หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 421
บทที่ 421
ด้านเจ้าเมืองหลี่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหลิวหู่กลับมา แต่กลับได้รับข่าวหนึ่งว่า ‘พบศพสายสืบที่นายอำเภอหวังส่งไปสะกดรอยตามกวนจวินโหวบนถนนนอกเมือง’
“กวนจวินโหวถึงกับสังหารคนเลยหรือนี่” ใบหน้าของเจ้าเมืองหลี่เริ่มตั้งเค้าพายุอารมณ์ เขาย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องหนังสือ
“ใต้เท้าอย่าเพิ่งร้อนใจ” ที่ปรึกษาพูดกล่อม
เจ้าเมืองหลี่หยุดนิ่ง “อาจารย์หาน ท่านว่าเขาจะตกอยู่ในมือของกวนจวินโหวหรือไม่”
“รอคนที่ไปสืบข่าวกลับมาก็จะรู้แล้ว เส้นทางที่กวนจวินโหวกลับจากเมืองจยาเฟิงมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นสายนั้นมีคนผ่านไปผ่านมาไม่มาก แต่อย่างไรก็ต้องมีคนมองเห็น กวนจวินโหวเลือกลงมือตอนกลางวัน ถ้าหลิวหู่ตกอยู่ในมือเขาจริงๆ คนทั้งคนจะหายสาบสูญไปมิได้”
เจ้าเมืองหลี่รอคอยอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาฝืนใจพยักหน้า
ที่ปรึกษาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
หากรู้เช่นนี้แต่แรก จะเรียกหลิวหู่กลับมาเฝ้าดูกวนจวินโหวไปไยเล่า หลายปีมานี้ใต้เท้าพึ่งพาหลิวหู่มากเกินไป
ขณะที่เจ้าเมืองหลี่รู้สึกว่าหนึ่งวันเนิ่นนานราวกับหนึ่งปี ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ออกไปสืบข่าวก็นำข่าวกลับมาในที่สุด “ใต้เท้า มีชาวบ้านหลายคนเห็นคนหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาจับกุมคนผู้หนึ่งไปตอนกลางวันแสกๆ”
แม้ว่าจะสังหรณ์ใจอยู่แล้ว แต่เมื่อยืนยันว่าเป็นจริง เจ้าเมืองหลี่ยังคงใจหายวาบ “แย่แล้ว หลิวหู่ต้องตกอยู่ในมือกวนจวินโหวเป็นแน่ อาจารย์หาน ท่านมีความเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”
ที่ปรึกษาลูบเคราแพะ สีหน้าเขาเคร่งเครียด “กวนจวินโหวปราศจากความกริ่งเกรงระวังใดๆ เฉกนี้ เป็นไปได้มากว่าได้รับสิ่งที่เขาต้องการแล้ว”
“สิ่งที่เขาต้องการ?” เจ้าเมืองหลี่พึมพำทวนคำแล้วหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน “หรือว่าเขาพบหลักฐานอะไรอีกแล้ว”
“พิจารณาตามเหตุผลที่พึงเป็นแล้วมีความเป็นไปได้นี้อยู่”
“สมควรตาย!” เจ้าเมืองหลี่ทิ้งตัวลงนั่ง เขาตบโต๊ะปังใหญ่ “ข้าว่าแล้วเชียว สหายเก่าของสกุลเฉียวพวกนั้นต้องมีคนที่ทำเสียเรื่องจนได้ น่าชังนักที่จะสังหารให้หมดเป็นการตัดปัญหาไม่ได้”
“ใต้เท้า สิ่งสำคัญตอนนี้มิใช่สหายเก่าของสกุลเฉียว แต่เป็นกวนจวินโหว”
แววอำมหิตฉายชัดในดวงตาของเจ้าเมืองหลี่ “กวนจวินโหว ในเมื่อเขารนหาที่ตาย ก็อย่าโทษว่าข้าใจคอโหดเหี้ยม อาจารย์หาน คนพวกนั้นเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าวางใจได้ เตรียมการพร้อมพรักแล้ว”
เจ้าเมืองหลี่ลุกขึ้นยืน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก ลงมือราตรีนี้เลย!”
