หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 447
บทที่ 447
เฉียวเจายอมรับว่าเซ่าหมิงยวนต่างจากฉือชั่น
การตัดใจของฉือชั่นทำให้นางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
แต่เซ่าหมิงยวนไม่เหมือนกัน นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจิตใจนางหวั่นไหวไปกับเขาเช่นเดียวกัน
สำหรับนางแล้วความรักที่เขามีให้มิได้เป็นภาระอย่างเดียว ทว่าเป็นการได้อย่างเสียอย่าง แม้การได้ครองคู่กับคนที่ตนรักจะล่อใจนาง แต่ถ้านางยอม ‘สูญเสีย’ มันไป ก็จะ ‘ได้รับ’ สิ่งที่เรียกกว่า ‘อิสระ’
เป็น ‘อิสระ’ ที่มีแรงดึงดูดใจมากเหลือเกิน มากกว่าความใฝ่ฝันอยากครองคู่กับเขาชั่วชีวิต
เฉียวเจายกมือแตะกลางอก ในใจรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เสียใจภายหลัง
นางล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้วถอดเสื้อตัวนอกออก เอนตัวลงนอนฟังเสียงคลื่นทะเลนอกหน้าต่างอย่างกระสับกระส่าย
คนที่เฝ้าเวรผลัดดึกคืนนี้คือปิงลวี่ นางได้ยินเสียงคุณหนูของตนนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนู ท่านหิวจนนอนไม่หลับใช่หรือไม่เจ้าคะ”
คนบนเตียงหยุดนิ่ง
ปิงลวี่พลิกกายลุกขึ้นนั่ง “คุณหนู ข้าไปห้องครัวยกอาหารมาให้ท่านเถอะ”
เฉียวเจาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ต้อง ข้าไม่หิว”
“ไม่กินอาหารเย็นจะได้อย่างไรกันเจ้าคะ ปกติคุณหนูก็ผอมอยู่แล้ว ถ้าไม่กินข้าวอีกก็จะยิ่งผอม อีกทั้งยังจะตัวไม่สูงด้วย…” สาวใช้น้อยบ่นกระปอดกระแปด
ท่านแม่ทัพสูงใหญ่ปานนั้น ถ้าคุณหนูตัวสูงขึ้นอีกสักนิดก็จะดูสมกันมากขึ้น
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางพูดอย่างทอดถอนใจ “ปิงลวี่ ขืนเจ้าพูดอีกก็เปลี่ยนเป็นอาจูแทนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป”
“ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ยกมือปิดปาก นางข่มใจแล้วข่มใจอีกก็ยังถามต่อ “แล้วเหตุใดคุณหนูนอนไม่หลับเล่าเจ้าคะ”
เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งอย่างสุดจะทน นางพลิกกายลงจากเตียง หยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมแล้วก้าวขาเดินไปที่หน้าประตู
สาวใช้ผู้นี้พูดมากน่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเพราะอะไรถึงนอนไม่หลับ
“คุณหนู ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ ไปที่ห้องครัวใช่หรือไม่”
เฉียวเจาหลับตาลงลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนตอบ “ข้าออกไปเดินรอบๆ ไม่ต้องตามมา”
เมื่อผลักประตูก้าวออกจากห้อง สายลมเจือกลิ่นคาวน้ำทะเลพัดมาปะทะใบหน้า ยิ่งเดินไปทางด้านนอกเสียงลมทะเลยิ่งดังขึ้นราวกับว่าใต้ทะเลมีสัตว์ร้ายตื่นขึ้นจากการหลับใหลอย่างลับๆ ในยามรัตติกาล
นางเดินไปริมราวรั้วเรือ ยืนมองผืนทะเลสีดำแกมน้ำเงินอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย
