หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 440
บทที่ 440
“ท่านพูดสิ” ถึงจะไม่มีความรู้สึกที่ดีกับชาวบ้านของท่าปากทะเล แต่ได้ยินว่าคนพวกนั้นไม่ต้องโดนชาววอโค่วแก้แค้น เฉียวเจายังคงรู้สึกโล่งอกอยู่ดี
เซ่าหมิงยวนขยับมาใกล้ขึ้นหนึ่งก้าวแล้วกระซิบถาม “ฝีมือยิงธนูของเจ้า ใครเป็นคนสอนให้หรือ”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่แท้เจาเจาของเขายิงธนูเป็นด้วย!
เฉียวเจานึกว่าเซ่าหมิงยวนอยากถามปัญหาอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้ นางจึงกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “เป็นซียวนสอนให้”
“ซียวน?” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอประกายเข้มขึ้น
พอเสียงเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า ‘ซียวน’ ดังออกจากปากเจาเจา เหตุไฉนถึงฟังดูระคายหูถึงเพียงนี้เล่า
เขาอดย้อนคิดไปถึงราตรีนั้นไม่ได้ที่เซ่าซียวนลักลอบไปที่โถงตั้งศพคิดจะแอบดูร่างไร้วิญญาณของเจาเจา…
อืม คำกล่าวนี้ชวนให้ตะขิดตะขวงใจเหลือเกิน แต่มันก็เป็นความจริง น้องสามของเขามีความรู้สึกเกินกว่าน้องสามีกับพี่สะใภ้
ฝีมือยิงธนูของเจาเจาเป็นน้องสามสอนให้หรือนี่
พอเซ่าหมิงยวนนึกถึงว่าช่วงระหว่างที่เขาไม่อยู่เมืองหลวง คนที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเฉียวเจาคือเซ่าซียวน ซ้ำคนที่สอนนางยิงธนูยังเป็นเซ่าซียวนอีก เขาก็ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ
น้องสามไม่เต็มเต็งหรือไม่ถึงได้สอนสตรียิงธนู ใช่หรือไม่ว่ายังจับมือสอนด้วย
ชายหนุ่มคิดไปถึงเรื่องพวกนี้แล้วไฟโทสะก็ลุกโชนอย่างระงับไม่อยู่
เขายังไม่ได้จับมือสอนเจาเจายิงธนูเลยนะ เจ้าเด็กผู้นั้นถึงกับชิงตัดหน้าเขารึ
พอเห็นเซ่าหมิงยวนมีสีหน้าชอบกล เฉียวเจาถามขึ้นอย่างฉงนใจ “มีอะไรหรือ”
เขาทนแล้วทนอีกแต่ยังคงถามออกมาอย่างทนไม่ไหว “ไฉนเจาเจาถึงอยากเรียนยิงธนู”
เฉียวเจามองเขาปราดหนึ่งด้วยสายตาเป็นนัยๆ ทว่านางกลับให้เหตุผลที่ง่ายดายมาก “เพราะเบื่อน่ะสิ”
สองปีเศษที่อยู่ในจวนจิ้งอันโหว นางแหงนหน้าขึ้นก็เป็นผืนฟ้าใหญ่เท่าฝ่ามือในลานเรือนที่ดูขมุกขมัว ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นเป็นสีครามเข้ม
นางไม่ต้องไปคารวะยามเช้า ไม่ต้องพบปะพูดคุยกับใคร เป็นชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ ถ้าไม่ร่ำเรียนอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ บ้างแล้วควรจะฆ่าเวลาอย่างไรเล่า
สีหน้าของเด็กสาวสงบนิ่ง น้ำเสียงตามสบาย ทว่าชายหนุ่มฟังคำตอบนี้แล้วกลับเจ็บแปลบที่หัวใจ
เพราะความเบื่อหน่าย ในลานเรือนเล็กๆ ที่ปลูกต้นสายน้ำผึ้งกับต้นป้อเหอจนทั่วแห่งนั้น เจาเจาผ่านวันเวลามาได้เช่นไร
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนรู้สึกขมปร่าในลำคอ เขาเรียกขานคำหนึ่ง
“หือ?” นางมองเขา
รอบกายเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา คลื่นน้ำสีฟ้าเข้มม้วนทบกันระลอกแล้วระลอกเล่า
บุรุษสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินก้มหน้ามองเด็กสาวในชุดเรียบๆ ข้างกายพลางกล่าวอย่างขึงขัง “ข้าอยากขอโทษเจ้า”
