หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 412
บทที่ 412
ผู้ฝึกยุทธ์กระทำการใดฉับไวตรงไปตรงมา เมื่อนายท่านเซี่ยกลับมาที่ห้องโถงอีกครา เขาทรุดกายลงนั่งแล้วยื่นของสิ่งหนึ่งที่ห่อด้วยกระดาษเคลือบมันส่งให้เซ่าหมิงยวน
“ท่านลุง นี่คือ…”
นายท่านเซี่ยโบกมือไปมา “ข้าก็ไม่รู้ว่าคืออะไร”
เมื่อมองสบสายตาหลากใจน้อยๆ ของอีกฝ่าย เขาเอ่ยอธิบายขึ้นว่า “นี่เป็นของที่น้องเฉียวฝากไว้กับข้าตอนข้าไปเยี่ยมคารวะเขาที่เรือนสกุลเฉียวตอนต้นปี พอข้าได้รับมาก็เก็บขึ้นมิเคยเปิดออกดูเลย”
ดวงตาของเฉียวเจาเปล่งประกายวูบหนึ่ง
ตามคำบอกเล่าของท่านลุงเซี่ย เขาได้รับของสิ่งนี้ก่อนพี่ใหญ่จะตระเวนเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียวเสียอีก
นี่หมายความว่าภายหลังที่ท่านพ่อสั่งให้พี่ใหญ่ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่แล้วตกหล่นสกุลเซี่ยที่เดียว เป็นเจตนาของท่านพ่อเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่นใช่หรือไม่
เฉียวเจายืนอยู่หลังเซ่าหมิงยวนยกมือแตะเขาเบาๆ ทีหนึ่ง
เขาเข้าใจความหมาย เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าฉงน “ในเมื่อเป็นของที่ท่านพ่อตาข้ามอบให้ท่านลุง เหตุใดท่านถึงมอบมันต่อให้ข้าขอรับ”
นายท่านเซี่ยมองของในมือเขาแวบหนึ่งก่อนกล่าวทอดถอนใจ “เดิมทีข้าแค่ช่วยเก็บรักษาให้น้องเฉียว ตอนเขาฝากของชิ้นนี้ไว้กับข้าก็บอกกับข้าแล้วว่าถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับสกุลเฉียว…”
เขามองไปทางเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้าหม่นเศร้า “น้องเฉียวพูดกำชับข้าว่าหากท่านโหวพาบุตรสาวคนโตของเขามาที่จยาเฟิงก็มอบของสิ่งนี้ให้นาง”
เขารู้ข่าวเรื่องบุตรสาวคนโตของสกุลเฉียวประสบเคราะห์ร้ายไปแล้วในภายหลัง
กวนจวินโหวมาเยี่ยมคารวะถึงที่จวน ทีแรกเขาลังเลใจอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าสมควรมอบสิ่งนี้ให้หรือไม่
แต่กวนจวินโหวลั่นวาจาว่าจะชำระความแค้นให้สกุลเฉียว อีกทั้งหยิบสารของเฉียวโม่ออกมา ทำให้เขาตกลงปลงใจมอบมันให้อีกฝ่ายในที่สุด
นายท่านเซี่ยคิดคำนึงในใจ น้องเฉียว ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่กันแน่ หวังว่าดวงวิญญาณเจ้าบนสวรรค์จะดลบันดาลให้ข้ามองคนไม่ผิด ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังที่ฝากฝังกับข้า
เฉียวเจาได้ยินคำกล่าวของนายท่านเซี่ยแล้วหน้าซีดเผือด
ที่แท้ของชิ้นนี้เป็นท่านพ่อต้องการมอบให้นางนั่นเอง
เสี้ยวขณะนี้เฉียวเจารู้สึกโชคดีสุดจะเปรียบที่ข่าวการตายของนางมิได้แพร่มาถึงแดนใต้ก่อนเกิดเรื่องร้ายกับสกุลเฉียว ไม่เช่นนั้นท่านพ่อได้รับข่าวแล้วจะเสียใจเพียงใดนะ
สายตาของนางหยุดอยู่ที่ของในห่อกระดาษเคลือบมัน
ในนั้นเป็นอะไรกันแน่ ดูจากความหนาคล้ายเป็นสิ่งของจำพวกสารหรือภาพตัวอักษร
เฉียวเจารู้สึกอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง แต่นางประสบผ่านเรื่องต่างๆ มามากมายอย่างนี้ ยังสามารถควบคุมตนเองไว้ได้ สีหน้าของนางกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำราวกับเป็นเด็กรับใช้จริงๆ คนหนึ่ง ไม่ดึงดูดความสนใจใครแม้แต่น้อย
