หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 438
บทที่ 438
แม่ทัพหนุ่มเพ่งมองหญิงในดวงใจ คิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดน้อยๆ “ไม่นึกว่าจะเจ็บถึงเพียงนี้ แต่เจาเจาไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าเคยชินแล้ว ตอนนี้มีเจ้าช่วยล้างแผลให้ เมื่อก่อนข้าต้องทำแผลเอาเองส่งเดชเสมอ”
เฉียวเจาฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ ทว่ากิริยาท่าทางของคนบางคนกลับไม่พ้องกับวิสัยปกติ นางพินิจดูเขาอย่างคลางแคลงใจพลางไต่ถาม “ในเมื่อเจ็บเช่นนี้ ไฉนเมื่อครู่ยังมีเรี่ยวแรงอบรมสั่งสอนเฉินกวง”
แม่ทัพหนุ่มทำตาปริบๆ เจาเจาสงสัยเขาหรือนี่ ทั้งที่ตอนนั้นสือซีบอกว่าเจ็บนางไม่เห็นจะสงสัย
เซ่าหมิงยวนชักคับอกคับใจ เขาพูดทอดถอนใจด้วยสีหน้าใสซื่อ “เมื่อครู่นี้ยังชาอยู่ ตอนนี้พอหายชาก็รู้สึกเจ็บแล้ว”
“ข้าฝังเข็มระงับปวดให้ท่านได้ชั่วคราว” นางหยิบเข็มเงินในถุงผ้าปักออกมา
ตอนนั้นองค์หญิงเจินเจินบาดเจ็บที่ขา นางก็เคยใช้เข็มเงินระงับปวดให้อีกฝ่าย
“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มห้ามนางไว้ “ได้ยินว่าการระงับปวดด้วยวิธีนี้จะมีผลกระทบอยู่บ้าง”
เฉียวเจานิ่งงันไป จากนั้นพยักหน้าเอ่ย “มีบ้างเล็กน้อย”
ถ้าบาดเจ็บบริเวณแขนขา ฝังเข็มระงับปวดแทบไม่มีผลเสียใดๆ แต่ถ้าเป็นแผลที่มือเช่นนี้ เส้นประสาทมือจะตอบสนองช้าลงจนส่งผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ
เมื่อมองสบดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่าย หญิงสาวแจ่มแจ้งในบัดดล
เขาใช้สองมือปกปักรักษาแผ่นดิน ย่อมจะสะเพร่ากับมือคู่นี้ไม่ได้
แม่นางเฉียวคิดคำนึงเช่นนี้แล้วความสงสัยรางๆ ในใจก็หายวับไป เหลือแต่เพียงความปวดใจ
แววตาของเด็กสาวอ่อนละมุนลง นางกล่าวปลอบว่า “ประเดี๋ยวทายาที่อาจูเอามาก็จะดีขึ้นมากแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มมองนางตาไม่กะพริบพร้อมกับถามอย่างน่าสงสาร “แต่ตอนนี้ข้าเจ็บมากเลย ทำอย่างไรดี”
แม่นางเฉียวตอบไม่ได้ ไม่ให้นางฝังเข็ม ทั้งยังไม่มียา นางไม่ใช่เทวดาจะรู้ว่าควรทำอย่างไรดีที่ใดกันเล่า
กระนั้นท่าทางนิ่วหน้าทนเจ็บของอีกฝ่ายคล้ายเป็นตาข่ายล่องหนที่ล้อมรอบหัวใจของนางไว้เงียบๆ ยิ่งชายหนุ่มแสดงสีหน้าเจ็บปวดมากขึ้น ตาข่ายผืนนั้นก็รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดในอกไปด้วย
เขาต้องการปกป้องพวกนางถึงได้รับบาดเจ็บ ขอแค่เป็นมนุษย์มีชีวิตจิตใจ เป็นแผลเลือดไหลแล้ว ไหนเลยจะไม่เจ็บไม่ปวดเล่า
เซ่าหมิงยวนเห็นเด็กสาวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พลันทนเห็นนางเป็นห่วงไม่ได้อีก เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ “เด็กโง่ ข้าหลอกเจ้า ไม่เจ็บเลยสักนิด”