เฉียวเจาเบนสายตามองไปยังที่ไกลๆ “ล้วนผ่านไปหมดแล้ว เอ่ยถึงไปก็เท่านั้น”
อาจเป็นเพราะท่านปู่เพิ่งล่วงลับไป เป็นเหตุให้ช่วงที่อยู่ในจวนจิ้งอันโหว แม้แต่หายใจนางยังรู้สึกว่าติดๆ ขัดๆ
“ข้าไม่ดีเอง ทิ้งเจ้าไปที่แดนเหนือในวันพิธีมงคล ปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างเบื่อหน่ายตั้งนานปานนั้น” เซ่าหมิงยวนยิ่งพูดยิ่งขมขื่นใจ เขาใช้มือที่ถูกพันเป็นขนมจ้างแตะเส้นผมที่ปลิวขึ้นตามแรงลมของนาง “ข้ารับรองว่าวันหน้าชีวิตของพวกเราจะไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอน ข้าสอนเจ้ายิงธนูด้วยตนเองดีหรือไม่”
เฉียวเจาหันขวับกลับมาปั้นหน้าตึงแล้วกล่าวขึ้น “ชีวิตของพวกเราอะไรกัน เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าคิดไปเองข้างเดียว อีกอย่างข้าไม่อยากเรียนยิงธนูกับท่าน”
นางมองบุรุษที่ทำสายตาหวานซึ้งตรงหน้าแล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะนึกไปถึงธนูดอกนั้นของท่านที่เชิงกำแพงเมืองเยี่ยน”
เซ่าหมิงยวนเม้มมุมปากแน่น มือที่ทิ้งลงข้างลำตัวสั่นน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
“พี่เซ่า ข้าไม่ได้โทษท่าน แต่ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง เมื่อมีโอกาสเลือกอีกครั้งข้าไม่อยากเดินเส้นทางเก่าอีก ท่านเข้าใจหรือไม่” หญิงสาวกล่าวถ้อยคำนี้แล้วลอบถอนใจเบาๆ
ชายหนุ่มข้างกายนางผู้นี้เป็นคนดีมาก นางยอมรับว่าพอได้อยู่ร่วมกันนานๆ นางเริ่มเป็นห่วงเป็นใยเขา มีใจพะวงถึงเขา ถึงขั้นสงสารเขา
จิตใจนางคงจะหวั่นไหวไปกับเขาทีละน้อย กระนั้นใครกำหนดว่าจิตใจหวั่นไหวแล้วต้องออกเรือนไปกับเขาเล่า
รอเมื่อรักษาใบหน้าพี่ใหญ่จนหายดีและแก้แค้นให้ครอบครัวได้แล้ว นางอยากออกไปท่องชมทิวทัศน์ธรรมชาติทั่วทั้งต้าเหลียง สัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนทุกหนแห่ง วิชาแพทย์ของนางเพียงพอจะให้สร้างเนื้อสร้างตัวและใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจปรารถนาไปได้ตลอดชาติ
เช่นนี้ไม่ดีกว่าออกเรือนตั้งมากหรือ
เฉียวเจาพูดจบแล้วสังเกตเห็นชายหนุ่มเงียบเชียบผิดไปจากเดิม นางช้อนตาขึ้นมองอย่างห้ามไม่อยู่ เห็นใบหน้าเขาซีดขาว เหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมาจากหน้าผากผ่านเสี้ยวหน้าด้านข้างคมเข้มหยดลงบนราวรั้วที่ทำจากไม้
“ท่านเป็นอะไรไป” เฉียวเจาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางยื่นมือไปจับข้อมือเขา
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็ปวดศีรษะมาก”
เฉียวเจาจับชีพจรครู่หนึ่งไม่พบว่ามีปัญหาใหญ่อันใด แต่เห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีจริงๆ อีกทั้งหลั่งเหงื่อดุจสายฝน ท่าทีเช่นนี้ไม่มีทางจะหลอกลวงกันได้ พาให้ในใจนางหนักอึ้งอย่างสุดระงับ
ศีรษะเป็นตำแหน่งที่ซับซ้อนที่สุด ต่อให้ท่านปู่หลี่อยู่ด้วยก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้อาการที่ศีรษะของคนไข้ได้ทะลุปรุโปร่ง เขาบาดเจ็บตรงท้ายทอย บางทีอาจมีอาการอะไรตามมาก็เป็นได้
“เจาเจา ข้าอยากกลับห้องนอนพักก่อน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพักผ่อนครู่หนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว”
