หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 416
บทที่ 416
ภายในโพรงไม่นับว่าคับแคบนักเมื่อเทียบกับปากทางเข้า ทว่าพอชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้หนึ่งแทรกตัวเข้ามาก็เบียดเสียดกันทันใด
ตัวเฉียวเจาข้างหนึ่งแนบติดผนัง อีกข้างหนึ่งอยู่ชิดตัวเขา จะหลบก็หลบไม่ได้
กลิ่นอายเฉพาะตัวบุรุษโอบล้อมนางไว้แน่นหนาในพริบตาเดียว
“เซ่า…”
เขายื่นมือปิดปากนางไว้ทันที กระซิบบอกว่า “อย่าพูด มีคนมา”
มีคน? ในใจเฉียวเจาตึงเครียด
หลังเหตุไฟไหม้คราวนั้นเรือนสกุลเฉียวกลายเป็นสถานที่อาถรรพ์ แล้วใครกันจะมาที่นี่โดยปราศจากเหตุผล
หรือว่าคนของฝ่ายนายอำเภอหวังตามมาทันแล้ว
เฉียวเจาลังเลไม่แน่ใจ นางเงยหน้าขึ้นมองเซ่าหมิงยวนตามสัญชาตญาณเลยชนถูกคางเขาโดยไม่ทันระวัง
ปลายคางที่มีไรหนวดเขียวๆ ของบุรุษกระทบกับหน้าผากเนียนเกลี้ยงของนางชวนให้จั๊กจี้วาบหวิว
ในความมืดดวงตามองอะไรไม่เห็น ส่งผลให้ประสาทสัมผัสอื่นแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบไวอย่างยิ่งยวด เสี้ยวขณะนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นพร้อมกัน
ตึกๆๆ
ในโพรงหินเล็กๆ นี้ไม่มีเสียงใดกลบทับเสียงหัวใจเต้นที่แยกแยะไม่ออกว่าเป็นของใครได้
เฉียวเจาสงบอารมณ์อึดใจหนึ่ง ยกมือขึ้นเขียนตัวอักษรตรงกลางฝ่ามือเขา ‘ท่านคิดว่าเป็นใคร’
‘บอกยาก’ เซ่าหมิงยวนเขียนตอบที่มือนางดุจเดียวกัน
‘คงมิใช่คนของนายอำเภอหวังนะ’
‘ตอนมาไม่มีคนสะกดรอยตาม’ เขาเขียนตอบ
นางไม่ถามต่ออีก ในเมื่อเซ่าหมิงยวนบอกเช่นนี้ นางเชื่อในความสามารถจุดนี้ของเขา
เสียงฝีเท้าดังอยู่ใกล้ๆ เฉียวเจาเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วประจักษ์ได้ฉับพลันว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ากำลังตรงดิ่งมาทางโพรงหิน
นางกุมมือบุรุษข้างกายแน่นอย่างสุดระงับ
‘ไม่ต้องกลัว’ เขาเขียนบอกนาง
เด็กสาวพลิกข้อมือเขียน ‘ข้าไม่ได้กลัว ข้าคิดอยู่ว่าหลังพวกเราถูกจับได้ ท่านจะสังหารคนปิดปากหรือไม่’
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
ที่แท้เขาเป็นห่วงโดยใช่เหตุไปเอง จริงสินะ ตอนเด็กสาวข้างๆ ตัวเขาอยู่ในโรงทึมยังกล้าจับศพคนตายน่าเกลียดน่ากลัว ไหนเลยจะหวาดกลัวคนเป็นเล่า
เสียงฝีเท้าดังใกล้ขึ้นทุกทีแล้วเงียบหายไป ทันใดนั้นเสียงของสตรีแรกรุ่นดังลอยมาจากนอกโพรงหินไม่ไกลนักอย่างรวดเร็ว “คนบ้า ก็บอกแล้วว่าอย่าไปที่นั่น”
“ซานหนี ไม่ไปที่นั่นแล้วจะไปที่ใด” เสียงพะเน้าพะนอของหนุ่มน้อยดังขึ้น
แววตาของเฉียวเจาไหววูบหนึ่ง
ฟังจากสุ้มเสียงแล้วชายหญิงคู่นี้คงยังอายุไม่มาก ไม่น่าจะเกินยี่สิบปี
“อย่างไรก็ไม่ไปที่นั่น เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคราวก่อนในนั้นมีงูด้วยนะ ตกใจแทบตายเลยทีเดียว”
