หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 407
บทที่ 407
เฉียวเจาถลึงตากว้าง คนผู้นี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
เซ่าหมิงยวนอมยิ้ม เขาพลันค้นพบว่านับแต่เจาเจาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับเขา ใบหน้านางเผยอารมณ์ความรู้สึกหลายหลากขึ้นมาก
เขาชมชอบนางที่เป็นอย่างนี้
เฉียวเจาหลับตาลง จะต่อปากต่อคำกับเจ้าคนหน้าหนาไปเรื่อยๆ มิได้ หาไม่แล้วสุดท้ายจะชักใบให้เรือเสียตามเคย
นางแค่คิดแล้วไม่เข้าใจว่าเมื่อก่อนคนผู้นี้มีมารยาทและอยู่ในกรอบธรรมเนียมชัดๆ ไฉนตั้งแต่รู้ว่านางคือเฉียวเจาก็กลายเป็นหมาป่าที่ห่มหนังแกะไปเสียแล้วเล่า
“ท่านปู่กับท่านพ่อมีสหายเก่าแก่อยู่ในเมืองใกล้ๆ ละแวกนี้ ก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ พี่ใหญ่ข้านำสมุดบัญชีที่อยู่ในมือเล่มนั้นไปฝากไว้กับสหายเก่าแก่ท่านหนึ่ง แล้วก็ไปเอากลับมาก่อนออกจากจยาเฟิง เดิมทีข้าคิดไว้ว่าพอกลับถึงจยาเฟิงจะไปเยี่ยมคารวะท่านผู้อาวุโสเหล่านั้น แต่หวั่นใจว่าศัตรูอยู่ในที่ลับข้าอยู่ในที่แจ้ง กลับจะเป็นการชักพาเภทภัยมาให้พวกเขาถึงไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่าม” เฉียวเจาพูดถึงตรงนี้แล้วแย้มปากยิ้ม “ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว”
“ใช่ บัดนี้ศัตรูคิดว่าตนอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง เมื่อพวกเรารู้แล้วว่าพวกเขาเป็นใคร กลับสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ดีไม่ดีอาจทำให้ปลากินเบ็ดก็ไม่แน่” พอกล่าวถ้อยคำนี้จบ เซ่าหมิงยวนมองนางนิ่งๆ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แต่ว่าเจาเจาไปไม่ได้”
เฉียวเจามองหน้าเขา
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเสียดาย “ข้าไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียวในฐานะลูกเขยของใต้เท้าเฉียว พาเจ้าไปด้วยคะเนว่าต้องโดนพวกเขาเหยียดหยาม”
“แม่ทัพเซ่ายังกลัวโดนคนเหยียดหยามด้วยหรือ”
“ถึงจะไม่กลัว แต่หากพวกเขารู้สึกเหยียดหยามข้า มีเบาะแสอะไรก็ไม่มีทางเปิดเผยกับข้าแล้ว”
เฉียวเจานิ่งเงียบไป ความกังวลใจของเซ่าหมิงยวนมีเหตุผล แต่จะให้รอคอยอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้ ใจนางทนรับไม่ได้
คนฉลาดหลักแหลมเยี่ยงเฉียวเจาเผชิญกับปัญหานี้ก็ยังหนักอกหนักใจ แต่ครั้นมองสบสายตาหยอกล้อของอีกฝ่าย นางสะดุดใจวูบหนึ่งเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเซ่ามีวิธีหรือ”
เซ่าหมิงยวนพูดยิ้มๆ “เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท หัวสมองไม่แล่นเลยคิดวิธีดีๆ ไม่ออกในชั่วขณะ”
เฉียวเจาเห็นสีหน้าเขาก็รู้ว่าคนผู้นี้จงใจเย้าแหย่ตน นางเม้มปากแน่นอย่างสุดระงับ กล่าวเสียงเย็นๆ “ต้องทำเช่นไรแม่ทัพเซ่าถึงคิดวิธีดีๆ ออก”
บุรุษตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเจาเจาเรียกข้าว่าพี่เซ่าสักคำ พอข้าดีใจขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจคิดวิธีออกก็เป็นได้”
“เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าให้มันมากเกินไปนะ!”
เขายกมือนวดๆ ขมับ พูดโอดครวญ “ปวดหัวอยู่สักหน่อย”
“เซ่าหมิงยวน ท่านรู้หรือไม่ว่าใบหน้าท่านหนายิ่งกว่าเสื้อเกราะที่ท่านสวมบนกายวันที่กลับเมืองหลวงเสียอีก”
“ปวดหัวเหลือเกินจริงๆ เมื่อวานยกเตียงให้เจาเจาไป ข้าเลยต้องยืนหลับ”
เฉียวเจาอดอ่อนใจไม่ได้ นางจ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาที่หนายิ่งกว่ากำแพงเมืองนานครู่หนึ่งถึงขยับริมฝีปากเปล่งเสียงเรียกอย่างรัวเร็ว “พี่เซ่า”
นางกล่าวคำนี้จบแล้วแทบกัดลิ้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ
ทั้งที่ตอนเรียกขานคนอื่นอย่างนี้ นางไม่รู้สึกว่ามีอันใดแม้แต่น้อย ไฉนถึงคราวเขาจึงกระดากปากเพียงนี้นะ
เซ่าหมิงยวนขานตอบเสียงดังกังวานพลางมองเด็กสาวตาไม่กะพริบ
นางรู้หรือไม่ว่าสองแก้มของนางในเวลานี้แดงปลั่งยิ่งกว่าดอกท้อ…
แม่ทัพหนุ่มประจักษ์ได้ฉับพลันว่าเรื่องเล่าที่ว่าหลิ่วซย่าฮุ่ย* ให้นารีนั่งตักแต่ใจไม่สั่นคลอนอะไรนั่นล้วนเป็นความเท็จ หากสตรีอันเป็นที่รักอยู่ในอ้อมแขน เขาคงห้ามใจไม่อยู่แล้ว
“ท่านว่ามาสิ ตกลงมีวิธีใดกันแน่”
“ปลอมตัวเป็นบุรุษได้”
เฉียวเจาพูดไม่ออก “…” ก้อนอิฐอยู่ที่ใด ข้าจะทุบเขาให้ตายเลย!
“วิธีที่ดีถึงเพียงนี้ แม่ทัพเซ่าคิดออกได้อย่างไรกันแน่” “เฉียวเจาถามอย่างประชดประชัน
รูปโฉมที่งามอ่อนหวานจิ้มลิ้มในเพลานี้ของนางปลอมตัวเป็นบุรุษ ยกเว้นคนตาบอดถึงจับไม่ได้
“ไม่ต้องห่วง ออกเดินทางมาหนนี้ข้าเตรียมสิ่งนี้มาด้วย” เซ่าหมิงยวนล้วงของชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อยื่นให้นาง
เฉียวเจาเปิดกล่องใบเล็กๆ ออก ของที่อยู่ข้างในเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าไข่นกกระทา ดูไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดกันแน่
“นี่คืออะไรหรือ” เฉียวเจายื่นนิ้วชี้ไปแตะมันทีหนึ่ง สัมผัสที่แปลกพิกลทำให้นางขนลุกเกรียวในพริบตา
เซ่าหมิงยวนตอบพร้อมรอยยิ้ม “หน้ากากหนังมนุษย์”
ดวงตาสุกใสแวววาวทั้งคู่ของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน “มีหน้ากากหนังมนุษย์อยู่จริงๆ หรือนี่”
“มีสิ แต่หน้ากากหนังมนุษย์ที่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ตินั้นหาได้ยากอย่างยิ่งยวด ข้าได้มาแค่ชิ้นเดียวนี้เอง”
“แล้วเจ้าสิ่งนี้ใช้งานอย่างไร” เฉียวเจาเอานิ้วจิ้มๆ ของในกล่องอีกคำรบหนึ่ง
“แช่น้ำสะอาดให้ขยายออกแล้วติดบนใบหน้าก็เรียบร้อย ไว้พรุ่งนี้ก่อนออกจากเรือน ข้าจะช่วยใส่ให้เจ้า”
ทั้งสองหารือกันเสร็จ เซ่าหมิงยวนก็กลับไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน
ตลอดเวลาช่วงบ่ายที่เจ้าเมืองหลี่กับนายอำเภอหวังสอบปากคำคนในหมู่บ้าน เซ่าหมิงยวนทำท่าทางไม่ใคร่สนอกสนใจนัก ส่งผลให้พวกเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย
เมื่อการสอบปากคำในวันนี้สิ้นสุดลง นายอำเภอหวังรินน้ำชาถ้วยหนึ่งประคองด้วยสองมือยื่นให้เจ้าเมืองหลี่พร้อมกับกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านเจ้าเมืองวางใจเถอะขอรับ กวนจวินโหวมาคราวนี้ดูไปแล้วคงจะท่าดีทีเหลว ไม่แน่อาจเข้าตำราว่าใจของเฒ่าสุรามิได้อยู่ที่สุรา บอกว่ามาเซ่นไหว้ครอบครัวพ่อตาเป็นข้ออ้าง แท้จริงแล้วจะพาหญิงงามออกท่องเที่ยวต่างหาก ฮาๆๆ…”
“ถึงแม้ขณะนี้ดูท่าทางจะเป็นเช่นนี้ แต่จะอย่างไรยังเป็นเวลาสั้นๆ เรื่องที่ให้จับตาดูคนทางนั้นไว้ยังหย่อนยานไม่ได้”
“ใต้เท้าวางใจได้เลยขอรับ”
วันรุ่งขึ้นไอหมอกยามเช้าตรู่ปกคลุมหมู่บ้านกลางเขาเล็กๆ ที่สงบงดงาม เสียงไก่ขันสุนัขเห่าดังประสานกัน เงาร่างสายหนึ่งเล็ดลอดออกจากบริเวณใกล้ๆ เรือนของหญิงขายเต้าหู้
นายอำเภอหวังได้รับรายงานแล้วรีบไปที่เรือนของเจ้าเมืองหลี่
เจ้าเมืองหลี่ลุกขึ้นนั่งสีหน้าบูดบึ้ง “เรื่องอะไร”
หมู่บ้านไป๋อวิ๋นนั้นขัดสนฝืดเคืองจนแทบไม่มีอะไร แต่สตรีกลับรูปโฉมโดดเด่น พวกหลานสาวของผู้ใหญ่บ้านแต่ละนางล้วนงามเปล่งปลั่ง เมื่อคืนเขาได้กุมมือเล็กๆ ของคนหนึ่งในนั้น แสนจะเรียบลื่นนวลเนียนอย่าบอกใคร เมื่อครู่ยังฝันถึงว่ามือเล็กๆ คู่นั้นช่วยผ่อนคลายอารมณ์ให้เขาอยู่ ใครจะรู้ว่าจะถูกเจ้าคนเบาปัญญาผู้นี้ขัดจังหวะฝันหวาน!
เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชามีสีหน้าไม่ดี นายอำเภอหวังลุกลนกล่าวขึ้น “ใต้เท้า คนที่เฝ้าดูพวกนั้นพบว่าเช้าวันนี้กวนจวินโหวพาเด็กรับใช้คนหนึ่งออกจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอย่างเงียบๆ ขอรับ”
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ” เจ้าเมืองหลี่หายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง รับเสื้อที่นายอำเภอหวังยื่นส่งให้มาสวมอย่างเร่งรีบ สีหน้าเขาฉายแววขุ่นมัว “กวนจวินโหวออกจากหมู่บ้านอย่างลับๆ ล่อๆ เฉกนี้หมายความว่าอะไร”
“เรื่องนี้บอกยากขอรับ ทว่าเมื่อวานเขาไม่มีท่าทางผิดปกติใดๆ วันนี้กลับทำเรื่องเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าน่าแปลกเกินไป”
“อันว่าเกิดเรื่องผิดปกติย่อมต้องมีเลศนัย เรื่องนี้จะชะล่าใจมิได้ คนที่เฝ้าดูพวกนั้นไว้ได้ติดตามไปหรือไม่”
“ใต้เท้าวางใจได้ ตอนนั้นส่งคนไปเฝ้าดูสองคน มีคนหนึ่งสะกดรอยตามไปทันที”
“เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าอยู่เฝ้าที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นไว้ ส่วนข้าจะกลับเข้าเมืองประเดี๋ยวนี้เลย ถ้ามีคนถามถึงก็บอกว่าทางอวี๋เถียนเกิดภัยธรรมชาติ ข้ารีบรุดไปสำรวจตรวจตราที่นั่นแล้ว”
“ขอรับ”
บนถนนหนทางในชนบทยามรุ่งเช้ามีคนสัญจรไปมาบางตา บุรุษเรือนกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งพร้อมด้วยเด็กรับใช้หน้าตาหมดจดกำลังเดินด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
“สถานการณ์ชักน่าสนใจ” เซ่าหมิงยวนเบนหน้าพูดเสียงกระซิบ
“มีอะไรหรือ”
“เจ้าคนที่ตามติดเป็นหางข้างหลังพวกเรากลับคล่องแคล่วว่องไวพอดู ต้องผ่านการฝึกฝนอบรมทักษะการสะกดรอยมาโดยเฉพาะเป็นแน่ จยาเฟิงเป็นอำเภอเล็กๆ กระจ้อยร่อย แต่ข้างกายนายอำเภอมีคนเช่นนี้ เจ้าว่าน่าสนใจหรือไม่เล่า”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ นี่ก็ยืนยันได้ว่าพวกเรามาไม่ผิดทางแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยกนิ้วชี้บอก “ถึงตำบลไป๋อวิ๋นแล้ว”
ตำบลไป๋อวิ๋นอยู่ห่างจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นเพียงสิบลี้เศษ เมื่อหลายปีก่อนมีแม่ทัพที่ลาออกจากราชการมาพำนักอยู่ที่นี่ เขากับเฉียวจัวท่านปู่ของเฉียวเจามีไมตรีต่อกันพอสมควร ไปๆ มาๆ ทั้งสองครอบครัวก็กลายเป็นสหายสนิทกัน
เฉียวเจาทอดสายตามองตัวตำบลเล็กๆ ไกลออกไปแล้วอดเร่งฝีเท้าขึ้นไม่ได้
* หลิ่วซย่าฮุ่ยมีนามเดิมว่าจั่นฉิน เป็นชาวแคว้นหลู่ในสมัยชุนชิว เขาเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติตนอยู่ในขนบธรรมเนียมอันดีงามของจีน เล่ากันว่าระหว่างการเดินทางไปทำธุระต่างแดน เขาค้างแรมอยู่ที่นอกเมือง มีหญิงสาวผู้หนึ่งขอเข้ามาหลบหนาวด้วยร่างกายที่หนาวเกร็ง เขาจึงให้นางเข้ามาอิงซบรับไออุ่นในอ้อมอกของตน จนรุ่งเช้าวันใหม่ก็มิได้ล่วงเกินหญิงผู้นั้นเลย