หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 43
ปิงลวี่โดนถามก็ทำหน้างุนงง ไม่ผิดนะเจ้าคะ คุณหนูเขียนเสร็จ ข้าก็ใส่เข้ากล่องเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินสาวใช้น้อยกล่าวเช่นนี้ นางมองคัมภีร์พระธรรมอีกคราแล้วยกมือขยี้ตาอย่างห้ามไม่อยู่ หรือว่านางอายุมากแล้วนัยน์ตาฝ้าฟาง
แม้นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะเลี้ยงดูบุตรชายที่สอบผ่านเป็นบัณฑิตเอกถึงสองคน แต่นางหาใช่สตรีมากความสามารถอันใด อีกทั้งต้องครองตัวเป็นม่ายฟูมฟักอุ้มชูบุตรชายจนเติบใหญ่ตามลำพัง นางยังไร้พรสวรรค์ในการแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน และหาได้เชี่ยวชาญศาสตร์วาดภาพแต่อย่างใด กระนั้นนางยังจดจำตัวอักษรของอาจารย์เฉียวได้ ก็ใครใช้ให้ท่านผู้อาวุโสมีชื่อเสียงโด่งดังเหลือเกินนักเล่า
เช่นนี้หมายความว่าคุณหนูของเจ้าเป็นคนเขียนทั้งหมดนี้หรือ
ปิงลวี่พยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าว ใช่เจ้าค่ะๆ
แต่ว่าเหตุใดน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าชอบกลๆ อยู่บ้าง แล้วไหนล่ะคำชมที่ว่า
สาวใช้น้อยคิดคำนึงอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ลุกขึ้นแล้ว ไปเรือนหยาเหอ
ปิงลวี่นิ่งงันไปทันที
ชิงอวิ๋นปรายตามองนาง ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเย้ยเยาะ
คุณหนูสามหมายประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงกับยอมแลกได้ทุกอย่างแล้วจริงๆ แต่อย่าหลอกลวงคนอื่นเหมือนเป็นคนโง่ กระทั่งสาวใช้อย่างนางยังดูออกว่าตัวอักษรสวยงามเกินไป แล้วฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะดูไม่ออกรึ
กระทำเรื่องแอบอ้างปลอมแปลงอย่างโจ่งแจ้งทนโท่เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ขุ่นใจสิแปลก
ปิงลวี่ตามฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับไปเรือนฝั่งซ้ายของเรือนหยาเหออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ครึ้มฟ้าครึ้มฝนติดต่อกันหลายวันกว่าท้องฟ้าจะปลอดโปร่งในวันนี้ เฉียวเจาจัดการคัดลอกพระธรรมสำเร็จเสร็จสิ้นไปหนึ่งเรื่อง เลยออกจากห้องมาเดินเล่นตามสบายในลานเรือน
นางเดินไปถึงเชิงกำแพง พลันทรุดกายลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปแตะหญ้าป่าเล็กกระจ้อยร่อยต้นหนึ่งใต้ต้นทับทิม
อาจูซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังเห็นพืชป่าต้นนั้นเล็กๆ ป้อมๆ แล้วอยากรู้อยากเห็นอยู่สักหน่อย แต่นางไม่ช่างพูด เป็นธรรมดาที่จะมิได้อ้าปากถามเหมือนปิงลวี่
เฉียวเจาแหงนหน้าขึ้นบอกกับอาจูยิ้มๆ อาจู ไปหยิบพลั่วทำสวนมาที ข้าจะย้ายที่ให้มัน
เจ้าค่ะ อาจูไม่ถามซอกแซก ขานรับคำหนึ่งแล้วหมุนกายเข้าห้องไปหยิบมาให้อย่างรวดเร็ว
ในยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดินเข้าเรือนมา ภาพที่เห็นก็คือหลานสาววัยแรกรุ่นนั่งยองๆ ถือพลั่วขุดดินอยู่ใต้ต้นทับทิม
หญิงชราลืมจุดประสงค์ที่มากะทันหัน สาวเท้าเข้าไปเอ่ยถามเฉียวเจา หลานเจา นี่เจ้าทำอะไรอยู่หรือ
นางกลับมิได้รู้สึกอันใดกับอากัปกิริยานี้ แต่หากท่านเซียงจวินแห่งจวนตะวันออกรู้เข้า น่าจะแผดเสียงดุด่าว่ากล่าวเด็กสาวผู้นี้ว่ากิริยาหยาบกระด้าง
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นไขความกระจ่างด้วยรอยยิ้ม ข้าจะย้ายมันไปที่อื่นเจ้าค่ะ มันถูกต้นทับทิมบังเลยไม่ค่อยโต
