หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 434
บทที่ 434
“ใครทำร้ายบุตรชายข้าบาดเจ็บ ไสหัวออกมา!” เสียงตะโกนโวยวายดังมาจากด้านนอก
ในร้านสุราผู้ดูแลร้านปาดเหงื่อไม่หยุด “ลูกค้าทุกท่าน มีเรื่องอะไรพวกท่านก็ออกไปพูดกันข้างนอกดีกว่านะขอรับ ร้านสุราของข้าคับแคบ ไม่สะดวกจะสำแดงฝีมือ”
คนต่างถิ่นพวกนี้ล้วนเป็นชายหนุ่มวัยราวยี่สิบ ร่างกายกำยำบึกบึน ดูท่าทางมิใช่คนที่จะตอแยได้ ประเดี๋ยวถ้าชกต่อยกันขึ้นมา คงต้องพังร้านสุราราบคาบเป็นแน่ ถึงเวลาจะขอให้ใครชดใช้เล่า
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ “ออกไปดูกันเถอะ”
ทุกคนก้าวออกจากร้านสุราพร้อมกัน
ด้านนอกมีคนยืนอยู่หลายสิบคน หัวหน้ากลุ่มคือบุรุษอายุสี่สิบเศษ เรือนกายอวบอ้วน หน้าตาเหี้ยมเกรียม
หยางโฮ่วเฉิงพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูฉือชั่น “สือซี คนผู้นี้ละม้ายคนที่โดนเจ้าถีบสลบไปอยู่เล็กน้อยนะ ดูทีว่าบุตรโดนตี บิดามาเอาเรื่องแล้ว”
ฉือชั่นเหยียดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ เขาเห็นฝีมือพวกองครักษ์ของเซ่าหมิงยวนแล้ว รวมกับคนของพวกเขา หากถูกคนในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งปิดล้อมไว้ นั่นต่างหากถึงเป็นเรื่องตลก
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาจะปล่อยให้ตนเองต้องกล้ำกลืนฝืนทนไปไย
“นี่คือนายตำบลท่าปากทะเลของพวกข้า” คนที่วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้เอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ ตำบลเล็กถึงเพียงนี้ถึงกับยังมีนายตำบลด้วยหรือ” ฉือชั่นกล่าวเสียงยียวน รอยเยาะหยันในน้ำเสียงชวนให้โมโหจนควันออกหู
ราชวงศ์ต้าเหลียงกำหนดพื้นที่เมืองออกเป็นอำเภอ พื้นที่อำเภอยังแบ่งเป็นตำบลและหมู่บ้าน กระนั้นนายตำบลที่เรียกกันมักจะเป็นผู้มีอำนาจเจ้าถิ่นที่นายอำเภอเลือกให้มารับตำแหน่งนี้ จึงไม่จัดว่าเป็นข้าราชสำนักอย่างแท้จริง
“เป็นเจ้าที่ทำร้ายบุตรชายข้าหรือ” นายตำบลจ้องฉือชั่นตาเขม็ง
คนแจ้งข่าวบอกว่าคนที่ทำร้ายบุตรชายเขาเป็นหญิงงามล้ำเหลือที่ปลอมตัวเป็นชายนางหนึ่ง ต้องเป็นคนตรงหน้าเขาผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่ถูก เขามีลูกกระเดือก!
นายตำบลพิศดูฉือชั่นอย่างละเอียดแล้วโกรธจนเต้นผางๆ
เจ้าพวกบัดซบตาบอด!
“ยังมัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด ลุยเข้าไป จับเจ้าเดรัจฉานที่ทำร้ายนายน้อยผู้นี้สับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!”
