หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 414
บทที่ 414
“กวนจวินโหวไปที่สกุลเซี่ยในตำบลไป๋อวิ๋น?” ได้ฟังรายงานจากสายสืบแล้ว นายอำเภอหวังส่งคนไปแจ้งข่าวเจ้าเมืองหลี่ทันที
เจ้าเมืองหลี่ได้ข่าวแล้วเรียกที่ปรึกษามาพูดคุยหารือ
“อาจารย์หานเห็นว่าความเคลื่อนไหวในวันนี้ของกวนจวินโหวมีนัยลึกซึ้งอันใดหรือไม่”
ที่ปรึกษาซึ่งถูกเรียกขานว่า ‘อาจารย์หาน’ เป็นผู้เฒ่าร่างผอมเกร็งไว้เคราแพะผู้หนึ่ง เขาได้ยินคำกล่าวนี้ก็ลูบเคราพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยสืบข่าวของสกุลเซี่ยในตำบลไป๋อวิ๋นมาแล้วว่าเป็นตระกูลสามัญธรรมดา สมัยเฉียวจัวยังมีชีวิตอยู่ก็ไปมาหาสู่กับสกุลเซี่ยอย่างใกล้ชิด ทั้งสองตระกูลจึงกลายเป็นสหายสนิทกัน กวนจวินโหวมาถึงจยาเฟิงจะไปเยี่ยมคารวะสกุลเซี่ยก็มิใช่เรื่องน่าแปลก”
“ไปเยี่ยมคารวะสกุลเซี่ยมิใช่เรื่องน่าแปลก ทว่ากวนจวินโหวไปที่นั่นแต่เช้าตรู่แบบลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่พิลึกพิลั่นอยู่บ้าง ข้ารู้สึกไม่วายว่าไม่ชอบมาพากล”
“ใต้เท้าจะรู้สึกเฉกนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา คนผู้หนึ่งกระทำสิ่งใดผิดไปจากปกติล้วนมีเหตุผล ข้าเสนอแนะให้จับตาดูต่อไปก็ไม่เสียหาย ถึงอย่างไรแค่ไปเยี่ยมคารวะสกุลเซี่ยในตำบลไป๋อวิ๋น ยังยากมากที่จะหยั่งเดาความคิดอ่านของกวนจวินโหวได้”
สีหน้าของเจ้าเมืองหลี่ทอแววเครียดขรึม เขามองดอกเบญจมาศสีดำแดงที่วางประดับไว้ตรงระเบียงหน้าต่าง พลางกล่าวทอดถอนใจ “ข้ากลัวว่ากวนจวินโหวจะสร้างฉากบังหน้าเพื่อลอบตลบหลัง ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียวเป็นคำอ้าง ความจริงแล้วจะสืบหาความจริงของเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวต่างหาก”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “สมุดบัญชีที่คุณชายใหญ่สกุลเฉียวนำขึ้นถวายฮ่องเต้เล่มนั้นก็ได้จากมือสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียวผู้หนึ่งมิใช่หรือ ตอนนั้นชะล่าใจไปจริงๆ จึงปล่อยให้คุณชายเฉียวรอดชีวิตไปได้ เพราะเหตุนี้ทำให้ข้าโดนต่อว่าไม่น้อย”
“ดังนั้นหนนี้พวกเราต้องจับตาดูไว้ให้ดีๆ จึงจะถูก”
เจ้าเมืองหลี่พยักหน้า “ย่อมจะหละหลวมไม่ได้ ดีที่สกุลเซี่ยเป็นครอบครัวธรรมดา ก่อนและหลังเหตุไฟไหม้คุณชายเฉียวล้วนมิได้ไปเยี่ยมคารวะที่นั่น เห็นได้ว่าด้วยระดับชั้นของสกุลเซี่ย สกุลเฉียวไม่ได้ข้องแวะพัวพันกับพวกเขาลึกซึ้งไปกว่านี้ แต่พวกตระกูลอื่นๆ นั้นบอกได้ยากแล้ว”
“ใต้เท้า สกุลจูในเมืองจยาเฟิงต้องระวังเป็นพิเศษ ก่อนผู้ตรวจการเฉียวจะลาราชการไว้ทุกข์ให้บิดา คนแซ่จูผู้นั้นก็เป็นสหายขุนนางที่รั้งตำแหน่งอยู่ในสำนักตรวจการด้วยกัน”
รอยชิงชังจุดวาบขึ้นในดวงตาเจ้าเมืองหลี่ “เฉียวโม่ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่หลายคนก่อนออกจากจยาเฟิงเป็นการลวงให้หลงกล ข้าคะเนว่าเขาได้สมุดบัญชีเล่มนั้นจากสกุลจูนี่เอง ดีที่คนแซ่จูตายเพราะม้าตื่นไปแล้ว ถึงพวกเขาไปหาก็เสียเที่ยวเปล่า”
“ใต้เท้าจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เรื่องนั้นร้ายแรงใหญ่หลวง จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ตรวจการจูที่ตายไปมิได้เผื่อทางหนีทีไล่ไว้เล่า”