“แต่ที่อื่นเจ้าก็บอกว่าถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโกดูน่ากลัวมากไม่ใช่หรือ ซานหนีคนดี พวกเราเข้าไปในโพรงหินกันดีกว่านะ กว่าจะออกมาได้สักครั้งมิใช่ง่ายดาย…”
“ฮึ ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ เจ้าพร่ำบอกว่ารักข้าไม่หยุดปาก สุดท้ายกลับคำนึงถึงแต่ตนเอง…” สาวน้อยส่งเสียงดังขึ้นกะทันหัน “เจ้าทำอะไร รีบปล่อยข้าลงนะ”
“อย่าตีๆ ข้าเชื่อฟังเจ้าแล้ว พวกเราไม่เข้าไปในโพรงหิน ก็อยู่กันที่ข้างสระน้ำนี้เป็นอย่างไร”
สาวน้อยทำเสียงฮึแล้วไม่กล่าววาจาอีก
ด้านนอกพลันเงียบลง
เฉียวเจาย่นหัวคิ้วแทบชนกันอย่างไม่สบอารมณ์มาก
สองคนนี้มาทำอะไรกันลับๆ ล่อๆ ที่ซากเรือนนาง
ในโพรงหินเอย ข้างสระน้ำเอย ยังเปลี่ยนที่กันได้ตามชอบใจ ดูอย่างนี้แล้วไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่นางกับเซ่าหมิงยวนมาที่นี่คืนนี้แน่นอน
สองคนนั้นถือโคมไฟมาด้วย มันส่องแสงวับแวมอยู่นอกโพรงทำให้คนที่เร้นกายในที่ลับพอมองเห็นได้รำไร
เฉียวเจาอดชะโงกศีรษะออกไปไม่ได้ แต่ยังไม่ทันเห็นสภาพการณ์ด้านนอกเต็มตาก็ถูกบุรุษข้างกายดึงตัวกลับมา
‘ข้าจะดูว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่’ เด็กสาวเหยียดนิ้วออกเขียนบนฝ่ามือกว้างใหญ่ของเขาอย่างว่องไว
นางลากขีดสุดท้ายเสร็จ เสียงร้องของสาวน้อยดังขึ้นข้างนอกโดยพลัน เป็นเสียงแหลมสูงห้วนสั้น ทอดหางเสียงกระเส่ารัดรึงใจ
“ซานหนีๆ เจ้าช่างงามเหลือเกิน ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน คิดถึงแทบขาดใจอยู่แล้ว…”
เฉียวเจาหน้าแดงทันใด นางไม่โง่งม ตอนนี้ย่อมกระจ่างแจ้งแล้วว่าคนข้างนอกทำอะไรกันอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ข้ายังถามเซ่าหมิงยวนอีกหรือนี่
ครั้นคิดไปเช่นนี้แม่นางเฉียวก็อยากเอาศีรษะมุดแทรกแผ่นดินใจจะขาด
ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยอับอายขายหน้ามากเท่านี้จริงๆ
ฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งประกบปิดสองหูร้อนวาบๆ ของนาง ปิดกั้นเสียงบาดหูสุดจะทนฟังได้จากข้างนอกไว้
ชายหนุ่มใช้นิ้วก้อยเขียนเบาๆ ตรงข้างแก้มนางบอกว่า ‘กุลสตรี อย่าฟัง’
แสงสว่างด้านนอกส่องเป็นลำๆ เล็ดลอดเข้ามาตามช่อง
หลังจากคุ้นเคยกับความมืดรอบด้านแล้วอาศัยแสงไฟเรื่อๆ นี้ เฉียวเจาพอจะมองเห็นสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ ได้ถนัดตา
เขานั่งตัวตรงแหน็วปิดหูนางไว้อย่างจดจ่อมีสมาธิ สีหน้าเคร่งขรึมมาก แต่ใบหูทั้งคู่กลับเป็นสีแดงๆ อย่างน่าสงสัย
ฝ่ามือที่ปิดหูนางคู่นั้นดูเหมือนยิ่งมายิ่งร้อนลวกผิวมากขึ้น
แม่นางเฉียวกะพริบตาปริบๆ หรือว่าเขาปิดหูนางไว้ไม่ให้ฟัง ส่วนเขาได้ยินเสียงอุจาดพวกนั้นโดยไม่ตกหล่นสักนิด
เช่นนี้ไม่ยุติธรรมจริงๆ
