หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 423
บทที่ 423
เรือนของหญิงขายเต้าหู้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวสุดทิศตะวันตกของท้ายหมู่บ้านประหนึ่งเกาะร้าง เพราะว่าพวกเฉียวเจาพำนักอยู่ ไม่ต้องเอ่ยว่าในเวลาค่ำมืดดึกดื่น ถึงยามกลางวันแสกๆ คนในหมู่บ้านล้วนไม่เต็มใจเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว
ผีร้ายสกุลเฉียวพวกนั้นก็เป็นคนพวกนี้ปลดปล่อยออกมา อัปมงคลสิ้นดี!
คนชุดดำกลุ่มหนึ่งเคลื่อนมาโอบล้อมเรือนของหญิงขายเต้าหู้ไว้ดุจกระแสน้ำ
กำแพงเรือนในชนบทเช่นนี้ไม่สูงนัก หัวหน้าคนชุดดำโบกมือคราหนึ่ง บรรดาเหล่าคนชุดดำก็กระโดดขึ้นกำแพงกรูกันเข้าไป
ภายในลานเรือนเงียบสงัดปราศจากแสงไฟใดๆ เมื่อคนชุดดำกระโดดลงมาทีละคนจนไม่เหลือแม้แต่ที่ว่างให้วางเท้าได้ พลันนั้นคบเพลิงนับไม่ถ้วนถูกโยนออกมา บังเกิดแสงสว่างจ้าในพริบตา
ชั่วอึดใจเดียวเปลวไฟของคบเพลิงที่ตกลงกลางกลุ่มคนชุดดำก็ลุกลามติดเสื้อผ้าของพวกเขา บังเกิดเสียงร้องโหยหวนดังระงม
ด้านคนชุดดำที่ล้อมอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงเอ็ดอึงจากด้านใน จึงตะโกนบอกเสียงดัง “จับตาดูให้ดี! อย่าปล่อยให้คนในนั้นหนีไปได้”
“ไม่ถูกต้อง ด้านในมีแสงไฟสว่างเช่นนี้ได้อย่างไร” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ
หัวหน้าที่รั้งอยู่ด้านนอกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาโบกมือทีหนึ่งพร้อมกล่าว “พังประตูเข้าไป!”
กลางลานเรือนตกอยู่ในสภาพโกลาหล
หลังพวกคนชุดดำที่โดนโจมตีด้วยไฟหายจากความตื่นตระหนกในทีแรกก็ตั้งตัวติดอย่างรวดเร็ว ทิ้งตัวกลิ้งกับพื้นดับเปลวไฟบนตัวได้ก็พุ่งทะยานไปที่หน้าประตูเรือน
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนซึ่งเร้นกายอยู่ในผืนราตรีทอประกายกร้าว “ถึงกับเป็นกองพลที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี นี่กลับน่าสนใจเสียแล้ว”
เฉียวเจาที่หลบซ่อนอยู่ในเรือนเดินไปใกล้ๆ เขาอย่างอดใจไม่อยู่ “กองพล? เจ้าเมืองโยกย้ายกำลังทหารได้อย่างไร”
“เรื่องนี้เห็นทีว่าต้องถามเจ้าเมืองหลี่แล้วล่ะ เจาเจา เจ้ากลับเข้าห้องนะ คนพวกนี้ต้องรีบสะสางโดยไวจะดีกว่า”
โยกย้ายกำลังทหารมาได้ แสดงว่ากลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเมืองหลี่มิใช่ชั้นสามัญเสียแล้ว
นางอาศัยแสงไฟที่สว่างขึ้นกวาดตามองปราดหนึ่งอย่างฉับไวก่อนเอ่ยเสียงค่อย “อีกฝ่ายมีจำนวนมาก แม่ทัพเซ่า ท่านระวังด้วย”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เจาเจา เจ้าเรียกข้าว่าพี่เซ่าสักคำ ข้าจะระวังตัวแน่”
“ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังมีแก่ใจล้อเล่นอีกหรือ” มุมปากของนางกระตุกริก
“ถึงเวลานี้แล้ว เจ้าเรียกข้าว่าพี่เซ่าสักคำก็ไม่ได้หรือ” เขาย้อนถามนาง
นัยน์ตาของเขางดงามอย่างมาก ใสแวววาวดั่งหินนิลดำ มันทอประกายระยับอย่างวาดหวังรอคอย
เฉียวเจามองเขาแล้วใจอ่อนกะทันหัน นางเปล่งเสียงเรียกเบาๆ ว่า “พี่เซ่า” จากนั้นหมุนกายกลับเข้าห้องไป
เซ่าหมิงยวนแย้มปากยิ้ม ชักดาบยาวจากหว่างเอวแล้วกระโจนเข้าสู่กลางหมู่คนที่ต่อสู้กันอุตลุด
เฉียวเจากลับเข้าไปในห้องได้ยินเสียงฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดในลานเรือน นางสอดมือเข้าอกเสื้อล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา
ตอนกลางวันเขามอบมีดสั้นเล่มนี้ให้นางไว้ใช้ป้องกันตัว
นางดึงมีดออกจากปลอก มันเปล่งประกายเย็นเยียบท่ามกลางความมืดมิด
ในห้องไม่ได้จุดตะเกียงไว้เพื่อไม่ให้เป็นเป้าโจมตีของศัตรู
“คุณหนู ระวังบาดมือเจ้าค่ะ” อาจูส่งเสียงเตือนเบาๆ
เฉียวเจาลูบไล้ใบมีดอย่างระมัดระวังพลางกล่าวเรียบๆ “ไม่หรอก”
หากว่ายามนั้นมีมีดสั้นเล่มหนึ่งอย่างนี้ บางทีเซ่าหมิงยวนอาจไม่จำเป็นต้องยิงธนูดอกนั้นแล้ว
“ปิงลวี่เล่า” นางเก็บมีดสั้นแล้วไต่ถาม
“เมื่อครู่นางบอกว่าไปหยิบเหล็กเขี่ยไฟไว้ป้องกันตัวเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาส่ายหน้า “หยิบเหล็กเขี่ยไฟไว้ป้องกันตัว? เกรงว่านางจะหยิบมันวิ่งออกไปต่อสู้แล้ว”
อาจูหน้าถอดสี “คุณหนู ข้าไปเรียกปิงลวี่กลับมา”
เฉียวเจาห้ามนางไว้ “พวกเรารออยู่ในห้อง อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น”
มีเฉินกวงอยู่ด้วยคงไม่เกิดอะไรขึ้นกับปิงลวี่อยู่แล้ว ด้วยนิสัยใจคอและความชื่นชอบของสาวใช้น้อยผู้นั้น ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำบ้างอาจเป็นการดี
เสียงฆ่าฟันกันด้านนอกฟังดูรุนแรงมากขึ้น
ชานเมืองไม่ไกลจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เจ้าเมืองหลี่ยืนเอามือไพล่หลังทอดสายตามองไปทางทิศตะวันตก สีหน้าเขาตึงเครียดขึ้นทีละน้อย
“ไฉนยังไม่ยุติอีก”
อีกฝ่ายมีคนเพียงสิบกว่าคน ส่วนทหารที่เขาขอตัวมามีถึงสองร้อยคน ต่อให้กวนจวินโหวมีวรยุทธ์สูงส่งเหนือใคร หรือว่ายังจะติดปีกบินหนีไปได้อีก
ตามหลักแล้วเรื่องนี้สมควรสะสางได้ตั้งนานแล้ว
เจ้าเมืองหลี่อดแหงนหน้ามองฟ้าไม่ได้
ท้องนภากลางดึกเป็นสีดำแกมน้ำเงิน ดวงเดือนหลบเข้าไปกลางผืนเมฆสีดำ มืดมิดจนทำให้เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
“ใต้เท้า สถานการณ์น่าจะไม่ค่อยชอบมาพากลแล้ว” ที่ปรึกษาขยับเข้ามาพูดเสียงต่ำๆ “ใต้เท้าเห็นว่าอย่างไร”
ขณะนี้เจ้าเมืองหลี่กำลังใจคอไม่ดีเฉกเดียวกัน ได้ยินที่ปรึกษากล่าวเช่นนี้ก็ใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์ไม่ดีนั่นยิ่งรุนแรงขึ้นตามลำดับ
“ตามการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของพวกเรา ศึกนี้พึงจบลงโดยไวจึงจะถูก แต่จนบัดนี้ทางนั้นยังไม่สิ้นสุดลง ระหว่างนี้ต้องเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นเป็นแน่” ที่ปรึกษาพูดถึงตรงนี้ก็เห็นคนชุดดำผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมา
“ใต้เท้า สถานการณ์พลิกผันขอรับ!”
“เกิดอะไรขึ้น” ในใจเจ้าเมืองหลี่หนักอึ้ง
“ใต้เท้า ในเรือนหลังนั้นมิได้มีเพียงสิบกว่าคนดังเช่นที่ท่านกล่าว แต่ต้องมียอดฝีมือที่สู้ได้แบบสิบต่อหนึ่งอยู่หลายสิบคนเป็นอย่างน้อยขอรับ”
“อะไรนะ!” เจ้าเมืองหลี่หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “แล้วตอนนี้ทางนั้นเป็นเช่นไรบ้าง”
ผู้ที่มาถึงกล่าวอย่างร้อนใจ “ขณะนี้ฝ่ายเราสูญเสียกำลังไปเกินครึ่ง หวั่นใจว่าจะต้านทานได้อีกไม่นานแล้วขอรับ”
เจ้าเมืองหลี่ตัวเซวูบ เขากล่าวเสียงหลง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
ที่ปรึกษาถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ใต้เท้า พวกเราประเมินกวนจวินโหวต่ำเกินไป เขาเดินทางลงใต้ครานี้มิได้พาคนมาไม่กี่คนเพียงเท่านั้นอย่างเด็ดขาด”
“ข้าชะล่าใจเอง กวนจวินโหวมีบารมีสยบแดนเหนือมานานหลายปี จะเป็นคนที่ยอมให้เบื้องบนบีบเค้นตามชอบใจได้เยี่ยงไรกัน”
ที่ปรึกษาพลันโค้งกายต่ำแสดงคารวะ “ใต้เท้า ตอนนี้พวกเรามีทางออกแค่สองสาย ท่านจำเป็นต้องเลือกโดยไวที่สุด”
“อาจารย์หานเชิญกล่าว”
ที่ปรึกษายืดตัวตรง สายตาที่เพ่งมองไปทางทิศตะวันตกเปล่งประกายคมกริบ “ทางเลือกที่หนึ่งคือแสร้งทำไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น รอวันพรุ่งนี้กวนจวินโหวไปแจ้งทางการ ค่อยส่งคนไปทำทีสืบหาโจรเร่ร่อนพอให้เรื่องนี้พ้นตัวไป”
เจ้าเมืองหลี่ส่ายหน้า “ข้าไม่เลือกหนทางนี้ ในเมื่อลงมือแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะถอยหลัง กวนจวินโหวไม่ใช่คนโง่งม ต้องคิดบัญชีกับพวกเราภายหลังแน่”
ที่ปรึกษาคิดเช่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้าถี่ๆ แววอำมหิตจุดวาบขึ้นในดวงตา กล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “เช่นนั้นทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ทุ่มกำลังพลหมดทั้งเมืองปราบโจร”
“ความหมายของท่านคือ…”
“เจ้าหน้าที่ทางการกับทหารประจำเมืองที่พวกเราเคลื่อนย้ายได้น่าจะมีเกือบหนึ่งพันคน โจรเร่ร่อนบุกเข้าหมู่บ้านไป๋อวิ๋น มีชาวบ้านเคราะห์ดีหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากทางการ เจ้าเมืองจยาหนานนำพากำลังคนรุดไปปราบโจรในราตรีเดียวกัน น่าเสียดายที่กลุ่มของกวนจวินโหวต้องประสบเคราะห์ร้ายตอนปะทะกับโจรเพื่อปกป้องชาวบ้าน”
“ดี ก็ทำตามนี้เลย” เจ้าเมืองหลี่ตบมือ “ข้าไม่เชื่อว่ากวนจวินโหวโดนคนเกือบพันคนตีวงล้อมสังหารยังจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้เขายังสามารถลบล้างความผิดเรื่องที่มีโจรเร่ร่อนปรากฏตัวในอาณาเขตจยาหนานเพราะปราบปรามโจรได้ทันท่วงที
มาตรว่าเจ้าเมืองหลี่จะเชื่อฝีมือของคนที่ขอตัวมาก่อนหน้านี้เป็นอันมาก แต่คนอย่างเขามิใช่พวกมุทะลุวู่วามที่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง ตอนที่ตกลงปลงใจว่าจะกำจัดกวนจวินโหวก็คิดถึงผลในทางร้ายที่สุดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เจ้าหน้าที่และทหารเกือบพันคนนั่นถูกระดมกำลังเตรียมไว้แต่แรก เพลานี้ตัดสินใจว่าจะทุบหม้อข้าวจมเรือย่อมจะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น
คืนมืดลมแรง เสียงฆ่าฟันประสานเสียงฝีเท้าดังสะเทือนหูทำให้ทุกเหย้าเรือนปิดประตูหน้าต่างจนสนิท ไม่มีแม้แต่ความกล้าจะเยี่ยมหน้าดูสักแวบเดียว
ค่ำคืนนี้จะมีคนนอนคลุมโปงตัวสั่นเทามากเท่าไรก็สุดจะรู้ได้
เหล่าภูตผีออกอาละวาดกลางดึก เภทภัยใหญ่หลวงจะเยี่ยมกรายมาสู่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นแล้วหรือ