หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 442
บทที่ 442
ชั่วพริบตาที่ประทับปากลงบนริมฝีปากเด็กสาว แม่ทัพหนุ่มเปล่งเสียงครางในลำคออย่างพึงใจ
เขาคงดีขึ้นไม่ได้แล้ว
ชายหนุ่มยื่นสองมือที่พันด้วยผ้าโปร่งบางไปกุมหัวไหล่ของเด็กสาวอย่างเงอะงะ เขาจุมพิตกลีบปากแดงซ้ำๆ สบช่องที่นางเผยอปากด้วยความตกใจแทรกลิ้นเข้าไป
กลิ่นหอมของยาที่รสขมจางๆ จู่โจมใส่สติสัมปชัญญะทั้งหมดของเฉียวเจา
นางดิ้นขัดขืนตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าถูกเขาพันธนาการไว้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด จากนั้นในขณะที่นางแตกตื่นทำอะไรไม่อยู่ สิ่งที่รุกล้ำเข้ามาก็เกี่ยวกระหวัดลิ้นของนางไว้ซุกไซ้สะเปะสะปะอย่างเผด็จการ
เฉียวเจาเพียงรู้สึกหัวสมองอึงอลแข้งขาอ่อนแรง จำต้องจับเอวของอีกฝ่ายไว้ถึงไม่ทรุดฮวบลง
เสียงหอบหายใจหนักๆ ขณะที่ปากกับลิ้นสองคู่บดเบียดกันดังไปทั่วห้องเล็กๆ แยกไม่ออกว่าเป็นของใคร ทั้งยังมีอีกเสียงหนึ่งที่แยกไม่ออกคือเสียงหัวใจเต้นดังโครมคราม
ชายหนุ่มกอดรัดร่างในอ้อมอกแน่นขึ้น แม้ความเจ็บปวดจะแล่นปราดมาจากฝ่ามือเขาก็ไม่แยแสสักนิด ยามนี้เขาแค่อยากจับคนในวงแขนหลอมรวมเข้าไปในร่างกายตน
ไม่แบ่งแยกกันและกันอีกต่อไป ไม่อยากได้ยินนางพูดว่าไม่อยากออกเรือนหรือไม่อยากเดินเส้นทางเก่าอันใดอีก
ชาตินี้เจาเจามีเพียงเส้นทางเดียวก็คือออกเรือนให้เขาและเป็นคนของเขา
หากนางไม่เต็มใจ เช่นนั้นเขาก็ตบแต่งนางเป็นภรรยาและเป็นคนของนาง
ชายหนุ่มจูบเด็กสาวในอ้อมกอดอย่างบ้าคลั่ง ถึงเขาจะดูเงอะงะอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังทำอย่างสะเปะสะปะในตอนแรกเขาก็จับเคล็ดได้อย่างรวดเร็ว ลากไล้ปลายลิ้นไปทั่วทุกจุดในโพรงปากนาง พอมันกวาดผ่านจุดหนึ่งก็สร้างความสั่นสะท้านให้คนทั้งคู่เป็นระลอกๆ
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจถี่รัวของนาง ยังมีมือเรียวเล็กที่กอดเอวเขาไว้อย่างอ่อนแรง ความยับยั้งชั่งใจที่ยอดเยี่ยมเหนือใครในยามปกติของเขาก็พังทลายราบคาบ เขาแทบจะทำไปตามสัญชาตญาณดิบ เลื่อนมือทั้งสองข้างลงไปโอบรอบเอวเล็กบางแล้วดันเข้ามาแนบชิดกับจุดที่ร้อนระอุของตน
ชั่วพริบตาที่ถูกสิ่งนั้นจ่อตัว เฉียวเจาคล้ายตื่นจากฝัน นางกัดลิ้นของเซ่าหมิงยวนเต็มแรง ฉวยจังหวะที่เขาคลายมือด้วยความเจ็บหลบหลีกการจูบโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะพูดเสียงดังด้วยความโกรธระคนอับอาย “เซ่าหมิงยวน ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”
ทว่าคนที่กอดนางไว้เหมือนกับไม่ได้ยินกระนั้น ยังก้มหน้ามาจูบนางต่ออย่างหนักหน่วง
เฉียวเจาซึ่งได้สติแล้วไม่คำนึงถึงแผลที่มือของอีกฝ่ายอีก ยกเท้าเตะบุรุษที่ใจกล้าบ้าบิ่นผู้นี้โดยไม่ยั้งแรง
เขาจับเท้าที่เตะมาของเด็กสาวไว้ ซ้ำยังถือโอกาสยกขานางขึ้นเกี่ยวกับเอวของตนเอง
เมื่อแผ่นหลังของนางแนบติดผนัง สัมผัสเย็นเฉียบที่แผ่มาทำให้เฉียวเจาทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยวเหลือแสน นางอ้าปากกัดแขนของเขาสุดแรง