ที่พำนักขององครักษ์จินหลิน
เจียงอู่นวดๆ หว่างคิ้วพลางพูดเสียงพึมพำว่า “เหตุใดเจ้าเมืองหลี่ส่งคนสะกดรอยตามกวนจวินโหว เขามีแผนการร้ายอะไรอยู่”
เมื่อนึกไปถึงสองวันก่อนที่เจ้าเมืองหลี่เชิญเขาไปสังสรรค์ที่หอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแล้วกล่าวถ้อยคำแปลกๆ พวกนั้น ความรู้สึกในใจเจียงอู่ปนเปซับซ้อนอยู่บ้าง เขาสั่งกำชับผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตาดูเจ้าเมืองหลี่กับกวนจวินโหวอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติรีบมารายงาน!”
ต้นอิ๋นซิ่งในลานเรือนงามสะพรั่งละลานตา เจียงอู่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง หากความคิดลอยไปไกลถึงเมืองหลวงแล้ว
ตอนเซ่าหมิงยวนพาคนกลับไปที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงเห็นแล้วพากันตกใจยกหนึ่ง
“นี่…นี่เป็นคนในภาพวาดของคุณหนูหลีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงดึงตัวเซ่าหมิงยวนไปนอกเรือน เอ่ยถามเสียงค่อยๆ
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ
ฉือชั่นที่อยู่ด้านข้างถอนใจเบาๆ “หลีซานวาดได้เหมือนดีแท้”
หยางโฮ่วเฉิงพูดเออออไม่หยุด “เหมือนเป็นที่สุด ข้ามองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ถิงเฉวียน พวกเจ้าหาคนผู้นี้เจอได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เดินเข้ามาติดกับดักเอง คนผู้นี้สะกดรอยตามข้ามาตลอดหลายวันนี้”
“สะกดรอยตามเจ้า?” หยางโฮ่วเฉิงขบขันอย่างสุดระงับ “คนผู้นี้รนหาที่ตายรึ”
“ไม่ใช่ ฝีมือเขายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ต้องบอกว่าเขาโชคไม่ดีเอง”
ถ้าเจ้านั่นสะกดรอยตามคนอื่น คงไม่พบกับบทลงเอยเช่นนี้
“หลีซานเล่า นางกลับมาถึงก็เข้าห้องแล้วไม่ออกมาเลยหรือ” ยามเอ่ยถึงเฉียวเจา สีหน้าของฉือชั่นไม่ผิดไปจากเดิมอีก ประหนึ่งว่าความรักแบบเด็กหนุ่มนั่นไม่เคยปรากฏมาก่อน
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างกะทันหัน เขาเลียริมฝีปากแล้วกล่าว “คุณหนูหลีออกมาแล้ว”
ทั้งสามหันไปมองก็เห็นเด็กสาวในชุดเรียบๆ ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟเดินมา
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา เห็นชัดว่าไม่กระจ่างแจ้งว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน
ส่วนเซ่าหมิงยวนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เขายิ้มแหยๆ พลางกล่าวว่า “เจาเจา เหล็กเขี่ยไฟหนักหรือไม่”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้นพร้อมกัน
พวกเขารู้สึกไม่วายว่านับแต่สหายรักเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อคุณหนูหลีแล้วยิ่งมายิ่งหัวทื่อ
“ไม่หนัก” เฉียวเจาเม้มปาก นางกล่าวถาม “คนผู้นั้นอยู่ข้างในหรือ ข้าไปดูสักหน่อย”
นางกล่าวจบแล้วไม่รอดูท่าทีของคนทั้งสาม ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟก้าวเท้าเข้าไป
“เส้นเอ็นข้อมือของคนผู้นั้นขาดแล้ว หรือว่าคุณหนูหลีจะทำแผลให้เขา” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างไม่แน่ใจ ภาพท่อนเหล็กเขี่ยไฟหนาๆ ในมือเด็กสาวแท่งนั้นวาบผ่านเข้ามาในหัวสมองไม่หยุด