คนที่นายตำบลพามาล้วนวางอำนาจบาตรใหญ่จนเป็นนิสัย ในกาลก่อนก็ฉุดคร่าหญิงสาวในเมืองตามคำสั่งเบื้องบน ยังทุบตีคนจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา มาตรว่าคนที่เผชิญหน้าอยู่ยามนี้จะไม่พึงตอแยอยู่บ้าง แต่อาศัยว่าฝ่ายตนมีพรรคพวกมากกว่ากลับไม่กลัวเกรง ทันทีที่นายตำบลออกคำสั่งก็ดาหน้าเข้าไปพร้อมกัน
คนเหล่านี้เพียงมีร่างกายกำยำแข็งแรง อย่าว่าแต่วิชาหมัดมวย แม้แต่ตั้งท่าอวดลีลาก็ยังไม่เป็น เวลาต่อสู้ล้วนอาศัยกำลังและความรุนแรงเข้าปะทะอย่างเดียว กระทั่งปิงลวี่ที่ไม่ยอมจับเจ่าอยู่คนเดียวยังเข้าไปร่วมวง นางใช้เวลาไม่นานนักก็ล้มคว่ำคนเหล่านั้นไปได้ถึงสองคน
การโรมรันกันในศึกนี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วอย่างที่ชาวบ้านของตำบลแห่งนี้คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายนายตำบลพ่ายแพ้ย่อยยับ
“พวกเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนายอำเภอหรือ!” นายตำบลตะโกนพูดด้วยสีหน้าดุดันทั้งที่ใจเสียอยู่
“อ้อ ไม่รู้ว่านายอำเภอมีคำสั่งใดหรือ” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
นายตำบลแค่นเสียงเยาะ “ท่านนายอำเภอมอบอำนาจให้ข้าคัดเลือกหญิงสาว พวกเจ้าพาสตรีมาสามนางแต่กลับขัดคำสั่งอย่างอุกอาจ คิดจะกระด้างกระเดื่องรึ”
“มอบอำนาจให้คัดเลือกหญิงสาว?” ฉือชั่นยิ้มเยาะ “โอรสสวรรค์มิได้ทรงคัดตัวสาวงามทั่วแผ่นดินมานานหลายปี ไฉนพวกข้าไม่รู้ว่านายอำเภอยังมีอำนาจนี้ด้วย”
“อย่าพูดพล่าม วันนี้พวกเจ้าทิ้งสตรีสามคนนี้ไว้ ข้าละเว้นพวกเจ้าสักครั้งได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่ว่าใครอย่าหมายว่าจะได้ไปจากที่นี่”
แปะๆๆ
เสียงตบมือดังขึ้น
หยางโฮ่วเฉิงหัวร่อลั่นก่อนกล่าวขึ้น “เจ้าเบาปัญญาใช่หรือไม่ ตอนนี้คนที่ล้มกองบนพื้นพวกนี้เป็นใครกัน เจ้าอาศัยอะไรหน่วงเหนี่ยวพวกข้าไว้ที่นี่”
“อาศัยอะไรหรือ” นายตำบลเผยรอยยิ้มอำมหิต “พูดอย่างนี้ พวกเจ้าไม่ยอมทิ้งคนไว้สินะ”
“ไร้สาระ” หยางโฮ่วเฉิงแค่นหัวร่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้ว” ดวงตาของนายตำบลทอประกายดุจอสรพิษ
ต่อให้คนพวกนี้มอบสตรีสามนางนั้นให้ เขาก็ไม่คิดจะละเว้นใครสักคน ทำร้ายบุตรชายเขายังคิดจะจากไปอย่างปลอดภัยหรือ ฝันไปเถอะ!
นายตำบลกวาดตามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วพลันหมุนกายไปตะโกนพูดกับเหล่าคนที่มุงดู “มุงดูอะไรกันอยู่ ยังไม่ช่วยข้าจับตัวคนพวกนี้ไว้อีก!”
ชาวบ้านที่วิ่งออกมามุงดูต่างมองหน้ากันไปมา
ครอบครัวของนายตำบลไม่เคยทำความดีอันใด พวกเขาไม่อยากช่วยเหลือหรอกนะ
พอเห็นชาวบ้านยืนนิ่งเฉย นายตำบลแค่นหัวเราะ “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านนึกว่านี่เป็นการช่วยข้าหรือ ไม่เลย นี่เป็นการช่วยตัวพวกเจ้าเองนะ!”