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไป เขามองท่วงท่าในขณะนี้ของคนทั้งคู่ด้วยสีหน้างุนงง
เอ่อ ท่านี้…
เลือดกำเดาไหลออกมาทางจมูกของแม่ทัพหนุ่มทันควัน ก่อนจะหยดกระเด็นใส่ชุดกระโปรงของเด็กสาวจนเปรอะเปื้อน
เดิมทีชุดของนางเป็นสีเรียบเกลี้ยง พอเลือดหยดใส่ก็เหมือนกับดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่งกระจัดกระจายบนผ้าสีขาว
เฉียวเจาเงื้อมือขึ้นด้วยความโมโห
แม่ทัพหนุ่มหน้าแดงหลุบตาลง “เจาเจา ข้าเวียนศีรษะอยู่ ตีเบาๆ หน่อยได้หรือไม่”
เฉียวเจากำมือเป็นหมัดแล้วทิ้งลงข้างลำตัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นางกล่าวเสียงขุ่น “เซ่าหมิงยวน วางข้าลง”
เซ่าหมิงยวนปล่อยตัวนางอย่างเชื่อฟัง
นางกัดริมฝีปากแน่น
เจ้าคนบ้าถือว่าตนบาดเจ็บอยู่เลยชักเอาใหญ่แล้วสินะ เมื่อครู่นี้เขาตั้งใจจะทำอะไร รังแกว่าข้าไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ นางมิใช่เด็กสาวอายุสิบกว่าปีจริงๆ สักหน่อย
เจ้าคนเจ้าชู้ต่ำช้าไร้ยางอาย!
เขากล้าดีอย่างไร เขาทำได้อย่างไร!
แม่นางเฉียวโกรธจัดจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ ไม่หลงเหลือความสุขุมเยือกเย็นตามปกติยามอยู่ต่อหน้าผู้คนให้เห็นแม้สักเศษเสี้ยว
ชั่วขณะนี้เซ่าหมิงยวนไม่อาจสงบอารมณ์ลงได้เฉกเดียวกัน
เมื่อครู่นี้ดูคล้าย…เหมือนกับว่า…จะทำเกินขอบเขตไปแล้วจริงๆ
ถึงกระนั้น…เฉินกวงพูดไว้ไม่ผิด ใจกล้าหน้าหนาเป็นสิ่งสำคัญมาก เรื่องที่เขาไม่กล้าทำแม้แต่ในความฝัน เจาเจาถึงกับไม่ตบเขา!
เซ่าหมิงยวนใจเต้นแรงเหมือนรัวกลอง เจาเจาหักใจตบเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ว่านี่หมายถึงในใจเจาเจามีเขาอยู่
“ยื่นมือออกมา” เสียงเย็นชาของเด็กสาวดังขึ้น
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปอย่างว่าง่าย
ผ้าโปร่งบางสีขาวสะอาดมีรอยเลือดซึมออกมา เห็นชัดว่าเพราะเมื่อครู่ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้นจนแผลตรงอุ้งมือเปิดออกอีก
เฉียวเจาทำหน้าตึงขณะแกะผ้าออก ปรากฏมีเลือดไหลออกมาจากปากแผลดังคาด
“รีบเช็ดเลือดกำเดาของท่านออกให้เกลี้ยงโดยไว” เฉียวเจาล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาขว้างใส่แผ่นอกเขา
เซ่าหมิงยวนใช้มือกดผ้าเช็ดหน้าไว้ไม่ให้หล่นอย่างเก้งก้าง เขามุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความเจ็บเพราะกระเทือนถูกบาดแผล
นางเห็นดังนั้นแล้วสะดุ้งโหยงในใจ
ก่อนหน้าชาติที่แล้วนางต้องติดหนี้บุรุษผู้นี้เป็นแน่ ชาติก่อนถูกเขายิงธนูสังหารกับมือยังไม่พอ ชาตินี้ยังต้องโดนเขาตามพัวพันอย่างไม่ลดละ
เผอิญว่าอยากจะหลบหนีเป็นเรื่องยากกว่าที่นางนึกภาพไว้
เฉียวเจาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดกำเดาให้เซ่าหมิงยวนออกจนหมดโดยไม่กล่าววาจา นางโยนผ้าทิ้งลงบนพื้นด้วยสีหน้าง้ำงอก่อนตะเบ็งเสียงเรียก “อาจู กลับไปเอาผ้าโปร่งบางที่ห้องมา”
“เจ้าค่ะ” เสียงขานรับของอาจูดังมาจากนอกประตู