เฉียวเจามองเขาอย่างงงงัน “ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าพูดว่าไม่เจ็บเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ทั้งที่อยากเห็นนางเป็นห่วงเขาสงสารเขา แต่พอนางเป็นห่วงสงสารขึ้นมาจริงๆ เหตุอันใดก็หักใจไม่ได้อีกเล่า
เซ่าหมิงยวนคิดคำนึง ที่แท้พอมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในหัวใจจะเกิดความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้นั่นเอง
“ข้าหมายถึงว่าเมื่อครู่นี้ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“เด็กโง่” ในดวงตาเซ่าหมิงยวนเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความเอ็นดู
แม่นางเฉียวเม้มมุมปาก พูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านปู่ก็ชอบเรียกข้าเช่นนี้ เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าท่านเหมือนกับท่านปู่ข้ามาก”
นางฉลาดเฉลียวเกินวัยตั้งแต่เด็ก ได้ยินคำชมเชยของผู้คนมามาก มีแต่ท่านปู่ที่ชอบเรียกนางว่า ‘เด็กโง่’
เซ่าหมิงยวนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ “…”
เขาไม่ชอบการเปรียบเทียบนี้แม้แต่น้อยนิด เขาไม่อยากเหมือนกับท่านปู่ของเจาเจานะ เขาสมควรเหมือนกับสามีของเจาเจาถึงจะถูก
ไม่ถูกสิ เดิมทีเขาก็เป็นสามีของเจาเจาอยู่แล้ว
แม่ทัพหนุ่มชักเริ่มคับข้องหมองใจเสียแล้ว เจาเจามีความคิดอันตรายเยี่ยงนี้ได้เช่นไร ถ้าเกิดวันหน้านางเห็นเขาก็คิดไปถึงท่านปู่แล้วจะทำฉันใด
ไม่ได้ เขาต้องลบความคิดนี้ของนางทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่ให้นางบังเกิดอุปาทานผิดๆ เฉกนี้
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนเรียกขานคำหนึ่ง
“หือ?” เฉียวเจาช้อนตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าลงแตะจูบมุมปากนางทีหนึ่งกะทันหันแล้วหัวร่อแผ่วเบาก่อนกล่าวว่า “เจ้าก็คือยาระงับปวดของข้า”
แม่นางเฉียวหน้าแดงทันใด นางมองปราดไปที่สาวใช้
ปิงลวี่ปิดหน้าสั่นศีรษะ “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
สวรรค์ ท่านแม่ทัพจูบคุณหนูของข้าหรือนี่!
สวรรค์ เพราะอะไรข้าถึงไม่รู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิดเล่า
ข้าเป็นสาวใช้อาวุโสของคุณหนู สมควรปกป้องความบริสุทธิ์ของเจ้านายด้วยชีวิตจึงจะถูก
ทว่า…
ปิงลวี่ชำเลืองมองคุณหนูของตนที่สองแก้มแดงซ่านแวบหนึ่งก่อนพูดต่อท้ายอยู่ในใจ
หากคนผู้นั้นคือแม่ทัพเซ่า อันที่จริงก็ไม่เป็นไรกระมัง
สาวใช้น้อยเดินไปเฝ้าตรงหน้าประตูห้องอย่างรู้หน้าที่
เฉียวเจามองเซ่าหมิงยวนตาเขียวปัด
เจ้าคนบ้าผู้นี้ยิ่งมายิ่งใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้อยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็กล้าจูบข้าแล้ว
แต่ว่าไม่มีคนอื่นก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ คนเจ้าชู้เกเร!