เวลานี้เองมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากนอกโถง ยามหน้าประตูเข้ามารายงาน “นายท่าน มีคนมาขอรับ”
นายท่านเซี่ยกับเซ่าหมิงยวนสบตากันก่อนลุกขึ้นยืน “ท่านโหวเก็บของไว้ให้ดีเถอะ ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”
ประตูใหญ่เปิดออก บุรุษวัยราวสามสิบเศษผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอก ข้างหลังเขามีผู้ติดตามหลายคน
เขาเห็นนายท่านเซี่ยแล้วกล่าวขึ้นทันที “ได้ยินว่าจวนนี้มีชายหนุ่มเก่งกาจมากผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด เหตุใดไม่ออกมาพบกันเล่า”
“เจ้าอยากพบข้าหรือ” สุ้มเสียงเย็นชาดังลอยมา
บุรุษผู้นั้นเหลือบตาขึ้นมองไป เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งจ้องมองตน นัยน์ตาเขาแฝงรอยปึ่งชาแลดูทรงอำนาจน่าเกรงขาม
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร ไฉนต้องยื่นมือยุ่งเรื่องของสกุลเซี่ย”
เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องของท่านลุงเซี่ยก็คือเรื่องของข้า”
บุรุษผู้นั้นทำหน้าตึง “นี่ท่านจะไม่ให้เกียรติข้ารึ”
อย่าว่าแต่ชาวบ้านสามัญชน ถึงเป็นขุนนางน้อยใหญ่ในจยาเฟิงพบคนของกององครักษ์จินหลินก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ด้วยเหตุนี้องครักษ์จินหลินตามเมืองต่างๆ ยังมีบารมีมากกว่าองครักษ์จินหลินประจำเมืองหลวงด้วยซ้ำไป
นานวันเข้าพวกองครักษ์จินหลินบางคนย่อมมีกิริยาวาจายโสโอหังขึ้น
มาตรว่าบุรุษผู้นั้นรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามิใช่คนธรรมดา แต่ยังไม่เก็บงำความหยิ่งผยองไว้ ดวงตาเฉยชาของเขาแผ่รังสีพิฆาตเย็นเยียบออกมา
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เจ้าเป็นองครักษ์จินหลินจริงหรือ”
บุรุษผู้นั้นแค่นเสียงเยาะอย่างห้ามไม่อยู่ “ที่แท้ท่านไม่รู้จักชุดขององครักษ์จินหลินหรือนี่!”
เซ่าหมิงยวนเพ่งสายตาไปที่ตัวเขาพลางพูดเอื่อยๆ “อ้อ อาภรณ์กับของประดับกายท่านไม่ใคร่เหมือนกับองครักษ์จินหลินที่ข้าเคยเห็น ถึงได้ฉงนใจอยู่บ้าง”
เฉียวเจาก้มหน้าลงยกมุมปากขึ้น เจ้าคนผู้นี้เริ่มพูดจาถากถางคนอีกแล้ว
แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกัน คนผู้นี้แต่งกายต่างจากองครักษ์จินหลินแท้ๆ เล็กน้อย คนที่คุ้นเคยกับองครักษ์จินหลินจะแยกแยะออกได้ ชุดนี้เป็นของเจ้าหน้าที่นอกสังกัดกององครักษ์จินหลิน พูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นคนที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนอย่างเป็นทางการ
พอได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา
ถึงแม้เขาเป็นเจ้าหน้าที่นอกสังกัดกององครักษ์จินหลิน ทว่าแค่อาศัยสถานะนี้คนทั่วทั้งจยาเฟิงมีใครบ้างพบเขาแล้วไม่เกรงอกเกรงใจ นี่เป็นคราครั้งแรกที่มีคนฉีกหน้าเขาเช่นนี้
“พวกเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด ท่าทางของคนผู้นี้ส่อพิรุธ ยังไม่จับกุมตัวไว้อีก!”
