หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 433
บทที่ 433
เสี่ยวเอ้อร์เล่าจบพวกเขาก็สั่นสะท้านไปถึงตรงกลางใจพร้อมกับไฟโทสะลุกโชนขึ้นระลอกหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงทุบโต๊ะเต็มแรง “เดรัจฉานแท้ๆ!”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “อย่าเหยียดหยามเดรัจฉานได้หรือไม่”
“ใช่ เทียบเดรัจฉานไม่ได้” หยางโฮ่วเฉิงประจักษ์เป็นคราแรกว่าความปากร้ายของสหายรักช่างน่ารักน่าชังนักหนา
เซ่าหมิงยวนวางท่าเยือกเย็นผิดจากผู้อื่น แต่ลึกเข้าไปในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟเต้นระริกอยู่
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ลูกค้าที่เปล่งเสียงพูดสองคนนี้ไม่ทำให้เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกอะไร ทว่าลูกค้าที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าเรียบสนิทผู้นั้นกลับทำให้เขาเย็นยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กายโดยพลันจนขยับเท้าไปด้านข้างก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเอ้อร์กำก้อนเงินในมือ รำพึงในใจว่า ช่างเถอะ เห็นแก่เงินก้อนนี้ เอ่ยเตือนพวกเขาสักคำดีกว่า
“ท่านทั้งหลาย พวกท่านกินอาหารเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะขอรับ”
“เหตุใดหรือ มากินอาหารร้านเจ้ายังจะขับไล่ไสส่งกันอีก” หยางโฮ่วเฉิงถลึงตาใส่
“ไม่ใช่นะขอรับ ข้าน้อยหวังดีต่อพวกท่านต่างหาก” เสี่ยวเอ้อร์มองไปรอบๆ ก่อนพูดกระซิบ “ใกล้จะครบกำหนดส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วเต็มที แต่ทางการยังรวบรวมคนได้ไม่ครบ พวกท่านมีหญิงสาวตั้งสามคน ขืนไม่รีบไปจากที่นี่ เกรงว่าจะไม่ได้ไปแล้ว”
“ขอบใจพี่ชายที่ช่วยเตือน” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ
เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าพูดแล้วลูกค้าพวกนี้ยังใจเย็นเยี่ยงนี้ก็งุนงงไม่เข้าใจอย่างมาก
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยกับพวกฉือชั่น “รีบกินข้าวเถอะ”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า “ใช่ กินอิ่มแล้วถึงมีเรี่ยวแรงวิวาท”
เสี่ยวเอ้อร์อ้าปากค้าง คนพวกนี้เป็นใครมาจากที่ใดกันนี่!
เขาโคลงศีรษะเดินออกไป ไม่นานนักก็มีเสียงเอ็ดตะโรดังมาจากด้านนอก
“คนที่มากินอาหารในร้านพวกเจ้าอยู่ที่ใด!”
เสียงขององครักษ์จินอู๋หลายคนดังขึ้น “พวกเจ้าจะทำอะไร”
ในห้องส่วนตัวหยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วผุดลุกขึ้นยืน “มาแล้วจริงๆ”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองเขา “อย่าวู่วาม กินเสร็จก่อนค่อยว่ากัน”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นก้าวขาเดินออกนอกห้องพลางเอ่ย “ข้าออกไปดูสักหน่อย”
“นี่! ไหนบอกว่ากินเสร็จค่อยว่ากันไม่ใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงตะโกนพูดอย่างสุดระงับ
บุรุษที่เดินถึงหน้าประตูไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง บอกด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ข้ากินเสร็จแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงจ้องมองชามเปล่าซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าที่นั่งของเซ่าหมิงยวนอย่างงงงัน จากนั้นเริ่มพุ้ยข้าวกินอย่างรีบเร่ง
ฉือชั่นวางตะเกียบลง “ข้ากินเสร็จแล้วเหมือนกัน”
“ไฉนพวกเจ้าล้วนกินกันรวดเร็วถึงเพียงนี้” หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงอู้อี้
ฉือชั่นลุกขึ้นพูดอย่างยิ้มย่อง “เพราะพวกข้ากินชามเดียว ส่วนเจ้ากินสามชามน่ะสิ”
