เฉียวเจาหน้าแดงก่ำ พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เซ่าหมิงยวน ออกไปเสีย!”
“ได้ ข้าออกไปเดี๋ยวนี้เลย เจ้านอนหลับให้สบายใจนะ”
จวบจนเสียงปิดประตูดังลอยมา แม่นางเฉียวที่จับผ้าห่มไว้ถึงฉุกใจขึ้นได้ภายหลังว่า พลาดเสียแล้ว นี่มันห้องของเซ่าหมิงยวน!