หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 443
บทที่ 443
เฉียวเจาคิดว่านางคงจะชมชอบเจ้าทึ่มผู้นี้อยู่เล็กน้อย
ถ้าไม่มีการเดินทางสู่แดนเหนือครั้งนั้น นางยังคงอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตในเมืองหลวงเฝ้ารอเขายาตราทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บางทีนางกับเขาอาจครองคู่กันอย่างปรองดองให้เกียรติไปชั่วชีวิต
น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’
นางตายแล้วฟื้นคืนชีพและเคยประสบผ่านชีวิตแต่งงานที่เป็นดั่งกรงขัง มิใช่ง่ายดายกว่าจะได้รับอิสรภาพอีกครา นางไม่อยากกลับเข้าไปในกรงขังอันนั้นอีกแล้ว
“เจาเจา…” สีหน้าของเด็กสาวทำให้เซ่าหมิงยวนใจคอไม่ดีอย่างปราศจากเหตุผล
ตอนนางตัดรอนสหายรักอย่างเด็ดเดี่ยว เขาเคยมองดูอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบ
หรือว่านางไม่มีความรู้สึกใดต่อเขาโดยสิ้นเชิงจริงๆ หรือ
ครั้นคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เซ่าหมิงยวนกำมือเป็นหมัดแน่นพร้อมพูดอย่างจริงจัง “เจาเจา รอกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราหมั้นหมายกันเถอะ”
“เป็นไปไม่ได้” เฉียวเจาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ลมหายใจของชายหนุ่มติดขัด นัยน์ตาดุจดวงดาราคืนเหมันต์แลมองนางเงียบๆ
สีหน้าของเฉียวเจาเรียบเฉย “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน”
แววปวดร้าวจุดวาบขึ้นในดวงตาเซ่าหมิงยวน หากมุมปากกลับแต้มรอยยิ้ม เขากล่าวเสียงนุ่ม “ข้าไม่ยอมรับ”
เขาอยู่ในนรกมายี่สิบปีก่อนจะได้พบเจอนางและหลงรักนาง เขาหมดความกล้าที่จะถอยกลับไปอีกแล้ว ชีวิตเช่นนั้นคงเหมือนตายทั้งเป็น
ความเสียใจของชายหนุ่มตกอยู่ในสายตาของเฉียวเจา ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดนางรู้สึกอึดอัดตรงกลางอกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่นางรู้ว่าเวลานี้จะใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกเขาตามตื๊อไปตลอดชาติ
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียวเจาทำใจแข็งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านไม่ยอมรับก็เปล่าประโยชน์ ในใจข้าไม่มีท่านอยู่”
สีหน้าของบุรุษตรงหน้าเผือดขาว แต่เขามิได้ถอดใจอย่างสิ้นท่าอย่างที่นางนึกไว้ กลับใช้วงแขนรวบตัวนางเข้าไปรัดไว้ในอ้อมอกแน่นๆ วางปลายคางเกยบนผมสีดำขลับพลางพูดทอดถอนใจเบาๆ “เจาเจา เจ้าโกหกข้า”
เขาประทับจูบเรือนผมเฉียวเจาทีหนึ่งแล้วยังจุมพิตหน้าผากนาง จากนั้นดันตัวนางออกเล็กน้อยแล้วสบตากับนางตรงๆ พร้อมกับถามเสียงหนัก “หากเป็นบุรุษอื่นทำเช่นนี้กับเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร เจาเจา อย่าหลอกตนเองอีกเลยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงแล้วหมั้นหมายกัน รอหลังจากเจ้าปักปิ่น ข้าค่อยแต่งเจ้าเข้าเรือน เจ้าต้องการชีวิตเช่นใด ข้าจะพยายามทำให้ได้ทั้งหมด”
นางเบือนหน้าไปทางอื่น
เซ่าหมิงยวนทรมานใจอย่างรุนแรง เขาก้มหน้าไปฉกจูบที่ปากนาง