“เซ่าหมิงยวน” เฉียวเจาเรียกเสียงค่อยๆ นางกลับไม่ทันสังเกตว่าครั้งนี้ตนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะตำหนิแล้ว
ครั้นได้ยินเสียงเรียกขาน ‘เซ่าหมิงยวน’ ที่คล้ายพูดดุคล้ายโกรธงอน แม่ทัพหนุ่มรำพึงในใจ ดูทีว่าความเคยชินเป็นเรื่องที่ดียิ่งนักจริงๆ ข้าควรจะพยายามต่อไป
“คุณหนู ยามาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของอาจูดังมาจากหน้าประตู
ผ่านไปอึดใจหนึ่งอาจูก็เดินเข้ามา นางถือผ้าโปร่งบางกับยาขี้ผึ้งไว้ในมือ
เฉียวเจากลับมาเยือกเย็นดังเก่าแล้ว นางทำแผลที่มือเขาเสร็จอย่างว่องไวมาก จากนั้นเอ่ยถามว่า “ยังได้รับบาดเจ็บที่จุดอื่นอีกหรือไม่”
“มี” เซ่าหมิงยวนบอกตามสัตย์จริง
“ตรงที่ใด”
เขาชี้ที่ท้ายทอย
ชายหนุ่มนั่งอยู่ เฉียวเจาเลยลุกขึ้นไปแหวกเรือนผมดกหนาของเขาออกดู โลหิตแห้งกรังจับเป็นก้อนๆ อยู่ตรงโคนผม เห็นแล้วน่าตระหนกตกใจ
เฉียวเจาหวาดผวาอยู่ในใจลึกๆ ระลอกหนึ่ง
บาดเจ็บตรงตำแหน่งท้ายทอยเช่นนี้ ถ้ามือหนักขึ้นอีกสักหน่อย ผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิดเลยทีเดียว
พอคิดไปเช่นนี้นางไม่รู้สึกใดๆ กับการยิงธนูสังหารนายตำบลเองกับมืออีกต่อไป
นางเบาไม้เบามือลงโดยไม่รู้ตัว ใช้นิ้วมือเสยผมดำขลับของชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม “เวียนศีรษะหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนยกสองมือที่ถูกพันเหมือนขนมจ้างขึ้น เขายิ้มฝืดๆ “ตอนนั้นวิงเวียนอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่บาดเจ็บที่มือแล้ว”
“ตอนนี้เล่า”
“ตอนนี้…” แม่ทัพหนุ่มนิ่งคิดอย่างเอาจริงเอาจังแล้วกล่าว “เวียนศีรษะเป็นระยะ อ้อ เมื่อครู่นี้เวียนศีรษะมากเลยไม่รู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง”
เฉียวเจาแค่นยิ้มอย่างมีน้ำโห นางค้อนใส่เขาวงหนึ่ง “ขืนท่านพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว ให้เฉินกวงไปเชิญหมอมาตรวจท่านแล้วกัน”
เขายิ้มน้อยๆ “เฉินกวงเสียเงินไปพันตำลึง สงสัยว่าตัวเขาเองก็ต้องไปหาหมอแล้ว”
หญิงสาวคิดคำนึงว่าบาดแผลที่ศีรษะจะรอช้าไม่ได้ จึงคร้านจะถือสาหาความกับคนหน้าหนาบางคน นางทำหน้าตึงกล่าวขึ้น “ข้าทำแผลที่ศีรษะของท่านก่อน”
สองเค่อต่อมา ทุกคนก้าวออกจากร้านสุรา
ชาวบ้านยังไม่แยกย้ายกันไป พวกเขามองดูคนที่ออกมาจากร้านสุราอย่างเงียบเชียบ
หยางโฮ่วเฉิงขมวดคิ้ว พูดเสียงเบาขึ้นว่า “ชาวบ้านที่นี่ดูเหมือนสติไม่ค่อยดีกันหมด”
ฉือชั่นแค่นหัวเราะ เขาพูดกับเซ่าหมิงยวน “พวกเราอย่าจัดขบวนเดินทางใหม่ที่นี่อีกเลย ยังหงุดหงิดใจไม่พอรึ รีบออกทะเลโดยไวทำงานให้เสร็จถึงเป็นเรื่องสำคัญ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเล็กน้อย
หลังประสบผ่านเหตุชุลมุนวุ่นวายครานี้ รั้งอยู่ที่เมืองนี้ต่อไปก็ไร้ความหมายแล้วจริงๆ
ทุกคนเดินไปข้างหน้า ใครจะรู้ว่าคนพวกนั้นจะเดินตามหลังต้อยๆ
“พวกเจ้าตามพวกข้ามาด้วยเหตุใด” หยางโฮ่วเฉิงถามอย่างเหลืออด
ชาวบ้านต่างทำสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ทั้งที่รู้สึกกลัวเกรงพวกเฉียวเจามาก แต่ยังล้อมรอบพวกเขาไว้
ชายชราผู้หนึ่งกล่าวอย่างงกๆ เงิ่นๆ “พวกท่านไปไม่ได้นะ พวกท่านสังหารชาววอโค่วพวกนี้ ถ้าเกิดมีชาววอโค่วมาแก้แค้นจะทำอย่างไร”