หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 420
บทที่ 420
กับสือซีและฉงซานล้วนเรียกขานว่า ‘พี่’ ตอนนี้ยังมีพี่จูโผล่มาอีกคน ทีเขากลับเอาแต่เรียก ‘แม่ทัพเซ่า’
แม่ทัพหนุ่มชักไม่พึงใจ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็จับเจ้าสองคนที่เป็นหางตามหลังข้ากับนางมาหลายวันออกมาจัดการเถอะ
“เจาเจา อย่าเสียใจเลย หากเรื่องท่านอาจูไม่ใช่อุบัติเหตุ เช่นนั้นการตายของท่านต้องเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าเมืองหลี่อย่างหนีไม่พ้น ช้าเร็วพวกเราก็ต้องจัดการคนพวกนี้มิใช่หรือ”
เฉียวเจาพยักหน้า
เซ่าหมิงยวนลอบพิศดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของนาง ในใจคิดคำนึงอย่างขัดเคืองพอดู พี่จูผู้นั้นเป็นสหายสมัยวัยเยาว์กับเจาเจาใช่หรือไม่
ส่วนสหายของเขาไม่มีเด็กหญิง มีแต่เด็กชาย ซ้ำยังมีถึงสามคน…
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงสายตาพินิจของบุรุษข้างกาย นางเบนหน้ามองเขาด้วยสายตาแกมฉงน
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ “วันนี้จับหางที่ตามหลังออกมาเถอะ ถึงเวลาทำให้ฝ่ายนั้นร้อนใจสักหน่อยแล้ว”
สหายเก่าของสกุลเฉียวก็เยี่ยมคารวะจนครบหมดแล้ว นอกจากสมุดบัญชีจากเบาะแสที่ได้จากสกุลเซี่ยเล่มนั้นก็ไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์จากสกุลอื่นๆ เลย ฉะนั้นถึงเวลาที่พวกเขาต้องพลิกจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุกแล้ว
ถนนในชนบทมีคนผ่านไปผ่านมาบางตา ต้นไม้สองข้างทางสูงใหญ่แน่นขนัด แม้นล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วยังร่มรื่นชุ่มชื้น พฤกษชาติในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของแดนใต้คงความเขียวชอุ่มไว้ดุจเดิม
เซ่าหมิงยวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินสองสามก้อนขึ้นมาหมุนคลึงในมือเล่นๆ
“หางแรกอยู่หลังต้นอิ๋นซิ่ง* ซ้ายมือด้านหลังเรา” เขายื่นหน้าไปกระซิบบอกข้างหูเฉียวเจา “ส่วนหางที่สองเจ้าเล่ห์กว่า เจาเจาเดาได้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
ริมใบหูมีเสียงแผ่วเบาของบุรุษคละเคล้าเสียงซู่ซ่าของใบไม้ต้องลม เฉียวเจาหลับตาลงอึดใจหนึ่งก็บังเกิดปฏิภาณโดยพลัน “บนต้นไม้?”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มพลางพยักหน้า เจาเจาของเขาฉลาดน่ารักดังคาด
นางชะงักฝีเท้า “เจ้าหางนั่นอยู่บนต้นไม้ นี่มิแสดงว่าเขาดักซุ่มอยู่ตรงนั้นแต่แรกหรือไร หรือว่าเขาตั้งใจจะจัดการพวกเราวันนี้”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “วันนี้พวกเราอยู่ในเรือนสกุลจูเป็นเวลานานไปบ้าง นานกว่าไปที่เรือนสกุลอื่นๆ อยู่มาก สงสัยว่าคนบางคนจะเป็นวัวสันหลังหวะ คิดจะชิงลงมือก่อน”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปึ่งชา ดวงตาทอแววเย็นเยียบราวกับฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง เขาพูดกลั้วเสียงหัวร่อในลำคอ “คงรู้สึกว่าข้ากวนจวินโหวผู้นี้ไม่สมคำเล่าลือกระมัง เจาเจา คอยดูนะ ข้าจะจับหางสองตัวนั่นออกมาให้เจ้าเอง”
เฉียวเจาฟังแล้วอมยิ้มน้อยๆ “แม่ทัพเซ่าช่างพูดได้อย่างง่ายดายนัก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องสมัยเด็กๆ”
“หือ?”