เมื่อนึกถึงเสียงร้องครางกระเส่าสั้นๆ นั่นของสาวน้อยข้างนอก เฉียวเจาบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูก นางยกมือปิดสองหูของเซ่าหมิงยวนโดยไม่ลังเล
นางทำตามอย่างเขา เหยียดนิ้วก้อยเขียนตรงข้างแก้มถามว่า ‘ฟังพอหรือยัง’
ชายหนุ่มหน้าตาแดงก่ำ พยักหน้าอย่างว่าง่าย
มือที่ปิดหูเขาร้อนผ่าวเหลือเกิน ร้อนลวกผิวจนเขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปกปิดสภาพน่าอับอายของบุรุษไว้อย่างระมัดระวัง
เพราะเขามีประสาทหูดีเกินไป เสียงจากข้างนอกจึงยังคงลอดผ่านมือเล็กๆ คู่นั้นมาเข้าหูได้
เซ่าหมิงยวนคิดคำนึงว่าเป็นค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงแล้วแท้ๆ แต่ไฉนในโพรงหินนี้กลับร้อนขึ้นทุกทีเล่า จะต้องเป็นเพราะมันคับแคบเกินไปเป็นแน่
เสียงด้านนอกทวีความดังขึ้นตามลำดับ ยิ่งมายิ่งชวนให้หน้าแดงใจสั่น เซ่าหมิงยวนหยิบก้อนหินใกล้มือซัดออกไปอย่างสุดจะทน
หินก้อนเล็กๆ พุ่งไปโดนบั้นท้ายบุรุษที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาหว่านเมล็ดพันธุ์อยู่เหนือร่างของสตรีอย่างแม่นยำ
เขากระเด้งตัวขึ้นทันควัน “ใคร!”
“อะไรหรือ” ความสุขสมหฤหรรษ์ทำให้หัวสมองของสาวน้อยอึงอลว่างเปล่า กระทั่งท่าทีตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างก็เชื่องช้าลง
ใบหน้าของหนุ่มน้อยซีดเผือด “เมื่อครู่มีคนตีก้นข้า”
“จะมีคนตีก้นเจ้าได้อย่างไรกัน ที่นี่มีพวกเราอยู่กันสองคนมิใช่หรือ…” นางพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักกึก เอ่ยถามเสียงสั่นเทา “หรือว่าจะ…มีผี”
“อย่าพูดสิ รีบไปกัน” เขาลุกลนดึงกางเกงขึ้นพลางฉุดนางลุกขึ้น
สาวน้อยสวมเสื้อไปร้องไห้ไปด้วยความตกใจ “ต้องโทษเจ้าคนเดียว บอกว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด ข้าว่าแล้วเชียวว่าที่นี่น่ากลัวเกินไป…”
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว รีบไปกันเถอะ”
ด้านนอกเงียบเชียบในที่สุด เซ่าหมิงยวนลดมือลง
“ไปแล้วหรือ” เฉียวเจายกมือนวดๆ ใบหู เมื่อครู่คนผู้นี้อุดหูนางไว้แน่นจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด เป็นเหตุให้หูชาไปหมด
“ไปแล้ว” ในความมืดสุ้มเสียงของเซ่าหมิงยวนไม่ใคร่เหมือนกับปกติ
“ท่าน…”
“เป็นเด็กดี อย่าพูดอะไร” เสียงของเขาติดจะแหบพร่าไม่กังวานใสดุจที่ผ่านมา เขาจะดันตัวนางออกไปข้างนอก
น่าเสียดายที่ในโพรงหินคับแคบเกินไป เรือนร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของเด็กสาวยังคงแนบชิดเขาดังเก่า
เซ่าหมิงยวนรำพึงในใจ ที่แท้ความรู้สึกทุรนทุรายยากทานทนกว่าพิษไอเย็นเป็นเช่นนี้นี่เอง
เขาสุดกำลังจะต้านทาน แต่ก็ทนรับไว้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
“เจาเจา…” เขาเรียกขานเสียงหนึ่ง
“หือ?”
แม่ทัพหนุ่มโอดครวญเสียงต่ำ “ข้าทรมานเล็กน้อย”
“เป็นอะไรไปหรือ”