ไม่นานนักอาจูนำผ้าโปร่งบางมาถึง นางยืนบอกอยู่หน้าประตู “คุณหนู ข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
ได้ยินถ้อยคำนี้ของสาวใช้ ใบหน้าของเฉียวเจาร้อนผ่าวๆ เป็นระลอก นางอดถลึงตาใส่เซ่าหมิงยวนอย่างดุดันไม่ได้
เมื่อครู่เขาทำตัวเหมือนสุนัขป่าหิวโซตัวหนึ่ง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอาจูกับเยี่ยลั่วได้ยินเสียงดังในห้องหรือไม่
“เข้ามา” เฉียวเจาพยายามวางท่าเป็นปกติสุดความสามารถ
จนใจที่รอยดอกเหมยสีแดงเป็นจุดๆ บนกระโปรงโดดเด่นสะดุดตาเหลือเกิน อาจูผู้สุขุมหนักแน่นเป็นนิจยังเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่ นางมองไปทางเซ่าหมิงยวนอย่างแปลกใจ
เฉียวเจาหน้าร้อนซู่ นางกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกล่าว “ผ้าโปร่งบาง”
อาจูดึงสายตาคืนแล้วยื่นผ้าโปร่งบางส่งให้ จากนั้นไม่รอให้คุณหนูของตนออกคำสั่งก็หมุนกายเดินออกนอกประตูไปอย่างรู้หน้าที่
เฉียวเจาหันไปมองเซ่าหมิงยวน
เขายื่นมือใหญ่มาตรงหน้านางพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างๆ
นางไม่มองเขาอีก เพียงใส่ยาและพันแผลอย่างคล่องแคล่วว่องไว เรียบร้อยแล้วก็รีบหมุนกายจะออกไป
“เจาเจา…” ชายหนุ่มอารามร้อนรน ยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อนางไว้
นางหันกลับมาพูดเสียงเย็นๆ “เซ่าหมิงยวน เพิ่งพันแผลให้ท่านเสร็จนะ ท่านไม่ต้องการมือของตนเองแล้วหรือ”
“ต้องการ”
“เช่นนั้นท่านยังไม่ปล่อยมืออีก”
“ไม่ปล่อย ปล่อยมือแล้วเจ้าก็กลับไปด้วยความโมโห”
“เซ่า-หมิง-ยวน!” เฉียวเจาเรียกขานชื่อนี้โดยเน้นเสียงหนักทีละคำ นางกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ท่านหน้าหนาเพียงใดกันแน่”
“ข้าก็รู้เหมือนกัน” แม่ทัพหนุ่มทำหน้าซื่อๆ กล่าวตอบ
เขาอยากหน้าหนามากเท่าไรก็ได้ ขอแค่แต่งเจาเจาเข้าเรือนได้เท่านั้นเป็นพอ
เฉียวเจาหลับตาลง พูดด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “เซ่าหมิงยวน ท่านจะปล่อยมือหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนจับน้ำเสียงและพิศดูสีหน้าของนางแล้วตัดสินใจปล่อยมือทันที
อันว่าข้าศึกรุกเราถอย รู้จักหยุดในจังหวะเหมาะสม ยอมถอยเพื่อรุก กลศึกเหล่านี้ยังจำเป็นต้องนำมาใช้บ้าง
“เซ่าหมิงยวน วันนี้ท่านทำเกินไปแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าลง “ใช่ ข้ารู้ว่าเมื่อครู่นี้ทำไม่ถูก”
เฉียวเจากัดริมฝีปาก ริมฝีปากที่บวมเจ่อย้ำเตือนนางถึงเรื่องน่ากระอักกระอ่วนนั่นอยู่ตลอด ทว่าท่าทางก้มหน้ายอมรับผิดโดยไม่แก้ตัวสักนิดของบุรุษตรงหน้าทำให้นางไม่มีที่ระบายไฟโทสะเหมือนกับชกลงไปบนปุยนุ่น
ให้เขายอมรับผิดเขาก็ยอมรับผิด แต่คล้อยหลังเขาอยากจูบก็จูบ ตกลงว่านางสมควรทำอย่างไรกับบุรุษพรรค์นี้ ท่านปู่ท่านย่าไม่เคยสั่งสอนนางมาก่อนเลยว่าพานพบบุรุษเช่นนี้พึงรับมือด้วยวิธีใดจึงจะดี
ไม่ถูกสิ ถ้าเป็นบุรุษอื่น นางคงเอาเข็มแทงให้ลำตัวท่อนล่างพิการโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยแน่นอน
แต่ว่าบุรุษผู้นี้คือเซ่าหมิงยวน
นางยอมรับว่านางทำไม่ลง