หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 41
บุรุษชุดสีดำเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ ข้าน้อยเจียงหย่วนเฉา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาลำดับที่สิบสามของท่านผู้บัญชาการเจียง ในเมื่อท่านแม่ทัพรู้ฐานะข้าแล้ว ไฉนยังถามคำถามนี้อีกเล่า
เจียงหย่วนเฉาเพิ่งกลับเมืองหลวง ขณะนี้ยังมิได้ไปที่กององครักษ์จินหลิน ทว่าวันหน้าคงต้องพบเจอกับเซ่าหมิงยวนซึ่งอยู่ในเมืองหลวงเช่นกันอย่างเลี่ยงได้ยาก ยามนี้ปิดบังฐานะต่อไปหามีความจำเป็นใดๆ ไม่
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปชั่วประเดี๋ยวแล้วพยักหน้าตอบ ใช่ ข้าถามมากความไปเอง ขออำลาล่ะ
เขากล่าวจบแล้วโผนกายขึ้นม้า ประสานมือคำนับเจียงหย่วนเฉา ปราศจากท่าทางใส่ใจสักน้อยนิด
เจียงหย่วนเฉาฉุกใจได้คิดเช่นเดียวกัน
เขานึกมาโดยตลอดว่าแม่ทัพนามกระเดื่องของแคว้นต้าเหลียงผู้นี้คงเป็นคนดุร้ายโหดเหี้ยมทว่าขาดความฉลาดหลักแหลม บัดนี้ดูไปแล้วผิดถนัด
อาศัยแค่ท่าทางชักกระบี่เท่านั้นก็คาดเดาฐานะของเขาได้ ทั้งไม่สะทกสะท้านกับการสะกดรอยตามขององครักษ์จินหลินที่ใครได้ยินชื่อก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อ นี่เพียงพอจะบ่งบอกได้ว่าเรื่องสติปัญญาและจิตใจของคนผู้นี้มิใช่คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้
คนเช่นนี้กลับปกป้องภรรยาของตนเองไม่ได้ เรื่องนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันใดหรือไม่
เจียงหย่วนเฉาคิดไปถึงหญิงสาวซึ่งบุปผาแห่งชีวิตปลิดปลิวไปแล้วผู้นั้น ในอกเขาก็ขมปร่า เพียงนึกชังที่แดนเหนือเป็นที่ที่เกิดการรบพุ่งมานานหลายปี แต่องครักษ์จินหลินเอื้อมมือไปไม่ถึง สุดปัญญาจะสืบหาความจริงที่นางตกไปอยู่ในกำมือของข้าศึกให้กระจ่างได้แล้ว
ท่านแม่ทัพคิดมากไปแล้ว อันที่จริงข้าออกมาท่องชมธรรมชาตินอกเมือง เห็นเซ่าหมิงยวนตั้งท่าจะขี่ม้าจากไป เจียงหย่วนเฉากล่าวขึ้นยิ้มๆ
อืม ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิกำลังงาม ใต้เท้าเจียงช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งนัก เซ่าหมิงยวนพูดเสียงเรียบๆ
ใครๆ ต่างรู้ว่าสิบสามราชองครักษ์ใต้อาณัติเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินล้วนใช้แซ่เจียงตามเขา
สีหน้าและแววตาของเจียงหย่วนเฉาแฝงรอยยิ้มขับเน้นรูปโฉมเขาให้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิกำลังงาม ท่านแม่ทัพจะไปท่องชมธรรมชาติเช่นกันหรือ
เขาดูจากสายตาของเซ่าหมิงยวนก็มองออกได้ว่าคนอย่างนี้ยังมิได้หลงมัวเมาในอำนาจลาภยศอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกผิดต่อเรื่องสังหารภรรยากระมัง
เจียงหย่วนเฉาอยากเห็นท่าทางรู้สึกผิดทรมานใจของอีกฝ่ายนี่เอง ใครใช้ให้ปกป้องสตรีที่เคยทำให้จิตใจเขาหวั่นไหวไม่ได้เล่า
เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าเปลี่ยนไปดังคาด ละม้ายโยนหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งลงไปในทะเลสาบ ก่อริ้วคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมไหว ทำให้แลดูอ่อนนุ่มขึ้นทว่าชวนวังเวงใจ ข้าไปรับหีบศพของภรรยากลับเรือน