นัยน์ตาของเจ้าเมืองหลี่ปรากฏแววอำมหิต “น่าเสียดายที่เรือนสกุลเฉียวถูกไฟไหม้วอดวายแล้วกลายเป็นที่สนใจของผู้คนอย่างช่วยมิได้ จะตัดรากถอนโคนสกุลจูอีกก็ทำได้ไม่ถนัด ใครจะคิดว่าไล่ผู้แทนพระองค์จากเมืองหลวงกลับไปได้กวนจวินโหวก็มาอีก รู้แต่แรกไม่ควรคำนึงถึงอะไรมากมายเช่นนั้น ในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด…”
“ใต้เท้าอย่าเพิ่งผลีผลามจะดีกว่า บัดนี้กวนจวินโหวอยู่ในที่แจ้ง เราอยู่ในที่ลับ ฝ่ายที่จับต้นชนปลายไม่ถูกคือกวนจวินโหวมิใช่พวกเรา หากท่านจัดการสกุลจูในเวลานี้กลับทำให้พบร่องรอย”
เจ้าเมืองหลี่พยักหน้า “อาจารย์หานกล่าวได้ถูกต้อง ส่งคนเฝ้าดูกวนจวินโหวไว้ทุกฝีก้าวก่อน เขาเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียวแต่เพียงอย่างเดียวก็แล้วกันไป แต่หากยังวางแผนอื่นไว้ พอเขาสืบพบอะไรค่อยลงมือทันที”
“กวนจวินโหวมิใช่จะรับมือได้ง่ายๆ” ที่ปรึกษาลูบเคราพร้อมกล่าว
เจ้าเมืองหลี่ยิ้มเยาะ “สองหมัดยากจะต่อกรกับสี่มือได้ กวนจวินโหวเดินทางลงใต้มาหนนี้ไม่กล้าพาคนติดตามมา ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพียงหมอนปักลายเท่านั้น เขาจะเก่งกาจปานใด แต่ส่งคนไปรุมเยอะๆ ก็ต้องเล่นงานเขาถึงตายได้”
ที่ปรึกษากังวลใจอยู่บ้าง “อย่างนั้นจะเอิกเกริกเกินไป ข้าว่าทางที่ดีใต้เท้าบอกกล่าวทางนั้นให้รับรู้ไว้โดยไวจะดีกว่า ถึงต้องใช้คนก็อย่าใช้คนของพวกเราอย่างเปิดเผย”
“แน่นอน ตอนได้รับสารจากเมืองหลวงก็ส่งข่าวให้ทางนั้นแล้วมิใช่หรือ ดูทีว่าคนจากทางนั้นก็ใกล้มาถึงแล้ว” เจ้าเมืองหลี่นึกถึงเรื่องพวกนี้ก็ปวดเศียรเวียนเกล้า เขากล่าวด้วยสีหน้าขุ่นมัวต่อว่า “ถ้าไปถึงขั้นนั้นยังต้องหว่านล้อมองครักษ์จินหลินอีก วุ่นวายจริงๆ หวังว่ากวนจวินโหวจะรู้จักกาลเทศะสักนิด อย่าก่อเรื่องให้มากนัก”
ทางเมืองหลวงบอกแล้วว่าเมื่อสิ้นสุดวาระการพิจารณาความดีความชอบปีหน้า เขาจะได้ระดับชั้นเอกและโยกย้ายไปเป็นขุนนางในเมืองหลวง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้หากมิใช่โดนบีบให้จนตรอก ใครจะอยากเล่นกับไฟกันเล่า
เจ้าเมืองหลี่คิดคำนึงถึงตรงนี้ สายตาก็เหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้น
พวกเฉียวเจาได้รับห่อกระดาษเคลือบมันจากสกุลเซี่ยแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของตระกูลต่อ จึงกลับถึงหมู่บ้านไป๋อวิ๋นแต่หัววัน
หน้ากากหนังมนุษย์ติดบนใบหน้าได้ง่ายทว่าแกะออกยาก เฉียวเจายกมือดึงทีหนึ่ง แต่มันแนบติดผิวสร้างความเจ็บให้จนน้ำตาไหล
เซ่าหมิงยวนเห็นแล้วทั้งขบขันทั้งสงสาร “เจาเจา เจ้าใจร้อนอะไร”
“ก็อยากดูว่าของในห่อกระดาษเป็นอะไรโดยไวน่ะสิ หน้ากากหนังมนุษย์นี้แกะออกเลยไม่ได้หรือ”
“ต้องใช้น้ำร้อนอบผิว” เขาบอกพลางเดินไปยกน้ำร้อนอ่างหนึ่งมาจากห้องครัว แล้วพูดกำชับนางว่า “ใช้ไอร้อนอบหน้านานหนึ่งเค่อก่อน จากนั้นก็จะแกะออกมาได้แล้ว”
เฉียวเจาพยักหน้าแล้วก้มศีรษะลงไปใกล้ๆ อ่างน้ำ ครั้นนึกถึงว่าคนบางคนจับจ้องตาเป็นมันอยู่ด้านข้างก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างโดยพลัน นางจึงหันไปกล่าวกับเขา “แม่ทัพเซ่า ท่านกลับห้องไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าแกะหน้ากากออกเสร็จค่อยไปหาท่าน”
คนบางคนนั่งนิ่งไม่ขยับ
“แม่ทัพเซ่า?”