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นแค่นยิ้มมองเขา “เซ่าหมิงยวน ท่านดีแต่รังแกข้าอย่างนี้หรือ เช่นนั้นข้าจะบอกท่านให้ สตรีคนอื่นเป็นเช่นไรข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้า ถึงกอดจูบไปแล้วก็ไม่นับว่ามีอะไร”
แม่นางเฉียวกล่าวถึงตรงนี้แล้วทำสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มจ้องมองชายหนุ่มที่ใบหน้าซีดเผือด นางพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ถึงอย่างไรพวกเราเคยแต่งงานกันแล้ว ข้าแค่อยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างก็เท่านั้น”
นางไม่เชื่อหรอกว่าพูดถึงเพียงนี้แล้ว เขายังจะตามตื๊อนางอย่างหน้าด้านหน้าทนอีก
“อยากรู้อยากเห็น?” เซ่าหมิงยวนคลายวงแขนออกแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาเขาทอแววลึกล้ำจนจับอารมณ์ไม่ออก “อยากรู้อยากเห็นอะไรหรือ”
เฉียวเจากล่าวเรียบๆ “อยากรู้อยากเห็นว่าจูบเป็นความรู้สึกแบบใด”
นางเอ่ยตอบคำนี้แล้วช้อนตาขึ้นมองเขานิ่งๆ เหยียดมุมปากออกกล่าวว่า “ที่แท้ก็แค่นี้เอง”
ชายหนุ่มหลับตาลง เพียงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับโดนใบมีดกรีด
เห็นท่าทางนี้ของเขาในใจหญิงสาวอึดอัดทรมานมาก นางอยากตัดปัญหาโดยไวจึงกล่าวต่อ “ถึงเปลี่ยนตัวบุรุษที่แต่งงานกับข้าเป็นใครก็ตาม ข้าคงจะอยากรู้อยากเห็นเหมือนกันหมด”
เซ่าหมิงยวนเพ่งสายตามองนาง “เจาเจา เจ้าเลิกพูดได้แล้ว”
เฉียวเจาผลิยิ้มละไม ยกมือขึ้นวางทาบบนแผงอกเขา เอานิ้วมือเรียวยาวจิ้มๆ ที่กล้ามอกแข็งแน่นของชายหนุ่มพลางพูดอย่างเยาะหยัน “เอาเป็นว่าข้าไม่ตั้งใจจะออกเรือนแล้ว ถ้าท่านหักห้ามใจไม่อยู่จริงๆ ก็ไม่มีอันใด ข้าจะปรุงยาเผื่อไว้ป้องกันการตั้งครรภ์…”
เซ่าหมิงยวนหน้าซีดจนน่ากลัว เขาตัดบทเฉียวเจาแล้วจูงนางไปที่หน้าประตู “เจาเจา เจ้าอยากยั่วโทสะข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าไม่อยากได้ยินเจ้ากล่าวคำพูดที่เป็นการเหยียบย่ำตนเองเฉกนี้ รอให้เจ้าใจเย็นลง พวกเราค่อยคุยกันเถอะ”
เขาเปิดประตูรุนหลังนางออกไปแล้วปิดประตูอย่างว่องไว จากนั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งยองๆ ก้มหน้าซุกกับหัวเข่า
เฉียวเจาจ้องเขม็งที่ประตูห้อง แพขนตากระพือขึ้นลงไม่หยุด
พึงเด็ดขาดไม่เด็ดขาดจะยุ่งยากไม่จบไม่สิ้น พูดกันให้รู้เรื่องแต่แรกล้วนเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย นางไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
“ไปเถอะ” เฉียวเจาพยักหน้ากับอาจู แต่สาวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเดิน หันไปเอ่ยกับเยี่ยลั่ว “ท่านแม่ทัพของเจ้ามีบาดแผลที่ศีรษะ เอาใจใส่เขาให้มากขึ้น”
เยี่ยลั่วยกมือลูบจมูก มองตามแผ่นหลังของเด็กสาวที่หมุนกายไป ทันใดนั้นเขาพลันบังเกิดปฏิภาณอย่างถูกจังหวะ จึงส่งเสียงกล่าวขึ้น “คุณหนูหลี ท่านแม่ทัพของข้ายังไม่กินอาหารเลยขอรับ”
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า
“พวกหยางซื่อจื่อน่าจะเก็บอาหารไว้ให้ อย่าลืมไปยกมาให้เขานะ” นางบอกคำนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนรีบเร่งจากไป