คนโง่เขลาพวกนี้คิดแต่จะสอดรู้สอดเห็น ช่างไม่คิดเสียเลยว่าหากยังเสาะหาสตรีที่เหมาะสมไม่ได้ รอเมื่อชาววอโค่วมาแล้วจะทำเช่นไร
ได้ยินนายตำบลกล่าวเช่นนี้ คนที่มุงดูอยู่ยังไม่ขยับดุจเก่า
เขาเห็นดังนั้นแล้วโกรธจนทนไม่ไหว พูดตวาดเสียงดังว่า “พวกเจ้าลืมชาววอโค่วไปแล้วหรือ! สตรีที่ส่งไปคราวก่อนมีอายุมากเกินไปก็ถูกพวกเขาตำหนิติเตียน หนนี้ใกล้จะครบกำหนดรอมร่อแล้ว ถึงตอนนั้นไม่มีคนส่งไปให้ พวกเจ้านึกว่าชาววอโค่วพวกนั้นถือศีลกินมังสวิรัติใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้ทำให้คนที่มุงดูอยู่หน้าเสียไปถนัดตา สายตาซึ่งมองไปทางพวกเฉียวเจาก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว
นายตำบลพูดต่ออย่างไม่ลดละความพยายาม “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนชาววอโค่วเคยปล้นฆ่าวางเพลิงในตำบลนี้อย่างไร ใช่หรือไม่ว่าอยู่อย่างสงบสุขมานานเกินไปเลยกลายเป็นคนโง่งมไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้คนพวกนี้จากไปต่อหน้าต่อตา รอเมื่อชาววอโค่วมาถึง คนที่เคราะห์ร้ายก็คือพวกเจ้า!”
ได้ยินคำพูดของนายตำบล คนที่มุงดูอยู่เดินทีละก้าวเข้าไปล้อมพวกเฉียวเจาไว้
หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าตะลึงงัน “เสียสติไปแล้วรึ คนพวกนี้ล้วนเสียสติไปแล้วกระมัง ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่”
ฉือชั่นกำดาบยาวที่เอวไว้แน่น กล่าวอย่างเยาะหยัน “ความเป็นมนุษย์? ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาสักหน่อย เอาตัวพวกเราไว้ส่งมอบให้ชาววอโค่ว พวกเขาก็ได้ยืดลมหายใจอยู่รอดต่อไปอีกวันไม่ใช่หรือ”
“เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ถึงคราวต่อไปพวกเขาก็ต้องเคราะห์ร้ายอยู่ดีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงเพียงรู้สึกเหลือเชื่อ
“สามารถใช้คนต่างถิ่นที่ไม่มีความสำคัญอันใดฝ่าด่านในตอนนี้ไปได้ ใครยังจะคิดถึงคราวต่อไป” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นฝูงชนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หยางโฮ่วเฉิงมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก “ถิงเฉวียน พวกเราจะเอาอย่างไร คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านไร้ทางสู้ทั้งนั้น”
“เปิดเผยฐานะ หากยังทำให้พวกเขาล่าถอยไปไม่ได้ดุจเก่า เช่นนั้นค่อยใช้กำลังจนกว่าพวกเขาจะล่าถอย” แม่ทัพหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ชาวบ้านไร้ทางสู้? ตอนอยู่แดนเหนือเขาพบเจอชาวบ้านเช่นนี้มานักต่อนัก ยามโหดร้ายทารุณขึ้นมาทำให้อ้าปากตาค้างได้เลย
แต่ว่าชาวบ้านที่แดนเหนือจะดุร้ายปานใด ก็ไม่ส่งสตรีต้าเหลียงไปบรรณาการให้ชาวต๋าจื่อเองกับมือเช่นนี้
คนที่เขาจะปกป้องคุ้มครองก็สมควรมีสิ่งที่คู่ควรให้ปกป้องคุ้มครอง ถ้าคนพวกนี้มุ่งหมายทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดของเขาและสูญสิ้นความเป็นคนไปแล้ว เหตุอันใดเขาต้องปกป้อง ‘คน’ ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนพวกนี้อีกเล่า
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วยกมือชูป้ายคำสั่ง “พวกข้าคือกององครักษ์จินอู๋ที่ออกทะเลปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา พวกเจ้ายังไม่รีบถอยไปอีก”
คนที่ตีวงล้อมเข้ามาชะงักฝีเท้าหันไปมองนายตำบล
เขาอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเยาะๆ “องครักษ์จินอู๋ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา? ไฉนพวกเจ้าไม่บอกเสียล่ะว่าเป็นองครักษ์จินหลินที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชาของโอรสสวรรค์ ทุกคนมัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด อย่าไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล!”
เพลานี้เองเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงนั้นดังถี่กระชั้นขึ้นทุกที
สีหน้าของนายตำบลแปรเปลี่ยนไปยกใหญ่ เขาตะโกนพูด “ชาววอโค่วมาแล้ว! ทุกคนจับสตรีสามคนนั้นไว้เร็วเข้า”
เสียงฝีเท้าม้าเป็นดั่งยันต์สั่งตาย พวกชาวบ้านกรูกันเข้าใส่พวกเฉียวเจาโดยไม่ลังเลใจอีก