แม่ทัพหนุ่มถอนใจอย่างหมดปัญญา “เจาเจา นี่เป็นห้องข้า”
ชายหนุ่มกลั้นยิ้มมองดูท่าทางเก้อกระดากของเด็กสาวอย่างไม่วางตา เขาพูดอย่างคับข้องใจมาก “เจ้าจะให้ข้าไปที่ใดเล่า”
นางก้มหน้าไม่แยแสเขาอีก
หนึ่งเค่อนั้นสั้นมาก แต่สำหรับเฉียวเจาแล้วกลับยาวนานเหลือเกิน นางอดทนรอจนครบเวลาอย่างไม่ง่ายดายก็ยกตัวขึ้น
เซ่าหมิงยวนพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาย่อกายอยู่เบื้องหน้านาง “อย่าขยับ ข้าช่วยแกะออกให้”
นางกะพริบตาปริบๆ ตั้งท่าจะทักท้วง คนผู้นั้นก็กล่าวต่อว่า “การแกะก็มีกลวิธีเฉพาะอยู่ เจ้าใช้กำลังดึงออก ถ้าเกิดดึงขาดเหลือครึ่งหนึ่งติดอยู่บนหน้า…”
เฉียวเจาหลับตาลงเสียเลย ถือคติว่าไม่เห็นไม่รำคาญใจ “รีบแกะเถอะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ยกมือแตะบนหน้าผากเรียบเนียนของเด็กสาว แพขนตางามงอนของนางกระพือขึ้นลงถี่ๆ
เขาไม่รีรอลังเลอีก ลอกหน้ากากหนังมนุษย์ออกอย่างเบาไม้เบามือ เผยให้เห็นใบหน้าที่ประทับอยู่กลางใจตนออกมา
“เสร็จแล้ว?” เฉียวเจาลืมตาขึ้นพบว่าชายหนุ่มอยู่ใกล้เพียงคืบกะทันหัน ลมหายใจของเขากับนางรินรดใส่กันและกัน ชวนให้หวามใจไร้ที่สิ้นสุด
เฉียวเจาหน้าแดงทันใด นางกระถดตัวหนี
เซ่าหมิงยวนมือไวตาไวประคองนางไว้ พูดกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ “ระวังหงายหลัง ข้าถอยออกเองก็ได้”
แม่ทัพหนุ่มเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม่ไกลนักแต่โดยดี ในใจเขางุนงงเป็นอันมาก
ทั้งที่ตอนเขาไม่รู้ว่านางคือเจาเจา นางจ้องมองหน้าท้องเขาจนตาไม่กะพริบบ่อยๆ เหตุไฉนตอนนี้ถอยห่างจากเขาเหมือนกับเขาเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอเสียแล้ว
หากขณะนี้แม่นางเฉียวล่วงรู้ความคิดของแม่ทัพเซ่า เกรงว่าจะแค่นเสียงเยาะว่า ‘นี่ยังต้องพูดอีกหรือ พวกบุรุษบทจะหน้าหนาขึ้นมาก็น่าโมโหจนควันออกหูเลยทีเดียว ถ้ายังทำเช่นเดียวกับเมื่อก่อน จะไม่โดนเขารวบหัวรวบหางไปแล้วหรือไร’
เฉียวเจานวดคลึงใบหน้าให้ผิวที่ตึงๆ หนักๆ จากการสวมหน้ากากไว้เป็นเวลานานผ่อนคลายแล้วยื่นมือออกไป “แม่ทัพเซ่า เปิดห่อของที่ท่านลุงเซี่ยมอบให้ท่านออกดูเถอะ”
เซ่าหมิงยวนหยิบห่อกระดาษเคลือบมันมาเปิดออก ในนั้นเป็นกระดาษสารว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง
หญิงสาวรับมันมาจ่อใต้จมูกดมกลิ่น นางนิ่งตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเอ่ยกับเขา “แม่ทัพเซ่า รบกวนท่านหยิบเทียนไขมาที”
เขาหยิบเทียนไขมาให้ เฉียวเจาถือกระดาษเปล่าอังอยู่เหนือเปลวเทียนอย่างระมัดระวัง เห็นภาพร่างของบางสิ่งปรากฏขึ้นบนนั้นอย่างเลือนราง