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “ดูสีหน้าของหลีซานแล้ว เจ้ารู้สึกว่าใช่หรือไม่เล่า”
เซ่าหมิงยวนตามเข้าไปโดยไม่รอช้า
อีกสองคนเห็นแล้วตามไปด้วยทันที
เพลานี้หลิวหู่ที่เส้นเอ็นข้อมือขาดและกรามหลุดถูกมัดมือมัดเท้านั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่บนเก้าอี้ เด็กสาวสวมชุดสีเรียบนางหนึ่งพลันเดินเข้ามามองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจ้ามีนามว่าอะไร” เฉียวเจาไต่ถาม
“เจาเจา เขาโดนดึงกรามหลุด พูดไม่ได้”
ดึงกรามให้หลุดย่อมเพื่อป้องกันเขาฆ่าตัวตาย
เฉียวเจาสาวเท้าไปตรงหน้าหลิวหู่ ล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในถุงผ้าปักยัดใส่ปากเขาก่อนจะหันมาบอก “แม่ทัพเซ่า จับกรามเขากลับเข้าทีเถอะ”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปยื่นมือบิดกรามเขาทีหนึ่ง
หลิวหู่ขยับๆ ปากพบว่าขยับได้แล้ว ทว่าปากด้านในอ่อนแรงไร้กำลัง แม่นางน้อยผู้นี้ให้เขากินอะไรกันแน่
“พูดได้แล้วนะ บอกนามของเจ้ามา” เฉียวเจาถามเสียงเย็นๆ
หลิวหู่เหยียดยิ้มไม่กล่าววาจา
นางเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างคับข้องหมองใจเป็นอันมาก “เขาไม่พูดเองนะ เช่นนั้นข้าได้แต่ให้เขาเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ แล้วล่ะ”
กล่าวจบนางก็เงื้อท่อนเหล็กเขี่ยไฟในมือตีลงไปบนตัวหลิวหู่
เฉียวเจาเป็นหมอจึงแจ่มแจ้งดีที่สุดว่าส่วนใดบ้างเป็นจุดอ่อนที่ตีไม่ได้ นางหลบเลี่ยงจุดเหล่านั้น ออกแรงฟาดท่อนเหล็กเขี่ยไฟพร้อมกับนับในใจ หนึ่งที สองที สามที…
หยางโฮ่วเฉิงสะกิดสหายรักด้านข้างด้วยสีหน้างงงัน “สือซี เพราะอะไรข้ารู้สึกว่าคุณหนูหลีหาเหตุผลอะไรสักอย่างก็ได้เพื่อซ้อมเขา”
“เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครนึกว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” ฉือชั่นกล่าวเอื่อยๆ
ตีพวกที่ขวางหูขวางตาไม่กี่ทีแล้วเป็นอย่างไรหรือ แค่ไม่รู้ว่าเจ็บมือหรือไม่..
เฉียวเจาไม่แยแสความคิดของคนอื่น นางนับในใจจนถึงยี่สิบหกที แล้วยังตีแทนพวกนางสามพี่น้องอีกคนละหนึ่งทีถึงโยนท่อนเหล็กเขี่ยไฟไปด้านข้าง หยุดหอบหายใจน้อยๆ
ตอนที่ตีไปได้ยี่สิบหกที นางก็ใช้เรี่ยวแรงในกายไปจนหมดสิ้น กระนั้นคนที่สังหารชาวสกุลเฉียวไปยี่สิบหกชีวิตกลับสบายเช่นนี้
หากทำได้นางอยากสับคนผู้นี้เป็นหมื่นๆ ชิ้นถึงจะหายแค้นใจ
เพียงน่าเสียดายที่นางต้องไว้ชีวิตเขาเพื่อชี้ตัวผู้บงการที่แท้จริง
“พวกเราออกไปเถอะ คนพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ” เซ่าหมิงยวนปริปากพูด
ใช่ว่ายอดฝีมือระดับนี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ คนทั่วไปถามไม่ได้ความอันใดหรอก
เซ่าหมิงยวนดึงกรามของหลิวหู่ให้หลุดออกอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็ออกไปพร้อมกัน
“ฉงซาน คืนนี้บอกคนของเจ้าว่าอย่านอนหลับ ตกดึกน่าจะมีศึกหนัก”
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วอดฉีกปากยิ้มฝืดๆ ไม่ได้ “ถิงเฉวียน เจ้าอย่าขู่ให้ข้าตกใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าพวกนั้นให้กินดื่มเที่ยวเล่นข่มขู่คนน่ะได้ แต่ศึกหนักคงไม่ไหว”