หยางโฮ่วเฉิงมองชามที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง “…” นี่เป็นเรื่องจริง ข้าหมดคำพูดจะโต้ตอบแล้ว
ภายในโถงร้านสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด เห็นเซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นเดินไล่หลังกันออกมา พวกองครักษ์จินอู๋ก็สำรวมตนขึ้นหลายส่วน ขณะที่พวกผู้มาถึงอดหันไปมองไม่ได้
เซ่าหมิงยวนมองสำรวจผู้มาเยือนเหล่านี้เช่นเดียวกัน
ผู้เป็นลูกพี่ตัวสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าเป็นสีแดงปลั่ง อาภรณ์บนกายแลดูสง่าภูมิฐานพอดู เขาจับจ้องมาทางหน้าประตูอย่างไม่วางตา
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วน้อยๆ
สายตาของอีกฝ่ายโอหังเกินไป ชวนให้ไม่สบอารมณ์ดีแท้
ฉือชั่นบันดาลโทสะแล้ว “มองอะไร ขืนมองอีกจะแทงตาสุนัขเยี่ยงเจ้าให้บอดไปเลย”
ผู้เป็นลูกพี่หัวเราะพรืดอย่างชอบใจ แววตาเคลิ้มลอยพลางเอ่ยว่า “น่าเอ็นดูนัก สาวน้อยผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก โฉมงามถึงเพียงนี้ กลับปลอมตัวเป็นชายได้คล้ายคลึงอย่างยิ่ง กระทั่งเสียงพูดยังดัดได้เหมือน ถ้าไม่ใช่ข้าสายตาดี คงโดนตบตาแล้วจริงๆ”
รูปหน้าของฉือชั่นงามละเมียดละไมสมส่วน เรือนกายผอมบางกว่าหนุ่มฉกรรจ์ไปบ้าง ทว่าไม่ได้ดูอ้อนแอ้นอรชรเฉกอิสตรี สาเหตุที่ผู้มาถึงเห็นเขาเป็นสตรี ประการแรกเพราะได้ข่าวว่าในหมู่คนต่างถิ่นมีหญิงสาวถึงทึกทักเอาเอง ประการที่สองเพราะไม่ได้พบเจอหญิงสาวในเมืองมานานระยะหนึ่ง แวบแรกที่ได้เห็นคนงามเพียงนี้ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษ
เรื่องที่ฉือชั่นเกลียดชังที่สุดคือพวกบุรุษเห็นตนเป็นสตรี จึงพาให้เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันควัน เขาโกรธจัดแต่กลับยิ้ม “อย่างนั้นหรือ เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้จริงๆ รึ”
เขาก้าวออกมาจากกลุ่ม เดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะไปตรงเบื้องหน้าผู้เป็นลูกพี่
ลูกพี่กำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มจนลืมตัว เขาเอ่ยขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ “สาวน้อยอยากลองหรือไม่”
หญิงงามเช่นนี้เขาเพียงอยากเก็บซ่อนไว้ หักใจส่งตัวไปไม่ลงจริงๆ
“อย่างนั้นข้าก็จะลองดู” ฉือชั่นเผยรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา ยกเท้าถีบตรงไปที่ท่อนล่างลำตัวของลูกพี่
บุรุษย่อมรู้ตำแหน่งกล่องดวงใจของบุรุษด้วยกันได้แจ่มแจ้งกว่าสตรีแน่นอน แรงถีบนี้ทั้งแม่นยำทั้งหนักหน่วง ลูกพี่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่งแล้วล้มลงกับพื้นชักดิ้นชักงอทันใด เขาดิ้นไปแผดเสียงร้องอย่างน่าอนาถไป
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งกวาดอาหารบนโต๊ะจนเรียบวุธแล้วยืนอยู่หน้าประตู พูดเสียงพึมพำว่า “ทีนี้ดีล่ะ ในแผ่นดินก็มีขันทีเพิ่มขึ้นอีกคน”
“พวกเจ้า พวกเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด…ลุย…ลุยเข้า…” ลูกพี่ยังกล่าวคำว่า ‘ลุยเข้าไป’ ไม่จบก็ตาเหลือกสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด
ลูกสมุนที่เขาพามามองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าไม่รีบพาเขาไปหาหมอหรือ บางทีอาจยังมีโอกาสต่อกลับเข้าที่นะ”
คนพวกนั้นอึ้งงันไป จากนั้นมีคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ใครจะพานายน้อยไปโรงหมอกับข้า พวกเจ้าที่เหลืออยู่อย่าปล่อยให้คนพวกนี้หนีไปได้”
สิ้นเสียงเขาคนทั้งกลุ่มแย่งกันพูดยกใหญ่ “ข้าไปๆ!”