คนที่บุรุษผู้นั้นพามาล้วนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นกรูกันเข้าไปตีวงล้อมเซ่าหมิงยวนไว้
ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงพูด “หากยังไม่มีเจ้านายออกมาไล่สุนัขที่ก่อเรื่องไปอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
สิ้นเสียงเขา มีสุ้มเสียงเย็นกระด้างร้องตวาดขึ้น “พวกเจ้ายังไม่หยุดมืออีก”
“เจ้าเป็นใครกัน บังอาจขัดขวางการทำคดีของพวกข้าองครักษ์จินหลิน” บุรุษผู้นั้นหันศีรษะไปเห็นผู้ที่มาถึงก็เข่าอ่อนทันใด เขาพูดเสียงสั่นเทา “ท่าน…ท่านห้า…”
เจียงอู่เงื้อมือตบหน้าบุรุษผู้นั้นฉาดใหญ่ก่อนกล่าวเสียงห้วน “ทำคดี? เจ้ามันอยู่ระดับชั้นใด ถึงริอ่านจะทำคดีแทนองครักษ์จินหลินรึ”
เจ้าหน้าที่นอกสังกัดพรรค์นี้เป็นพวกคนท้องถิ่นที่กององครักษ์จินหลินของพวกเขาเกณฑ์มาเพราะกำลังคนไม่พอเท่านั้น ในสายตาคนนอกผู้ที่ห่อหุ้มเปลือกนอกนี้ไว้อาจวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็แค่สุนัขผายลม
เจียงอู่คร้านที่จะพูดจากับบุรุษผู้นั้น เขาประสานมือคารวะพลางกล่าวกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว เป็นข้าที่มิได้กวดขันผู้อยู่ใต้อาณัติให้ดีเอง ต้องขออภัยด้วย”
เขาส่งคนจับตาดูกวนจวินโหวผู้ยิ่งใหญ่ดุจเทพเซียนมาจุติท่านนี้ไว้ตลอด ผลปรากฏว่าผู้ใต้บังคับบัญชามารายงานว่ามีเจ้าหน้าที่นอกสังกัดกององครักษ์จินหลินกำลังปะทะกับกวนจวินโหวอยู่ นี่ไม่น่าขันหรือ
“ไม่เป็นไร แค่ว่าญาติผู้น้องขององครักษ์จินหลินผู้นี้อาศัยว่าตนมีญาติผู้พี่เป็นองครักษ์จินหลินเฝ้ารังควานท่านผู้อาวุโสสหายของท่านพ่อตาข้าอยู่บ่อยๆ วันนี้ข้าคงต้องขอน้ำใจไมตรีจากท่านเจียงอู่สักครั้ง”
เจียงอู่ยกยิ้ม “ท่านโหวเกรงใจเกินไปแล้ว คนผู้นี้เพียงช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กององครักษ์จินหลิน เขาไม่รู้กาลเทศะอย่างนี้กลับไปแค่เปลี่ยนคนใหม่ก็สิ้นเรื่อง ท่านผู้อาวุโสเซี่ยสบายใจได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้ว “ถึงกระทำก็ตามที แต่ใครจะรู้ว่าวันหน้า…”
เจียงอู่เหลียวมองรอบตัว ชาวบ้านในละแวกนั้นที่มุงดูอยู่พากันหดหัวกลับไป
เขาแค่นหัวเราะเสียงหนึ่งแล้วกล่าวเสียงดัง “เจี่ยงอู่ขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่าหากวันหน้ามีใครหาเรื่องสกุลเซี่ยก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับกององครักษ์จินหลินของข้า”
สกุลเซี่ยเป็นตระกูลเล็กๆ ไม่นับเป็นเศรษฐีด้วยซ้ำไป หากมิใช่ในกาลก่อนมีไมตรีกับสกุลเฉียวอยู่หลายส่วน ในสายตาเขาก็ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป ครอบครัวเช่นนี้ต่อให้ก่อเรื่องขึ้นจะเป็นปัญหาใหญ่โตสักปานใดได้
การช่วยคุ้มครองคนโดยไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดนี่ เป็นธรรมดาที่เขาย่อมยินดีจะแสดงน้ำใจไมตรีที่แสนง่ายดายนี้
“เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าเจียงอย่างมาก ท่านจะเข้ามาดื่มน้ำชาสักถ้วยหรือไม่”
เจี่ยงอู่แย้มยิ้มเอ่ย “ข้าไม่รบกวนท่านโหวกับผู้อาวุโสเซี่ยรำลึกความหลังกันแล้ว”
เขาประสานมือคารวะ ดวงตารียาวไม่เหลียวแลบุรุษที่ทำหน้าละห้อยสักแวบเดียว เอ่ยเสียงเย็นๆ ว่า “กลับ”
ประตูใหญ่ของจวนสกุลเซี่ยปิดลงดังเก่า แต่สายตาที่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมองไปยังจวนสกุลเซี่ยอีกครากลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สกุลเซี่ยถึงกับมีองครักษ์จินหลินคุ้มครองอยู่ วันหน้าจะตอแยมิได้!