ใต้แสงเดือนที่สาดส่องลงมา ผิวน้ำสะท้อนประกายระยิบระยับ
นี่เป็นราตรีที่เงียบสงบในคืนนั้น เงียบสงบเสียจนได้ยินเพียงเสียงจากท้องทะเล
ประเดี๋ยวก่อน…
สีหน้าของเฉียวเจานิ่งขึงไปเล็กน้อย นางได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ
กับคนใกล้ชิดคุ้นเคย นางแยกเสียงฝีเท้าได้อย่างแม่นยำ
เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีเป็นของคนสองคน หนึ่งในนั้นคือเซ่าหมิงยวน
เขาเวียนศีรษะนอนหลับไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนดึกดื่นป่านนี้ถึงเดินเล่นอยู่ข้างนอก
เฉียวเจาหมุนกายเอาหลังพิงราวรั้วมองไปข้างหน้า เห็นเซ่าหมิงยวนกับเฉินกวงเดินตรงมาทางนี้
เฉินกวงเดินนำหน้าสองก้าว ส่วนเซ่าหมิงยวนเดินตามหลัง
นางทอดสายตาข้ามเฉินกวงไปหยุดอยู่ที่ตัวเซ่าหมิงยวน
กลางผืนราตรีนางยังมองเห็นลักษณะท่าทางของเขาได้ชัดถนัดตาเพราะบนเรือแขวนโคมไฟไว้จำนวนมาก
นัยน์ตาเขาใสแวววาวดุจหินนิลดำ สีหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ เขามองนางราวกับเป็นคนแปลกหน้า ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อยนิด
“คุณหนูหลี ท่านอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” เฉินกวงพลันส่งเสียงพูดขึ้น
“ออกมาเดินเล่น” นางมองไปทางชายหนุ่ม “พี่เซ่านอนหลับไปแล้วมิใช่หรือ”
เซ่าหมิงยวนมองนางพลางยิ้มน้อยๆ “ตอนหลังนอนไม่หลับ รู้สึกอึดอัดอยู่สักหน่อยเลยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์”
“ยังเวียนศีรษะหรือไม่”
“ยังมีเล็กน้อย”
เฉียวเจาอดมองบุรุษตรงหน้าอย่างพินิจไม่ได้
นางถามคำหนึ่งเขาตอบคำหนึ่ง ไม่พูดมากกว่านี้แม้แต่คำเดียว นี่เขาจะวางตัวออกห่างจากนางโดยสิ้นเชิงหรือ
สมกับเป็นคนที่รบทัพจับศึกมาเป็นเวลานาน เด็ดขาดตรงไปตรงมา ทันทีที่ตัดใจได้ก็หมดสิ้นเยื่อใยเฉกเดียวกับลูกธนูตรงเชิงกำแพงเมืองเยี่ยนดอกนั้น
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน…
เฉียวเจาเม้มปากแล้วพูดเสียงเรียบ “ถ้ายังรู้สึกเวียนศีรษะ แม่ทัพเซ่าก็กลับไปพักผ่อนเถอะ การนอนเป็นยาบำรุงที่ดีที่สุด”
ชั่วพริบตาที่ได้ยินคำเรียกขานว่า ‘แม่ทัพเซ่า’ เซ่าหมิงยวนขยับปากแล้วหลุบเปลือกตาลง เขาขานตอบในลำคอเฉยๆ “อื้อ”
เฉียวเจาไม่อยากอยู่ต่อไปอีกเช่นกัน นางยอบกายเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะแม่ทัพเซ่า”
“คุณหนูหลีค่อยๆ เดิน”
ใต้แสงจันทร์เด็กสาวในชุดสีเรียบเดินเร็วรี่ห่างออกไป แม่ทัพหนุ่มจับจ้องทิศทางที่นางจากไป ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่เขาไม่เบนสายตาออกเลย
“ท่านแม่ทัพ…” ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด เฉินกวงเห็นท่าทางของท่านแม่ทัพกับคุณหนูหลีแล้วรู้สึกคับใจเป็นระลอก เขาเปล่งเสียงเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
“มีอะไรหรือ”