อืม ภรรยาของท่านแม่ทัพเซ่ากลับมาพร้อมกับหีบศพของทหารพลีชีพกระมัง ท่านแม่ทัพช่างมีความรักมั่นคงโดยแท้ มุมปากของเจียงหย่วนเฉาอมยิ้มตลอดเวลา คนที่คุ้นเคยกับเขาจะรู้ว่ารอยยิ้มนี้เป็นดั่งหน้ากากที่ท่านสิบสามสวมใส่ต่อหน้าผู้อื่นเสมอ แต่คนที่ไม่รู้จักเขาดีจะนึกเพียงว่าเป็นวาจาจากใจ ถ้าผู้ใดถือเป็นจริงเป็นจัง นั่นก็คือหาเรื่องให้ตนเองขายหน้าแล้ว
ในกาลก่อนเซ่าหมิงยวนไม่เคยคบค้าวิสาสะกับเจียงหย่วนเฉามาก่อน ทว่า ณ ตอนนี้คนผู้นี้ปรากฏตัวตรงหน้าเขาแล้วกล่าววาจาชอบกลพวกนี้ ยังคงทำให้เขาคิดหาเหตุผลไม่ออก แต่คำว่า ‘ความรักมั่นคง’ นี้ราวกับมีดคมกริบเล่มหนึ่งจ้วงแทงเข้ากลางอกเขา ทั้งเจ็บปวดทั้งอดสู
เขาเซ่าหมิงยวนเคยช่วยคนนับพันนับหมื่น ทว่านับแต่เสี้ยวขณะที่ยิงธนูดอกนั้นออกไปเป็นต้นมา ตลอดชาตินี้ถูกลิขิตให้ชีวิตเหมือนตกนรก
เขากระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มแสนบางเบา มองไปทางเจียงหย่วนเฉาที่อมยิ้มอยู่ตรงหน้า ใต้เท้าเจียงกล่าวล้อเล่นแล้ว ข้าขออำลาก่อน
เซ่าหมิงย่วนกระทุ้งท้องม้าทีหนึ่ง เจ้าอาชาสีขาวที่งุ่นง่านแต่แรกก็พุ่งทะยานออกไปดุจลูกธนูหลุดจากแล่ง
เสียงลมดังฟิ้วๆ ข้างหูพัดตีเสื้อคลุมสีขาวของเขาเย็นเฉียบเสียดกระดูก แต่คนบนหลังม้ากลับไม่รู้สึกรู้สาสักนิด ยังควบม้าห้อตะบึงไปเร็วขึ้นทุกทีๆ
เขากับเฉียวซื่อพบหน้ากันครั้งแรกในตอนสถานการณ์วิกฤติไม่มีทางเลือก เขากับนางอาจไม่มีความรักฉันชายหญิงต่อกัน แต่มีหน้าที่ต่อกันในฐานะสามีภรรยา กระนั้นเขามิได้ปกป้องนางให้ดี ซ้ำร้ายต้องลงมือปลิดชีวิตนางเอง
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง เพียงรู้สึกลมหายใจติดขัด
อาชาพ่วงพีวิ่งตกหลุมตื้นๆ จุดหนึ่งบนพื้นถนน ส่งแรงกระแทกกระเทือนไปถึงแผลใหม่ตรงชายโครง ความเจ็บปวดแผ่ลามออกไป แม้แต่แผลเก่านับไม่ถ้วนที่เป็นผลจากการออกศึกหลายปีก็เริ่มเจ็บไปด้วย
ข้อนิ้วมือที่กุมสายบังเหียนไว้ของเซ่าหมิงยวนเป็นสีขาวซีดจางๆ เขาควบคุมตัวไว้ไม่ให้สั่นเทาแม้แต่น้อยนิด
เขาลืมตาขึ้น แหงนหน้ามองก้อนเมฆเรียงต่อกันเป็นลอนคลื่นสูงๆ ต่ำๆ ละม้ายแนวสันเขาบนฟ้า รำพึงในใจว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงแล้ว
ทุกคราที่อากาศเปลี่ยน แผลเก่าของเขาก็จะเริ่มเจ็บ แม่นยำเช่นนี้ไม่เคยพลาด
บางครั้งเซ่าหมิงยวนอดมิได้ที่จะคิดเยาะเย้ยตนเองที่สามารถทำนายอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ นี่นับเป็นข้อดีหนึ่งหลังได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยยามประจันหน้ากับข้าศึกก็จะครองความได้เปรียบในด้านดินฟ้าอากาศอย่างง่ายดาย
เสียงฟ้าผ่าประจำฤดูใบไม้ผลิดังเปรี้ยงปร้างน่าตกใจ สายพิรุณก็เทกระหน่ำลงมาราวกับน้ำตกในเวลาอันสั้น ผู้คนและรถม้าที่สัญจรไปมาบนถนนหลวงพากันมองหาที่กำบัง มีแต่ชายหนุ่มชุดสีขาวที่ขี่ม้ากลืนเข้าไปในม่านฝน
รถม้ากว้างใหญ่งามวิจิตรคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง มีองครักษ์รายล้อมอยู่โดยรอบ มือเรียวงามนวลเนียนดุจหยกข้างหนึ่งเลิกม่านหน้าต่างขึ้น ดวงหน้างามปานบุปผายื่นมาชิดข้างหน้าต่างมองดูความหนักเบาของสายฝน ประจวบเหมาะกับม้าสีขาวพุ่งฉิวผ่านมา ย่ำหย่อมน้ำกระเด็นขึ้นมาโดนใบหน้าของนาง