เยี่ยลั่วเบนหน้าไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทแล้วถอนใจเฮือก
ถ้าวันนี้คนที่เฝ้าอยู่ตรงนี้เป็นเฉินกวงก็คงดี ระหว่างคุณหนูหลีกับท่านแม่ทัพเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
แต่บนกระโปรงของคุณหนูหลีมีรอยเลือดเปรอะไปทั่ว…
เยี่ยลั่วครุ่นคิดแล้วก้าวขาไปหาเฉินกวง
เฉินกวงนั่งอยู่ที่หัวเรืออย่างโดดเดี่ยว สีหน้าเขาหมดอาลัยตายอยาก
“เฉินกวง…”
เขาไม่หันหน้าไป “อย่าเรียกข้า ข้าอยากโดดทะเล”
คนด้านหลังไม่เปล่งเสียงอยู่นานครู่หนึ่ง
เฉินกวงหันหน้าไปอย่างอดรนทนไม่ไหว “ไม่เคยเจอใครเงียบเป็นเป่าสากอย่างเจ้าเลย เจ้าจะไม่ถามดูหรือว่าเพราะอะไรข้าถึงอยากโดดทะเล”
ทำนิ่งขรึมเช่นนี้จะไม่ให้เขาได้ปรับทุกข์อย่างเต็มที่บ้างหรือไร
“ข้ารู้ว่าเพราะอะไร”
“เจ้ารู้หรือ” ดวงตาทั้งคู่ของเฉินกวงเบิกกว้าง
เยี่ยลั่วพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพูดมาสิว่าเพราะอะไร”
“เจ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ท่านแม่ทัพเลยปรับเงินเจ้าน่ะสิ นอกจากไปแตะต้องเงินสินสอดของเจ้า ยังมีอะไรทำให้เจ้าเป็นอย่างนี้ได้อีก”
“ไม่เลวเยี่ยลั่ว ข้ายังนึกว่าเจ้าเป็นท่อนไม้เสียอีก” เฉินกวงหันหน้ากลับไปมองท้องทะเล พูดอย่างเศร้าสร้อย “ดังนั้นข้าไม่อยากคุย แค่อยากโดดทะเล”
“เพราะอะไรต้องโดดทะเล”
“ไม่มีเงินเป็นค่าสินสอดแล้วข้าจะตบแต่งภรรยาได้เช่นไร”
เยี่ยลั่วทำสีหน้าฉงนใจ “พอเจ้าตบแต่งภรรยาก็มีเงินสินสอดแล้วไม่ใช่หรือ ท่านแม่ทัพต้องมอบเงินกำนัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน”
เฉินกวงกะพริบตาปริบๆ อย่างแจ่มแจ้งในบัดดล “นั่นสิ ในฐานะที่เป็นคนแรกในหมู่พี่น้องที่ได้ตบแต่งภรรยา ท่านแม่ทัพต้องใจกว้างควักเงินให้ข้าก้อนใหญ่เป็นแน่”
เห็นสหายกระชุ่มกระชวยขึ้นในพริบตา เยี่ยลั่วก็กล่าวรำพึงขึ้น “แต่ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรกับท่านแม่ทัพและคุณหนู เมื่อครู่นี้คุณหนูหลีเดินหน้าตึงออกจากห้องท่านแม่ทัพ มีเลือดเลอะติดทั่วกระโปรงเลย”
“อะไรนะ!” เฉินกวงกระโดดพรวดขึ้นจากพื้นด้วยท่าปลาไนดีดตัวลอยเหนือน้ำ มองเยี่ยลั่วตาโต “เจ้าอย่าพูดล้อเล่น”
เขาคิดๆ แล้วพูดพึมพำขึ้นอีก “ดูท่าว่าจะเป็นจริง เจ้าไม่ใช่คนชอบพูดล้อเล่น ไม่ได้ ข้าต้องไปหาท่านแม่ทัพสักหน่อย”
เฉินกวงวิ่งเร็วจี๋ไปถึงห้องของเซ่าหมิงยวนดุจสายลมระลอกหนึ่ง เขายืนบอกเสียงดังที่หน้าประตู “ท่านแม่ทัพ ข้าเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ”
นานครู่หนึ่งเสียงทุ้มห้าวของบุรุษถึงดังมาจากข้างใน “เข้ามาสิ”
เฉินกวงผลักประตูเข้าไป มองปราดเดียวก็เห็นท่านแม่ทัพนั่งเหม่ออยู่บนเตียง ถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวเปื้อนเลือดผืนหนึ่งไว้ในมือพลางจมอยู่ในภวังค์
สายตาของเฉินกวงแฝงนัยพิกลๆ
“มีเรื่องอะไร” เซ่าหมิงยวนเบือนหน้ามามองเขาแวบหนึ่ง แต่แววตากลับเลื่อนลอยไร้ประกาย
“ท่านแม่ทัพ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้…เป็นของคุณหนูหลี?”
“อื้อ”
“เฮือก…” เฉินกวงสูดลมหายใจเสียงดัง “โธ่ท่านแม่ทัพ แม้ว่าข้าจะพูดยุให้ท่านใจกล้าหน้าหนา แต่เช่นนี้ไม่ดีกระมัง”