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอดขบขันมิได้ หญ้าป่าต้นหนึ่งจะย้ายที่ด้วยเหตุใดกัน มันขึ้นอยู่ใต้ต้นทับทิมแล้วยังจะคับข้องหมองใจอีกหรือ
เฉียวเจาขุดพืชป่าออกจากดินโดยไม่บุบสลาย พลางกล่าวอธิบายอย่างจริงจัง ทับทิมรสชาติอร่อย ส่วนเจ้านี่ก็มีประโยชน์มากเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่ามาสิ มันมีประโยชน์อะไร
นี่คือหญ้าภูโลหิต ใช้ห้ามเลือดระงับปวดได้ ท่านย่าว่ามันมีประโยชน์มากหรือไม่เล่าเจ้าคะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองพืชป่ารูปลักษณ์ไม่สะดุดตาในมือเฉียวเจาปราดหนึ่งอย่างอัศจรรย์ใจ หากที่อัศจรรย์ใจยิ่งกว่าคือความรอบรู้ของหลานสาว นางอดถามขึ้นไม่ได้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้านี่ห้ามเลือดระงับปวดได้
ตอนระหว่างทางที่มาเมืองหลวง ท่านปู่หลี่สอนข้าเจ้าค่ะ เฉียวเจาตอบอย่างเยือกเย็น
แต่ไรมานางไม่เคยคิดจะแสดงเป็นคนอีกคนหนึ่ง เสแสร้งชั่วประเดี๋ยวนั้นง่าย ทว่าเสแสร้งไปชั่วชีวิตนั้นยาก หากไม่อาจเป็นตนเองได้อย่างสุขใจ เช่นนั้นความหมายของการฟื้นคืนชีพอยู่ตรงที่ใดเล่า
เหนือสิ่งอื่นใด ยังมีเหตุผลจริงๆ อีกอย่างคือ คนที่นางต้องสวมรอยนั้นโง่เขลาเกินไป สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้มีความยากค่อนข้างสูง
มีเรื่องต่างๆ มากมายที่หากดำเนินไปในทิศทางที่ดี ขอแค่มีเหตุผลเหมาะสมสักข้อก็จะทำให้คนยอมรับได้อย่างง่ายดายมาก ในแคว้นต้าเหลียงผู้ที่รู้วิชาแพทย์ได้รับความเคารพนับถือ ไม่ต้องพูดอื่นไกล แค่สาวใช้ที่ช่ำชองการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ผู้มั่งมีสูงศักดิ์ชุบเลี้ยงไว้ในเรือนล้วนอยู่ในฐานะที่บ่าวไพรทั่วไปมิอาจทาบเทียบได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจรู้สึกอัศจรรย์ใจ แต่กลับมิได้ขบคิดให้ลึกลงไป นางกล่าวด้วยความทึ่ง หมอเทวดาหลี่ผู้นั้นยังสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้าด้วยหรือนี่
เฉียวเจามองหาจุดที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์แล้วเอาต้นหญ้าภูโลหิตลงปลูกใหม่ นางพูดกำชับอาจูสองสามคำ จากนั้นล้างมือก่อนแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งใหม่อีกที ท่านย่า ท่านมาที่นี่มีเรื่องใดอยากถามข้าหรือเจ้าคะ
อ้อ… หญิงชรานึกถึงจุดประสงค์ที่มาขึ้นได้ รู้สึกเก้อกระดากไปชั่วขณะ
เมื่อครู่นี้สองย่าหลานเพิ่งพูดคุยถึงเรื่องพืชป่ากันอย่างถูกคอ ตอนนี้ชักสีหน้าคงไม่ค่อยจะดีนัก
อะแฮ่ม ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอให้คอโล่ง ยื่นมือหยิบคัมภีร์พระธรรมลายมือของเฉียวเจามาจากชิงอวิ๋น และเอ่ยถามนาง หลานเจาเอ๊ย เจ้าชอบล้อเล่นกับท่านย่าจริงๆ เหตุใดถึงส่งแบบคัดอักษรของอาจารย์เฉียวมาให้ท่านย่าล่ะ ฮึ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ เห็นทีว่าความเข้าใจของแม่นางน้อยหลีเจาจะผิดไปจากความจริงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้มิได้เชี่ยวชาญในศาสตร์เขียนอักษรกับวาดภาพเลย
กระนั้นเฉียวเจาย่อมจะไม่ดูแคลนฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพราะเรื่องนี้เป็นธรรมดา นับแต่นางเริ่มต้นฝึกฝนฝีมือในเชิงนี้ ท่านปู่ก็สั่งสอนนางว่าการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพเป็นเพียงการเสพความสุนทรีย์และขัดเกลานิสัยเท่านั้น การร่ำเรียนสรรพวิชาในใต้กล้าจะจำกัดอยู่แต่ศาสตร์เหล่านี้มิได้ และถ้าลุ่มหลงมัวเมาก็จะตกเป็นรองผู้อื่น
ท่านย่า อาจารย์เฉียวไม่เคยคัดลอกพระธรรมมาก่อนเจ้าค่ะ เฉียวเจาพูดอย่างอ้อมค้อม