อย่าล้อเล่น ใครจะกล้าอยู่ที่นี่เล่า กระทั่งนายน้อยยังโดนเตะกล่องดวงใจไปแล้ว คนใดอยู่คนนั้นเคราะห์ร้าย!
“อะไรกัน ไปกันหมดแล้วคนพวกนี้หนีไปจะทำเช่นไร พวกเขาหนีไป พวกเราจะกลับไปรายงานตัวอย่างไร บัดซบ!” คนผู้นั้นด่าทอคำหนึ่ง “เจ้าสี่ เจ้าไปกับข้า!”
เจ้าสี่ที่ถูกขานชื่อดีใจจนออกนอกหน้า เขากล่าวเสียงดัง “ขอรับ”
ทั้งคู่หามลูกพี่ที่สลบไสลไม่ได้สติพาออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะ
คนที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างมีไหวพริบ “ข้าไปแจ้งข่าวนายตำบล!”
คนอื่นๆ ยื่นมือฉุดตัวเขาไว้ “อาศัยอะไรให้เจ้าไป ข้าไปเอง!”
พวกเขานึกไปถึงเหตุการณ์ที่นายน้อยโดนถีบกล่องดวงใจเมื่อครู่ก็แข้งขาอ่อนแรง อยากจะหนีไปให้พ้นๆ ใจจะขาด เมื่อเกิดการยื้อแย่งขึ้นมาย่อมจะไม่ลดราวาศอกสักนิด
สุดท้ายพอหมดหนทางแล้ว มีคนหนึ่งพูดเสนอขึ้น “หรือไม่ไปแจ้งข่าวพร้อมกัน”
“ดี!” ข้อเสนอนี้ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ ทันที
คนที่พูดเสนอขึ้นมองพวกเซ่าหมิงยวนแล้วทำใจดีสู้เสือกล่าวว่า “แน่จริงพวกเจ้าอย่าหนีนะ”
ฉือชั่นหัวเราะพรืดอย่างขบขัน “พวกเจ้าเบาปัญญาเลยนึกว่าคนอื่นก็เบาปัญญาเช่นกันหรือ”
ด้านเซ่าหมิงยวนกลับบอกเสียงเรียบ “ได้”
เอ๊ะ พูดง่ายถึงเพียงนี้?
คนพวกนั้นเบิกตากว้างมองเซ่าหมิงยวน
คำพูดของคนผู้นี้มีน้ำหนักหรือไม่กันแน่ ตอนนี้พวกเขาวิ่งไปแจ้งข่าวกับนายตำบล ประเดี๋ยวนายตำบลพาคนมาแล้วถ้าพบว่าคนพวกนี้หายตัวไปแล้วพวกเขาต้องแย่แน่ๆ
“วางใจได้ พวกข้าไม่หนีจริงๆ” แม่ทัพหนุ่มเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตามใจชอบ ริมฝีปากแฝงรอยยิ้มยามกล่าว “พวกเจ้าบอกมิใช่หรือว่าแน่จริงอย่าหนี”
หยางโฮ่วเฉิงหัวร่อลั่น “ใช่ คนไม่แน่จริงอย่างพวกเจ้ารีบๆ ไปเสีย”
คนพวกนั้นหน้าแดงจรดใบหู ฝืนทำใจแข็งพูดทิ้งท้ายไว้ “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ”
โถงร้านเงียบเชียบไปในอึดใจเดียว
หยางโฮ่วเฉิงหย่อนกายลงนั่ง เขาถามเซ่าหมิงยวน “ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร”
“พวกเราต้องซื้อหาเสบียงเพิ่มเติมเพื่อออกทะเลก็ต้องอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา จะได้ดูว่านายตำบลที่ส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วผู้นั้นเป็นคนใหญ่คนโตจากที่ใดได้พอดี” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ตำบลนี้เล็กมาก แค่ราวสองเค่อร้านสุราก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งตีวงล้อมไว้แล้ว