หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 405
บทที่ 405
เซ่าหมิงยวนก้าวออกนอกประตูห้อง เฉินกวงซึ่งพิงผนังสัปหงกอยู่สะดุ้งตื่นทันใด “ท่านแม่ทัพ…”
“คุณหนูหลีหลับแล้ว ไปคุยกันทางโน้น”
เฉินกวงพยักหน้า เขาออกเดินไปสองก้าวแล้วถึงนึกขึ้นได้ “คุณหนูหลีนอนอยู่ในห้องท่านหรือขอรับ”
สายตาของแม่ทัพหนุ่มเรียบเฉยแฝงรอยเย็นชาทรงอำนาจ เขาเลิกคิ้วถาม “มีอะไรหรือไม่”
เฉินกวงตาเป็นประกาย “ไม่มีอะไรๆ ข้าปากมากไปเองขอรับ”
ที่แท้ท่านแม่ทัพคมในฝักมาโดยตลอด เหนือชั้นยิ่งนัก!
“เยี่ยลั่วคุ้มครองเถี่ยจู้กลับไปแล้วหรือ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“เถี่ยจู้เป็นพยานปากเอก พักนี้พวกเจ้าสองคนต้องลำบากสักหน่อย ผลัดกันคุ้มครองความปลอดภัยให้เขา หากเกิดเรื่องขึ้น พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ”
“น้อมรับคำสั่ง”
เซ่าหมิงยวนถึงนั่งลงพิงผนังหลับตาพักผ่อน
เฉินกวงพิงผนังถอนใจเฮือก
ท่านแม่ทัพช่างน่าสงสารนัก สละห้องให้คุณหนูหลีนอน ส่วนตนเองจำต้องออกมานั่งหลับอยู่ข้างนอก หากท่านแม่ทัพแต่งงานกับคุณหนูหลีโดยไวก็ไม่ต้องยุ่งยากอย่างนี้แล้ว
เฉินกวงคิดคำนึงอย่างเสียดายแล้วสะลึมสะลือหลับไป
ท้องฟ้าสว่างขึ้นทีละน้อย
ยามเฉียวเจาตื่นนอน ตะวันลอยพ้นเหนือยอดไม้แล้ว
นางลุกพรวดขึ้นนั่ง
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่ขยับมาหา ขณะที่อาจูไปรินน้ำ
“เป็นยามใดแล้ว” เฉียวเจามองไปทางนอกหน้าต่าง แสงแดดแยงตาจนนางหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว
“จวนเที่ยงวันแล้วเจ้าค่ะ” อาจูยื่นถ้วยน้ำให้นาง
“ข้าหลับไปนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เฉียวเจารับถ้วยน้ำไว้ นางมีท่าทางประหลาดใจอยู่บ้าง
ปิงลวี่หลุดหัวเราะพรืด “คุณหนูยังไม่ตื่นเต็มตาหรือนี่ ใกล้จะเที่ยงวันแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้ากับอาจูยังปรึกษากันว่าจะปลุกท่านขึ้นมากินอาหารกลางวันดีหรือไม่”
เฉียวเจาดื่มน้ำให้ชุ่มคอแล้วลุกลงจากเตียง พูดโดยไม่ทันคิด “ล้างหน้าบ้วนปากก่อนเถอะ”
อาจูกับปิงลวี่มองหน้ากันไปมา
เฉียวเจาหันไปมองพวกนาง
ปิงลวี่หัวร่อคิกๆ “คุณหนู ท่านยังตื่นไม่เต็มตาจริงๆ ที่นี่ไม่ใช่ห้องของท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวเจานิ่งงันไปแล้วหน้าแดงทันควัน นางรู้สึกขายหน้ามากที่เป็นเช่นนี้ต่อหน้าสาวใช้ จึงวางหน้าขรึมกล่าวเรียบๆ “แน่นอนว่ากลับห้องไปล้างหน้าบ้วนปาก”
นางก้าวเท้าผิดจังหวะเหยียบถูกชายกระโปรงโดยไม่ระวังจนซวนเซไปเล็กน้อยถึงทรงตัวไว้ได้ จากนั้นเดินออกไปอย่างลุกลน
ลานเรือนเงียบเชียบ เฉียวเจาล้างหน้าบ้วนปากแล้วผลัดอาภรณ์เสร็จ เอ่ยถามขึ้น “คนอื่นๆ ล่ะ”
อาจูสางผมให้นางไปพูดไป “พวกแม่ทัพเซ่าไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน วันนี้นายอำเภอเรียกพวกชาวบ้านไปสอบปากคำที่นั่น”
เฉียวเจากินอะไรเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีแล้วลุกขึ้นบอกว่า “ไปดูที่เรือนผู้ใหญ่บ้านกัน”
ขณะนายบ่าวสามคนย่างเท้าออกนอกเรือน เฉินกวงเดินสวนมา แย้มปากยิ้มอวดฟันขาวทั้งปากใต้แสงอาทิตย์ “คุณหนูสามตื่นแล้วหรือขอรับ”
เฉียวเจาจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง รู้สึกไม่วายว่ารอยยิ้มของเขาวันนี้เจิดจ้าเป็นพิเศษ
“อื้อ เจ้ามิได้ออกไปหรือ”
“ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าคุ้มครองท่านขอรับ”
พอเอ่ยถึงคนบางคน ใบหน้าของเด็กสาวร้อนผะผ่าว นางกล่าวเสียงเรียบ “ไปดูที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน”
ยามกลุ่มของเฉียวเจาไปถึงที่นั่น เห็นประตูลานเปิดอ้ากว้างมีคนยืนอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด นอกจากคนในหมู่บ้านแล้วยังมีคนแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ทางการไม่น้อย
เฉินกวงกวักมือเรียกองครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่ง
เขาวิ่งเข้ามาหา เอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม “พี่เฉินกวง มีเรื่องใดหรือ”
อันว่ายามเฝ้าเรือนอำมาตย์ต้องเป็นขุนนางขั้นเจ็ด* ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงองครักษ์ของกวนจวินโหวอย่างเฉินกวงซึ่งเดิมก็มีตำแหน่งทางทหารติดตัวอยู่แล้ว องครักษ์จินอู๋ที่มาจากเทือกเถาเหล่ากอไม่เลวเหล่านี้จึงให้เกียรติเขามากพอดู
“คนของที่ว่าการมากันไม่น้อยเลยนะ”
“นั่นน่ะสิ วันนี้ไม่ได้มาแค่นายอำเภอจยาเฟิงนะ แม้แต่เจ้าเมืองก็มาด้วย”
“มิน่าถึงมีเจ้าหน้าที่มากมายอย่างนี้ เอาล่ะ ขอบใจมาก ข้าพาคุณหนูหลีเข้าไปแล้ว”
เฉินกวงคุ้มกันเฉียวเจากับสองสาวใช้เดินเข้าไป
ขณะนี้เตรียมจะกินอาหารพอดี เรื่องสอบปากคำชาวบ้านเลยยุติลงชั่วคราว เจ้าเมืองจยาหนานกับนายอำเภอหวังต่างนั่งล้อมวงพูดคุยอยู่กับพวกเซ่าหมิงยวน
“ท่านโหววางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะสืบสาวให้ถึงที่สุดแน่นอน”
“เจ้าเมืองหลี่กล่าวเช่นนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว” เซ่าหมิงยวนชำเลืองเห็นเฉินกวงตรงหน้าประตูทางหางตาก็ลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าทั้งหลายนั่งคุยกันไปก่อน ข้าขอออกไปสักครู่”
พอเขาเดินออกมา เฉินกวงกระซิบบอก “คุณหนูหลีมาแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า ก้าวขาเดินไปที่ต้นทับทิมในมุมหนึ่งของลานเรือน
บนต้นทับทิมเหลือผลติดอยู่แค่ไม่กี่ลูก มีสีแดงสดใสดูเป็นสิริมงคลมาก
เฉียวเจาหมุนกายมา “แม่ทัพเซ่า ข้าได้ยินว่าเจ้าเมืองจยาหนานก็มาด้วยหรือ”
“ใช่ ตอนนี้เจ้าเมืองจยาหนาน นายอำเภอจยาเฟิง รวมถึงเจียงอู่จากกององครักษ์จินหลินล้วนนั่งอยู่ในเรือน จะเข้าไปหรือไม่”
นางส่ายหน้า “อย่าดีกว่า การสอบสวนวันนี้มีความคืบหน้าอะไรหรือไม่”
“ไม่มี” น้ำเสียงของเซ่าหมิงยวนราบเรียบมาก
ทั้งคู่สบตากันแล้วต่างรู้ดีแก่ใจว่าการสืบถามจากชาวบ้านที่นี่ไม่น่าจะได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์อะไร
“ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปก่อน แม่ทัพเซ่าเสร็จงานแล้วบอกให้ข้ารู้ด้วย”
สำหรับเรื่องภาพวาด นางยังอยากหารือกับเขาต่อ
“ได้” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ เขาเห็นเด็กสาวที่นอนเต็มอิ่มหน้าตาสดชื่นดังเดิมแล้วแสนเบิกบานใจ “กินข้าวแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่กินก็อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่เถอะ ข้าวปลาอาหารในเรือนผู้ใหญ่บ้านวันนี้ต้องไม่เลวแน่”
เห็นเด็กสาวทำหน้าชอบกล เซ่าหมิงยวนก็หัวเราะออกมา “ไม่ต้องใส่ใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร พวกเขาเป็นเพียงคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อยากกินก็กิน ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทเพราะคนเหล่านี้”
เฉียวเจากลอกตามองฟ้า คิดคำนึงในใจ ดังนั้นที่บอกว่ากวนจวินโหวอ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยกและสุภาพมีมารยาทล้วนเป็นคำโป้ปดสินะ เสียงเล่าลือเชื่อถือไม่ได้จริงๆ
“ข้ากินแล้ว ท่านรีบเข้าไปเถอะ ปล่อยให้ผู้อื่นรอนานจะไม่ดี”
มังกรเก่งกาจยากจะข่มขวัญงูเจ้าถิ่น มาตรว่ากวนจวินโหวมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่อยู่ในถิ่นคนอื่นพยายามผูกมิตรไว้จะดีกว่า
“ได้ ข้าเข้าไปแล้วนะ” เซ่าหมิงยวนมองนางยิ้มๆ แวบหนึ่งก่อนหมุนกายไป
เฉียวเจารู้สึกแปลกๆ ชอบกลกับสายตาของเขา นางกวาดตามองเข้าไปในหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจแล้วนิ่งค้างไปโดยพลัน
เห็นเซ่าหมิงยวนกำลังจะเดินเข้าไป นางดึงสติคืนมาส่งเสียงเรียก “เซ่าหมิงยวน…”
ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับมาทันที “ยังมีเรื่องใดหรือ”
ปิงลวี่กับอาจูยืนอยู่กลางลานเรือน ห่างไปไม่ไกลยังมีเฉินกวงกับองครักษ์จินอู๋หลายคนและผู้ติดตามที่เจ้าเมืองพวกนั้นพามาด้วย
กระนั้นเฉียวเจากลับจับแขนเสื้อของเขาไว้อย่างห้ามไม่อยู่ เสียงพูดแผ่วเบาของนางสั่นเทาจนปิดไม่มิด “ข้ากลับไปรอท่านที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ มีเรื่องจะพูดกับท่านเดี๋ยวนี้”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปชั่วอึดใจ จากนั้นพยักหน้ากล่าว “ได้ ข้าเข้าไปบอกกล่าวคนข้างในสักคำแล้วจะออกมาเลย”
เมื่อกลับถึงเรือนของหญิงขายเต้าหู้ เฉียวเจารู้สึกหนาวเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางรับน้ำชาร้อนที่อาจูยื่นส่งให้ สองมือกุมถ้วยไว้แต่ไม่รับรู้ถึงความร้อนแม้สักน้อยนิด
ด้านเซ่าหมิงยวนกล่าวขอตัวกับพวกเจ้าเมืองหลี่ แต่เป็นธรรมดาที่เจ้าเมืองหลี่ต้องรั้งตัวเขาไว้ จนกระทั่งเห็นนายอำเภอหวังส่งสายตาบอก เขาถึงกล่าวอย่างเสียดาย “เช่นนั้นวันหน้าท่านโหวต้องให้เกียรติข้านะขอรับ พวกเราไม่เมาไม่กลับ”
“แน่นอน”
พอเซ่าหมิงยวนไปแล้ว เจ้าเมืองหลี่ชายตามองนายอำเภอหวัง
เขาพูดอธิบายเสียงเบาๆ “ใต้เท้าไม่ทราบอะไร กวนจวินโหวเดินทางมาคราวนี้พาสตรีนางหนึ่งมาด้วย เขาอ่อนโยนเอาใจใส่นางเป็นอันมาก คงเป็นเพราะแม่นางผู้นั้นมาหาถึงได้กลับไปขอรับ”
เจ้าเมืองหลี่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะหัวร่อเสียงดัง “ทีแรกข้าคิดว่าคนอย่างกวนจวินโหวจะเข้าหาได้ยาก ที่แท้ก็เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนนี่เอง”
* ยามเฝ้าเรือนอำมาตย์ต้องเป็นขุนนางขั้นเจ็ด เป็นสำนวน หมายถึงคนสนิทข้างกายขุนนางใหญ่ที่ได้รับความเคารพเกรงใจเพราะบารมีของเจ้านาย