ดังนั้น? หนนี้เป็นทีฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกะพริบตาปริบๆ บ้าง
ดังนั้น นี่เป็นข้าคัดลอกนะสิเจ้าคะ ท่านมอบแท่นฝนหมึกที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ข้าเพื่อเป็นกำลังใจให้ข้าขยันคัดลายมือไม่ใช่หรือ เฉียวเจาพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพลันแสดงสีหน้าที่สุดแสนจะพิลึกชอบกล อย่ามาล้อกันเล่น ถ้ายกแท่นฝนหมึกให้ชิ้นหนึ่งก็เขียนอักษรเช่นนี้ออกมาได้ อย่างนั้นแท่นฝนหมึกดีๆ ในร้านขายหมึกพู่กันในเมืองหลวงคงมีคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว
ท่านย่าดมดูสิเจ้าคะ กลิ่นหอมของหมึกยังติดอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก้มหน้าลงดมจริงๆ กลิ่นหมึกหอมอ่อนๆ ทำให้นางไม่อาจไม่เชื่อถ้อยคำของหลานสาว สายตานางที่มองไปทางเฉียวเจาทอแววตื่นตะลึงเป็นพิเศษ หลานเจา เจ้าฝึกเขียนอักษรได้ดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
หากกล้าบอกว่าเพราะข้ายกแท่นฝนหมึกให้อีกล่ะก็ ข้าจะมีน้ำโหแล้วนะ
เฉียวเจารู้สึกว่าต้องให้คำอธิบายสักอย่างที่สมเหตุผลกว่านี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะดีกว่า นางเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ เมื่อหลายปีก่อนท่านแม่ซื้อแบบคัดอักษรของอาจารย์เฉียวตั้งมากมายมาให้ข้าลอกตามเจ้าค่ะ
มุมปากของหญิงชรากระตุกริกๆ นางย่อมต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน แต่ที่ผ่านมาลายมือของเด็กสาวผู้นี้ก็ไม่ได้ดีเด่สักเท่าไร หาไม่แล้วเหตุใดปีนั้นถึงโดนจวนตะวันออกเยาะเย้ยเพราะมัน
หรือว่าหลานเจาจะเป็นพวกคมในฝักมาโดยตลอด
หลานเจา ในเมื่อเจ้ามีฝีมือเขียนอักษรดีเพียงนี้ ไฉนเมื่อก่อนไม่เคยแสดงให้เห็นเลย หญิงชราถามหยั่งเชิง
เอ่อ…ข้ากลัวพี่เจียวโมโหน่ะสิเจ้าคะ ก็เหมือนกับพี่เจี่ยวมิใช่หรือ เฉียวเจายิ้มหวานพลางกล่าว
มีคำกล่าวว่า ‘ตอบแทนความแค้นด้วยความดี’ เช่นนั้นแล้วจะตอบแทนความดีด้วยสิ่งใด
นางแยกแยะบุญคุณและความแค้นเสมอมา ในเมื่อคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่นได้ถนัดช่ำชองนัก แน่ล่ะว่านางก็ทำได้โดยไม่กะพริบตาเฉกเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเชื่อถ้อยคำนี้มากกว่าครึ่งทันใด
หลายปีมานี้จวนตะวันออกวางอำนาจมาโดยตลอด มาตรว่านางไม่ได้เป็นคนอ่อนแอขลาดกลัว แต่ติดขัดที่อนาคตของบุตรชายสองคน ประกอบกับหลานชายเพียงคนเดียวยังอายุน้อย นางย่อมจะไม่งัดข้อกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นธรรมดา
ในบรรดาคุณหนูของทั้งสองจวน หลานเจียวเป็นคนพิเศษ ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจจากทุกคน ทั้งที่หลานเจี่ยวมีทักษะดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพสูงกว่าหลานเจียว แต่ทุกคราที่ได้แสดงฝีมือก็ต้องด้อยกว่าหลานเจียวขั้นหนึ่งเสมอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบเฝ้ามองอยู่ นางถึงได้เอ็นดูรักใคร่หลานสาวคนโตที่กำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์มากขึ้นหลายส่วน
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้หลานเจาก็เป็นเฉกนี้ด้วย
หญิงชรายื่นมือไปตบไหล่เฉียวเจาเบาๆ วันหน้าไม่ต้องทำเช่นนี้แล้ว ท่านย่ายินดีที่ได้เห็นพวกเจ้าล้วนมีความสามารถมากขึ้น
ถึงอย่างไรบุตรชายคนโตของนางก็ต้องนั่งจับเจ่าอยู่ในสำนักราชบัณฑิตเขียนตำราพงศาวดารไปจนแก่ตายอยู่แล้ว
อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ!