หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 436
บทที่ 436
เฉียวเจามองเห็นเงาร่างสูงใหญ่ผึ่งผายของคนผู้นั้นซวนเซไป จากนั้นมีดาบวอเตาเปล่งประกายวาววับแทงไปที่กลางอกเขา
นางกลัวจะรบกวนสมาธิของเขา จึงไม่กล้าแม้แต่จะร้องอุทานในชั่วอึดใจนั้น นางยกมือปิดปากแน่นๆ มองดูเขายกสองมือจับดาบไว้ตาปริบๆ เขาจับคมดาบไว้แย่งมันจากมือชาววอโค่วทั้งอย่างนี้
โลหิตชโลมใบดาบเป็นสีแดงฉานในพริบตาเดียว
“เฉินกวง เจ้ารีบไปช่วยท่านแม่ทัพของพวกเจ้าสิ ข้าเป็นคนสกัดตรงหน้าประตูเอง!” หยางโฮ่วเฉิงบอกเสียงดัง
เฉินกวงลังเลใจครู่หนึ่ง ท่านแม่ทัพสั่งให้เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ ตามหลักแล้วเขาไม่พึงออกไปอย่างเด็ดขาด แต่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บแล้ว
ไม่สนใจแล้ว ไปช่วยท่านแม่ทัพดีกว่า ต่อให้ภายหลังจะโดนท่านแม่ทัพลงโทษสถานหนัก ข้าก็ยอมรับชะตากรรม!
เฉินกวงคิดว่าเขาโดนลงทัณฑ์อย่างไรก็ดีกว่าท่านแม่ทัพเป็นอะไรไปจริงๆ
“เช่นนั้นทางนี้ก็ไหว้วานหยางซื่อจื่อแล้ว” เฉินกวงเอ่ยเช่นนี้จบก็พุ่งทะยานออกไป
หยางโฮ่วเฉิงวิ่งไปสกัดที่หน้าประตูไว้อย่างฉับไวพลางตะโกนพูด “พี่น้องที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรีบมาช่วยกันสกัดไว้ ไม่อย่างนั้นปล่อยให้พวกเขาเข้ามาจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น!”
ฉือชั่นตามไปด้วย เขาเงื้อเท้าถีบลูกสมุนผู้หนึ่งของนายตำบลออกไป
หยางโฮ่วเฉิงเบือนหน้ามาบอกเสียงดัง “สือซี! เจ้ามาตรงนี้ทำอะไร บาดเจ็บแล้วก็อยู่เฉยๆ สิ”
ฉือชั่นไม่โอนอ่อนคล้อยตาม เขากล่าวเสียงเย็นๆ “หยางเอ้อร์ ข้าเป็นบุรุษผู้หนึ่งเหมือนกัน”
หรือจะให้เขานั่งอยู่ด้านข้างมองดูพี่น้องทั้งหลายเสี่ยงชีวิต
“ได้ เจ้าระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”
“เลิกพล่ามได้แล้ว ขืนพูดมากแล้วโดนคนแทงจนตัวพรุน ข้ายังต้องเก็บศพให้เจ้าอีก”
หยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้น “จะพูดจาให้มันน่าฟังสักนิดมิได้หรือ วันนี้เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจพลีชีพในหน้าที่ตรงนี้จริงๆ”
“ไม่มีทาง” ฉือชั่นยืนอยู่ข้างๆ เขา ช่วยกันต้านทานคนที่คิดจะบุกเข้ามาพร้อมกับพูดอย่างหนักแน่น
แม้เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองครักษ์หลายสิบคนนั้นของเซ่าหมิงยวนมิได้ปรากฏตัวตอนนี้ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายจริงๆ คนพวกนั้นต้องออกมาแน่
เซ่าหมิงยวนไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องขึ้นกับหลีซาน และไม่ปล่อยให้เขากับหยางเอ้อร์เป็นอะไรไป เขายังมีความมั่นใจในจุดนี้อยู่
ด้านนอกร้านสุรานายตำบลเห็นเซ่าหมิงยวนบาดเจ็บแล้วก็ตะโกนบอก “เร็วเข้า! บุกเข้าร้านสุราไปจับแม่นางน้อยสามคนนั้นเอาไว้ ถึงเวลาจะได้มอบให้เหล่าท่านผู้กล้า”
พวกชาวบ้านกรูกันไปที่หน้าประตูร้านสุรา
เฉียวเจาเพ่งมองเซ่าหมิงยวนโดยไม่ละสายตา เห็นเสื้อคลุมสีเขียวบนตัวเขาเปื้อนเลือดจนเป็นสีแดงก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจกะทันหัน
มือของเขาเป็นแผลถึงเพียงนั้นยังต้องต่อสู้กับชาววอโค่วต่อ ไม่รู้สึกเจ็บใช่หรือไม่
ตรงหน้าประตูเริ่มชุลมุนมากขึ้น เฉียวเจาดึงสายตาคืนจากทางนอกหน้าต่างมองไปทางนั้นช้าๆ
นางเห็นคนจำนวนมากจะบุกเข้ามาข้างใน พุ่งชนพวกหยางโฮ่วเฉิงจนล้มคว่ำคะมำหงาย
สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นชืดชา หากดวงตาทอแววกระเหี้ยนกระหือรือชอบกล ราวกับปราศจากความคิดใดๆ ทั้งสิ้น การจับตัวพวกนางสามคนคือความมุ่งหมายเดียวของพวกเขา
อะไรคือธรรมเนียมมารยาทและความละอายแก่ใจ อะไรคือพี่น้องร่วมแผ่นดิน สำหรับพวกเราแล้วล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คงอยู่
เฉียวเจาเดือดดาลถึงขีดสุด
ชาวต๋าจื่อน่าชังหรือไม่…น่าชัง
ชาววอโค่วน่าชังหรือไม่…น่าชัง
แต่ไม่ว่าชาวต๋าจื่อหรือชาววอโค่ว เดิมทีพวกเขาคือคนต่างแคว้น พวกเขาย่ำยีแผ่นดินของคนอื่น ทำร้ายราษฎรของแว่นแคว้นอื่น
กระนั้นคนเหล่านี้กลับหันอาวุธเข้าประหัตประหารคนแผ่นดินเดียวกันเพื่อประจบเอาใจผู้รุกรานพวกนี้
จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านสามัญชน ทว่าคนธรรมดาอย่างนี้นี่เองกลับทำให้กวนจวินโหวผู้กระเดื่องนามทั่วหล้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ถ้าหากเซ่าหมิงยวนเป็นอะไรไป นางกับพวกฉือชั่นจะพบกับจุดจบที่ดีอะไรได้
ชาวบ้านที่เป็นเยี่ยงนี้ช่างชวนให้หนาวเหน็บใจ ส่วนตัวการใหญ่ที่ยุยงปลุกปั่นพวกเขาถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
“อาจู หยิบห่อสัมภาระมา”
“คุณหนู” อาจูซึ่งเฝ้าอยู่ข้างกายเฉียวเจาเงียบๆ ยื่นห่อสัมภาระที่พกติดตัวส่งให้
นางรับมาเปิดออกโดยไม่กล่าววาจาสักคำ เผยให้เห็นคันธนูขนาดกะทัดรัดฝีมือประณีตคันหนึ่ง
เฉียวเจาถือคันธนูไว้ในมือ ออกเดินไปหลายก้าวถึงตรงริมหน้าต่าง
หน้าต่างบานไม่ใหญ่นัก คนที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่พวกนั้นยังไม่ทันคิดว่าจะปีนเข้ามาทางนี้
นางยืนถือคันธนูที่ริมหน้าต่าง มองเห็นท่าทางของนายตำบลที่ตะโกนสุดเสียงร้องเรียกให้ผู้คนบุกเข้ามาในร้านสุราได้
ใบหน้าเขาแดงก่ำ สีหน้าที่ฉายอารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่านถึงกับทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความกระหยิ่มยิ้มย่องได้หลายส่วน
เฉียวเจายกคันธนูขึ้นและยื่นมือไปด้านหลัง
อาจูเข้าใจความหมาย รีบส่งลูกธนูที่เก็บไว้ในห่อผ้าให้
ปิงลวี่เบิกตากว้างกะทันหัน “นี่คุณหนูจะทำอะไร”
เยี่ยลั่วซึ่งเฝ้าอยู่ข้างกายเฉียวเจาเห็นอากัปกิริยาของนางแล้วแววตาไหววูบหนึ่ง เขาไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ
นางโก่งสายธนูเล็งตรงไปที่นายตำบล ตอนออกแรงมือของนางสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นค่อยๆ นิ่งสนิท ในเสี้ยวขณะที่จิตใจสงบนิ่งเต็มที่ ลูกธนูปลายขนนกก็ลอยละลิ่วออกไปพร้อมเสียงแหวกอากาศตรงดิ่งไปที่นายตำบล
เสียงร้องโหยหวนดังลอยมาเมื่อลูกธนูเสียบเข้ากลางอกเขาอย่างแม่นยำ
คล้ายว่าอารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่านยังนิ่งค้างอยู่บนใบหน้าตอนเขาล้มตึงลงกับพื้น
การจบชีวิตของนายตำบลทำให้พวกชาวบ้านอึ้งงันไป
นี่เป็นถึงนายตำบลผู้ซึ่งท่านนายอำเภอแต่งตั้งด้วยตนเอง นายตำบลผู้วางอำนาจกดขี่มาสิบกว่าปีกลับตายไปเช่นนี้แล้ว
การตายของเขาละม้ายภูเขาสูงที่ไม่อาจไต่ข้ามลูกหนึ่งพังครืนลงตรงหน้าผู้คน สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้จนดึงสติคืนมาไม่ได้เป็นนาน กระทั่งการบุกเข้าร้านสุรายังถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ ทุกคนชะงักนิ่งอยู่กับที่
พวกหยางโฮ่วเฉิงเหลียวหน้ามาอย่างฉงนใจ ก็เห็นเด็กสาวผู้บอบบางเงียบขรึมในความคิดของพวกเขาผู้นั้นถือคันธนูไว้ในมือจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หยางโฮ่วเฉิงอดขยี้ตาไม่ได้ เขาตาฝาดไปใช่หรือไม่
หลังขยี้ตาแล้วพบว่าภาพที่เห็นไม่เปลี่ยนแปลง เขาสะดุ้งเฮือกก่อนหันไปเอ่ยถามฉือชั่น “สือซี เหตุใดคุณหนูหลียิงธนูเป็นด้วย”
นี่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ฉือชั่นพูดพึมพำด้วยสีหน้าสับสนปนเป
“นี่จะแม่นยำเกินไปแล้วกระมัง โดนกลางอกตรงเผง” หยางโฮ่วเฉิงรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป
คุณหนูหลีจะมีทักษะในด้านดีดพิณ เดินหมาก วาดภาพ และเขียนอักษรโดดเด่นเหนือใคร เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไร ด้วยสตรีพึงเชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้อยู่แต่เดิม แต่นางแค่ช่ำชองกว่าสตรีคนอื่นไปบ้างเท่านั้น เขาถึงขั้นยอมรับได้ว่าคุณหนูหลีรู้วิชาแพทย์ แต่ว่าเพราะอะไรนางยังยิงธนูเป็นด้วย ทั้งยังมีฝีมือยิงที่แม่นยำถึงเพียงนี้…เขาไม่อยากยอมรับสักนิด เช่นนี้ทำให้บุรุษอย่างพวกเขาจะไม่มีที่ยืนแล้วโดยสิ้นเชิง
“คุณหนูหลียิงธนูสังหารนายตำบลได้อย่างเฉียบขาดเช่นนี้เชียวหรือนี่…” หยางโฮ่วเฉิงตั้งสติได้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจ
คนที่จะบุกเข้ามาในร้านสุราล้วนเป็นชาวบ้านทั่วไป พวกเขาถึงไม่ได้คิดจะเอาชีวิต คิดไม่ถึงว่าคนที่ลงมือสังหารคนจะเป็นเด็กสาวบอบบางนางหนึ่ง
เฉียวเจาไม่ได้หันหน้าไปมองพวกฉือชั่น แต่ยื่นมือไปข้างหลังรับลูกธนูดอกที่สองที่อาจูยื่นให้มาวางพาดสาย นางโก่งคันธนูเล็งออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ลูกธนูดอกแรกมอบให้กับนายตำบลที่ยุยงให้พวกเจ้าลงมือกับพี่น้องร่วมแผ่นดินของพวกเจ้า ลูกธนูดอกที่สองนี้ข้าจะมอบให้แก่ผู้ที่ก้าวเท้าออกมาเป็นคนแรก”
สุ้มเสียงของเด็กสาวนุ่มนวลอ่อนหวาน ทว่าน้ำเสียงเฉยเมยไร้อารมณ์ใด เพราะนายตำบลนอนเป็นศพอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว ชั่วขณะนี้ไม่มีคนกล้าเคลือบแคลงในคำกล่าวของนาง
มีลูกธนูอีกดอกเดียวเท่านั้น หากทุกคนปรี่เข้ามาพร้อมกัน นางสุดปัญญาจะรับมือได้แน่
กระนั้นใครเล่าจะเต็มใจเป็นคนที่ออกโรงคนแรก
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือคนของฝ่ายฉือชั่นล้วนคาดไม่ถึงว่าการประจันหน้ากันที่ไร้สาระและน่าโกรธเกรี้ยวนี้จะหยุดลงชั่วคราวเพราะธนูดอกเดียวของเด็กสาวผู้หนึ่ง
ทั้งด้านในด้านนอกร้านสุราพลันตกอยู่ในความเงียบ เหลือเพียงเสียงต่อสู้ระหว่างเซ่าหมิงยวนกับชาววอโค่ว