“ท่าน…” เฉียวเจาร้องเรียกคำหนึ่งอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
หรือว่าคำพูดพวกนั้นทำให้เขาสะเทือนใจ คนป่วยที่บาดเจ็บบริเวณศีรษะจะได้รับความกระทบกระเทือนทางใจไม่ได้จริงๆ
เมื่อคิดไปเช่นนี้เฉียวเจาขุ่นเคืองตนเองไม่หยุด
เหตุใดข้าต้องควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ต่อหน้าเขาด้วยนะ ถ้อยคำพวกนั้นจะพูดเวลาใดไม่พูด ไฉนต้องพูดออกมาในเวลานี้อย่างห้ามใจไม่อยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วงจริงๆ ข้าไปนอนพักครู่เดียวก็ดีขึ้นแล้ว” เซ่าหมิงยวนสาวเท้าเร็วรี่กลับไปที่ห้อง เขาเอนกายลงนอนบนเตียงแล้วเอามือถูหน้า
ตื่นเต้นเสียจริง ต้องพูดโกหกต่อหน้าเจาเจา เกือบส่อพิรุธแล้ว
ไม่ถูกสิ อันที่จริงข้าไม่ได้โกหก คำกล่าวของเจาเจาเป็นเหมือนกระบี่คมกริบทิ่มแทงใจ ทำให้สะเทือนใจจริงๆ
โอย…ปวดศีรษะเหลือเกิน
แม่ทัพหนุ่มยกฝ่ามือใหญ่ที่พันผ้าไว้หนาเตอะขึ้นก่ายหน้าผาก
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พวกฉือชั่นนั่งล้อมวงกัน แต่ไม่เห็นเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวน
“พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ” หยางโฮ่วเฉิงชะเง้อมองไปหน้าประตู
ฉือชั่นเบะปาก “คงยืนกินลมทะเลไปมากเลยอิ่มแล้วกระมัง”
หยางโฮ่วเฉิงลุกขึ้น “ข้าไปดูสักหน่อย”
เขาไปที่ห้องเซ่าหมิงยวนก่อน ถามกับเยี่ยลั่วที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “ท่านแม่ทัพของเจ้าอยู่ข้างในใช่หรือไม่ ได้เวลากินข้าวแล้ว”
“ท่านแม่ทัพปวดศีรษะอยู่บ้าง บอกว่าไม่กินขอรับ”
“ปวดศีรษะ? เป็นอะไรมากหรือไม่”
เยี่ยลั่วส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ”
“ข้าเข้าไปดู”
เยี่ยลั่วกางมือขวางไว้ “หยางซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพเพิ่งนอนหลับไปขอรับ”
หยางโฮ่วเฉิงดึงเท้ากลับ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พอเขาตื่นแล้ว ถ้ามีอะไรอย่าลืมไปตามพวกข้า แล้วก็เก็บอาหารไว้ให้เขาด้วย”
หยางโฮ่วเฉิงยังไปที่ห้องของเฉียวเจา กลับพบว่านางไม่อยู่ข้างในห้องแต่ยกเตาเล็กๆ ออกมาวางที่ดาดฟ้าเรือต้มยาอยู่
“ต้มยาให้ถิงเฉวียนใช่หรือไม่ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจาจ้องมองเตาไฟอย่างจดจ่อ “เขาบอกว่าปวดศีรษะ ข้าเลยต้มยาช่วยเปิดทวารลดปราณเสียให้เขาดื่มเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรมากหรือไม่”
เฉียวเจาสั่นศีรษะ “บาดเจ็บบริเวณศีรษะบอกได้ยากมากเจ้าค่ะ”
“เจ้าลูกเต่าพวกนั้น” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ถิงเฉวียนทำได้ถูกต้อง จะใจอ่อนห่วงความเป็นความตายของคนพวกนั้นไม่ได้
“จริงสิ คุณหนูหลี เหตุใดท่านถึงมีฝีมือยิงธนูดีถึงเพียงนั้น”
นางอึ้งงันไปเล็กน้อยจากนั้นเอ่ยยิ้มๆ “พี่หยางกล่าวชมเกินไปแล้ว ไม่ได้ฝึกปรือมาตั้งนาน ฝีมือยิงธนูของข้าไม่เท่าไรหรอก”
“ตรงเข้ากลางอกในดอกเดียว ขนาดข้ายังไม่แน่ว่าจะยิงได้แม่นยำปานนั้น”
“เอ่อ…ยิงพลาดเจ้าค่ะ ทีแรกข้าตั้งใจจะยิงหัวไหล่เขาต่างหาก”