“ตอนนั้นท่านอาจูจะพาพี่จูมาเล่นที่สวนซิ่งจื่อบ่อยๆ พี่จูชอบที่ใช้ไม้ง่ามยิงนกกระจอกก็มักพูดอย่างนี้เสมอ”
แม่ทัพหนุ่มทำหน้าตึง “อือ อย่างนั้นหรือ”
ยิงนกกระจอก?
นี่มีอันใดน่าโอ้อวดต่อหน้าดรุณีน้อย ยิงนกกระจอกได้แล้วยังเอามาย่างกินเพื่อประจบเอาใจนางด้วยใช่หรือไม่
เซ่าหมิงยวนแน่ใจเป็นคำรบที่สองว่าเขาไม่ชอบพี่จูผู้นั้นแม้แต่น้อยนิด!
แม่ทัพหนุ่มนึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ เขายกมือดีดหินก้อนหนึ่งไปทางซ้ายมือด้านหลังเต็มแรง
พอเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น เขาซัดก้อนหินในมือทั้งหมดไปบนต้นไม้เบื้องหน้าไม่ไกลด้วยสีหน้านิ่งสนิท
หินหลายก้อนนั้นลอยพุ่งไปไม่พร้อมกันดูเหมือนขว้างออกมาตามใจชอบ ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้กลับตื่นตกใจเมื่อพบว่าพวกมันล้วนเล็งตามจุดอ่อนร้ายแรงบนตัวเขา เขาคิดจะหลบหลีกก็ต้องกระโดดลงจากต้นไม้เผยตัวออกมา
ท่าทีโต้ตอบของยอดฝีมือเกิดขึ้นในชั่วลัดนิ้วมือ คนผู้นั้นตัดสินใจอย่างฉับไว กระโดดลงจากเหนือยอดไม้ทิ้งตัวลงตรงหน้าเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนพอดี
“เจาเจา อยู่เฉยๆ” เซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนชักดาบยาวตรงเอวออกมา ประกายดาบคมกริบโอบล้อมอีกฝ่ายไว้ในพริบตา
ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันพัลวัน
ผู้คนประปรายตามถนนเห็นแล้วรีบหลบไปอยู่ไกลๆ หวาดหวั่นสุดใจว่าเภทภัยจะมาเยือนตนเอง
ส่วนเรื่องแจ้งทางการ? อย่าล้อเล่น ดูจากฝีมือของคนพวกนี้ ต่อให้เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการพวกนั้นมาแล้วก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดียังจะกล่าวโทษว่าคนที่แจ้งทางการยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกด้วย
คนบนถนนหนีไปกันหมดแล้ว เหลือเฉียวเจายืนมองคนสองคนที่สู้กันอย่างดุเดือดอยู่ไม่ไกล มือที่ห้อยลงข้างลำตัวของนางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เป็นคนในภาพวาด!
นี่ก็คือฆาตกรที่สังหารคนในครอบครัวนาง
ร่างกายที่แข็งเกร็งของเฉียวเจาสั่นระริกละม้ายใบไม้ร่วงปลิวใบหนึ่ง
คนผู้นี้ปรากฏตัวในที่สุด เขาประมือกับเซ่าหมิงยวนแล้วดูท่าทางไม่ตกเป็นรองเลยทีเดียว
เป็นคราครั้งแรกที่นางเห็นคนที่มีฝีมือเชิงยุทธ์ทัดเทียมเซ่าหมิงยวนได้
วรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงส่งกว่าที่นางคิดไว้ทีแรก เจ้าเมืองผู้หนึ่งมียอดฝีมือชั้นนี้อยู่ข้างกายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจดีแท้
สายตาที่มองไปทางชายหนุ่มของเฉียวเจาฉายแววห่วงใยโดยไม่เก็บงำ
ถึงแม้นางเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นต้องไม่เป็นอะไร แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
สติอาจควบคุมอารมณ์ได้ แต่ทำให้ความเป็นห่วงหายไปไม่ได้
แม่นางเฉียวคิดคำนึงว่านี่ก็คือพะวักพะวนจนเสียการกระมัง
เสียงความเคลื่อนไหวแผ่วเบาดังลอยมา นางหันไปมองต้นเสียง เห็นสายสืบที่โดนเซ่าหมิงยวนดีดหินใส่จนหมอบอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้ค่อยๆ คืบคลานห่างไปอีกทางทีละนิดๆ ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางอยู่ด้านหลัง