เด็กสาวร้องอุทานคำหนึ่ง นางมองตามไปอย่างโมโหโทโส เห็นแค่เงาร่างสีขาวสายหนึ่งวูบผ่านไป
องค์หญิง ทรงไม่เป็นไรนะเพคะ นางกำนัลภายในตัวรถม้าสะดุ้งตกใจ ลนลานหยิบผ้าเช็ดหน้านุ่มๆ เช็ดให้นาง
เด็กสาวมีดวงตาที่เปล่งประกายงามระยับ ปลายคางกลมมนสมส่วน สองแก้มซับสีแดงเรื่อๆ นับเป็นหญิงงามล้ำเลิศนางหนึ่งขนานแท้ เพลานี้ใบหน้านางเปื้อนน้ำสกปรก อย่าว่าแต่บุรุษ กระทั่งนางกำนัลที่ช่วยเช็ดหน้าให้เห็นแล้วยังอยากด่าทอคนที่ห้อม้าผ่านไปเมื่อครู่นี้ว่าบัดซบอย่างอดใจไม่อยู่
สตรีผู้นี้คือพระธิดาองค์ที่เก้าของฮ่องเต้หมิงคัง หรือองค์หญิงเจินเจินผู้โฉมงามจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชานั่นเอง
หลงอิ่ง คนที่ผ่านไปเมื่อครู่นี้เป็นผู้ใดกัน องค์หญิงเจินเจินเติบใหญ่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยพานพบเรื่องน่าขยะแขยงปานนี้ นางโกรธเกรี้ยวเหลือจะกล่าว น้ำโคลนสกปรกอย่างนั้นถึงกับสาดกระเซ็นโดนใบหน้าของนาง คนผู้นั้นสมควรตายจริงๆ
หลงอิ่งเป็นองครักษ์ประจำตัวนาง ฝีมือสูงส่งอย่างยิ่ง มาตรว่าเงาร่างสีขาวกลางม่านฝนไปเมื่อครู่สายนั้นจะพุ่งฉิวผ่านมาวูบเดียว เขายังคงเห็นรูปโฉมได้เลาๆ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเดินเข้ามาบอกเสียงเบา ทูลองค์หญิง กระหม่อมดูแล้วคล้ายจะเป็นกวนจวินโหวที่เพิ่งกรีธาทัพกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ
กวนจวินโหว? องค์หญิงเจินเจินขมวดคิ้วมุ่น นางจดจำแม่ทัพใหญ่ผู้โด่งดังลือลั่นท่านนี้ไม่ได้
องค์หญิงเจินเจินนั่งตัวตรง กล่าวอย่างไม่พึงใจว่า กลับไปแล้วข้าจะดูสิว่ากวนจวินโหวผู้นี้เป็นใครมาจากที่ใด ถึงบังอาจเสียมารยาทต่อข้าเยี่ยงนี้
นางกำนัลด้านข้างกล่าวผสมโรง นั่นสิเพคะ คนผู้นั้นทำเกินไปแล้ว
องค์หญิงเป็นสาวงามปานนี้ต้องมาโดนน้ำโคลนกระเซ็นใส่หน้าเพราะเขา ถ้าทนได้ยังจะมีเรื่องใดที่ทนไม่ได้อีก
ไปเถอะ องค์หญิงเจินเจินเอ่ยเสียงปึ่งชา
องค์หญิง จะรอให้ฝนเบาลงหรือไม่เพคะ…
องค์หญิงเจินเจินเชิดหน้าขึ้น ไม่รอแล้ว ข้าในสภาพนี้จะรอต่อไปได้เช่นไร
รถม้างามวิจิตรแล่นเนิบนาบฝ่าสายฝนไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
เจียงหย่วนเฉาหลบฝนอยู่ในเพิงน้ำชาข้างทาง
เพิงน้ำชาเก่าซอมซ่อ บางจุดมีรูรั่วน้ำหยด เม็ดฝนเรียงต่อกันเป็นสายเหมือนม่านไข่มุกส่งเสียงดังติ๋งๆ
เจียวหย่วนเฉาสั่งน้ำชาร้อนหนึ่งกามาดื่มอย่างไม่เร็วไม่ช้า เขาเพ่งสายตามองสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอย
ร่องรอยโดนเปิดเผยแล้ว เขาย่อมไม่ต้องแอบสะกดรอยตามเป็นธรรมดา
จะว่าไปแล้วเขามิได้โกหกแม่ทัพเซ่าผู้นั้นเสียทีเดียว เขาออกนอกเมืองหนนี้เป็นแค่เรื่องส่วนตัวจริงๆ
เขาอยากเห็นเองกับตาว่านางกลับมาในสภาพอย่างไร
อืม ฝนตกตอนนี้ได้จังหวะดีเหลือเกิน เจ้าคนผู้นั้นแข็งตายเสียได้ก็ดี
เจียงหย่วนเฉาหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง เลื่อนสายตาไปมองรถม้าหรูหราคันหนึ่งที่แล่นเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ดวงตาเขาทอประกายวูบหนึ่ง
นี่เป็นใครอีกนะ องครักษ์ที่ตามหลังรถม้ามิใช่มือชั้นสามัญ
เขากำลังตรึกตรองอยู่ รถม้าคันนั้นก็หยุดจอดตรงหน้าเพิงน้ำชาอย่างกะทันหัน