เฉียวเจาหรี่ตาลง บาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังคิดจะหลบหนีอีกหรือ
นางหันไปมองชายหนุ่มแวบหนึ่ง เวลานี้อย่าทำให้เขาว่อกแว่กจะดีกว่า นางยังจัดการกับบุรุษเจ็บหนักผู้หนึ่งได้ไหว
แม่นางเฉียวเหลียวมองรอบด้านก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยกชายกระโปรงเดินหลบรอยเลือดบนพื้นแล้วสาวเท้าเร็วรี่ไปหาสายสืบที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด
“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” แม่นางเฉียวร้องเรียก
สุ้มเสียงของเด็กสาวอ่อนหวานนุ่มนวลคลับคล้ายลมวสันต์เจือกลิ่นดอกไม้ในเดือนสาม
สายสืบที่บาดเจ็บสาหัสเหลียวหลังโดยไม่ทันคิด
แม่นางเฉียวเงื้อมือเอาก้อนหินทุบศีรษะคนผู้นั้นอย่างใจเย็น
พอเห็นเขาล้มฟุบแน่นิ่งไปอยู่ตรงปลายเท้า เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง หมุนกายไปด้วยสีหน้าเฉยเมย
เซ่าหมิงยวนซึ่งต่อสู้กับหลิวหู่อยู่ดูเหมือนจดจ่อเต็มที่ แท้จริงแล้วเขาแบ่งสมาธิหลายส่วนคอยจับสังเกตเฉียวเจาอยู่ตลอด
เขามั่นใจว่าหางแรกที่โดนเขาเล่นงานไปถ้าไม่ตายก็อาการร่อแร่ ไม่มีทางทำอันตรายเฉียวเจาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่สงบเสงี่ยมผู้นั้นจู่ๆ จะเดินเข้าไปเอาหินทุบศีรษะสายสืบที่คิดหลบหนีจนสลบเหมือด
นึกถึงท่าทางที่นางใช้ก้อนหินทุบศีรษะคนแล้วค่อยมองดูสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของนางในขณะนี้ เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้น เขาพลันเอี้ยวกายทำทีเปิดช่องโหว่แล้วจู่โจมจับตัวหลิวหู่ไว้ได้ในกระบวนท่าเดียว
เขาเงื้อดาบฟันเส้นเอ็นข้อมือของอีกฝ่ายจนขาดสะบั้นเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยดึงกรามให้หลุดออกทันที
เฉียวเจาเดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะไปตรงหน้าเซ่าหมิงยวน สายตาที่จ้องมองหลิวหู่เย็นชาดุจน้ำแข็ง
เมื่อครั้งที่คนผู้นี้ติดตามเจ้าเมืองหลี่ไปเยี่ยมคารวะท่านปู่ของนาง เขาเงียบขรึมไม่ช่างพูดเหมือนไม่มีตัวตนอยู่สักนิดเฉกเช่นองครักษ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
ในสกุลเฉียวมีจำนวนคนไม่มาก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตามสบาย ตอนนั้นอาหารที่ท่านย่าตระเตรียมให้คนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าโต๊ะใหญ่ สาวใช้อาวุโสข้างกายของท่านย่าเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อยยังยกข้าวมาให้อีกหลายชามเป็นพิเศษ
ยามที่คนผู้นี้ลงมือสังหารบิดามารดาและญาติพี่น้องของนางเคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่
ย่อมไม่ได้คิดเป็นธรรมดา เดรัจฉานที่สูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วจะมีเวลาจดจำว่าตนเองเป็นคนได้อย่างไรเล่า
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียวเจาผิดปกติไป เซ่าหมิงยวนตบแขนนางเบาๆ “เจาเจา มีเรื่องอะไรกลับไปค่อยว่ากัน”
นางดึงความคิดคืนมาแล้วพยักหน้าแรงๆ
ในเมื่ออดทนมาได้ตั้งนานปานนี้ นางย่อมรอต่อไปไหวแน่นอน
* ต้นอิ๋นซิ่ง หมายถึงต้นแปะก๊วย