“ท่าน…” เฉินกวงนึกถึงคำสั่งก่อนหน้านี้ของท่านแม่ทัพขึ้นได้ เขาถอนหายใจหนักๆ เฮือกหนึ่ง “หรือไม่กลับไปพักเถอะขอรับ”
“นางกลับถึงห้องแล้วหรือ” เซ่าหมิงยวนถามเสียงเบา
“กลับถึงแล้วขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพาข้าเดินไปทั่วๆ ต่อ” แม้ดวงตามองไม่เห็น แต่เขากลับอยากเห็นท่าทางของนางมากขึ้น รู้แต่แรกเมื่อก่อนมองดูนางให้มากๆ จะดีสักปานใดหนอ
เมื่อครู่เจาเจากลับไปเรียกข้าว่า ‘แม่ทัพเซ่า’ แล้วไม่น่าฟังเท่าเรียกว่า ‘พี่เซ่า’ เลย เซ่าหมิงยวนคิดคำนึงอย่างหดหู่ใจ
เขาคิดอีกว่า ความจริง ‘คุณหนูหลี’ ก็ไม่น่าฟังเหมือน ‘เจาเจา’
รสชาติขมปร่าแผ่ลามไปทั่วกลางอก เป็นเหตุให้ชายหนุ่มสะดุดเท้าตนเอง
เฉินกวงรีบประคองเขา “ท่านแม่ทัพ ระวัง”
เซ่าหมิงยวนสะบัดมือเขาออก บอกเสียงเรียบเฉย “เคยบอกแล้วว่าอย่าพยุงข้าไม่ใช่หรือ”
เขาต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับชีวิตที่ดวงตามองไม่เห็น ส่วนชีวิตที่ไม่มีเจาเจา เขาก็ต้องปรับตัวให้คุ้นเคยเช่นกัน
ชีวิตคนเราเป็นอย่างนี้เองมิใช่หรือ มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ถึงไม่ยินยอมพร้อมใจก็จำต้องยอมรับอย่างเงียบๆ แล้วกัดฟันเดินหน้าต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเมฆดำบดบังดวงตะวันเจิดจ้าไว้ นกทะเลบินโฉบลงมาต่ำมาก เปล่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วดังกังวานเป็นระยะ
ปกติทุกคนจะต่างคนต่างกินอาหารเช้าในห้องของตน เฉินกวงยกอาหารเข้ามาวางลงตรงหน้าเซ่าหมิงยวน “ท่านแม่ทัพ ได้เวลากินอาหารแล้วขอรับ”
เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไป
“ใต้เท้า มือท่านยังมีบาดแผลอยู่นะ ข้าป้อนท่านเถอะ”
“ไม่ต้อง ข้าลองทำความคุ้นเคยกับมันดูก่อนค่อยว่ากัน”
เจาเจาฉลาดถึงเพียงนั้น ไม่ปรับตัวให้คุ้นเคยโดยเร็วที่สุด เกิดนางจับพิรุธได้จะทำฉันใด
เมื่อเห็นผู้เป็นนายยื่นมือข้ามหมั่นโถวไปที่ชามโจ๊ก เฉินกวงขยับปากแต่ฝืนข่มใจไว้ไม่อ้าปากพูดเตือน
ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นแตะโดนขอบชามแล้วเลื่อนลงข้างล่างจับชามไว้อย่างมั่นคง ค่อยยื่นมือขวาไปหยิบช้อน
เฉินกวงทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อครู่เขาวางช้อนไว้ทางฝั่งซ้ายของชามโจ๊ก
ขณะลังเลใจอยู่ว่าจะเอ่ยเตือนสักคำหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นแล้วชามโจ๊กพลันถูกปัดตกลงพื้น โจ๊กร้อนๆ หกใส่ตัวเซ่าหมิงยวน
เฉินกวงสะดุ้งสุดตัว “ท่านแม่ทัพ! ท่านคงไม่ได้โดนลวกนะขอรับ”
เขาคว้าผ้าเช็ดโต๊ะใกล้มือมาเช็ดให้ผู้เป็นนายจนมือเป็นระวิง เซ่าหมิงยวนกลับพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ไม่ต้องลุกลน ข้าไม่เป็นไร”
เฉินกวงก้มศีรษะตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโจ๊กตรงชายเสื้อคลุมของเซ่าหมิงยวนออก ทว่าน้ำตาของบุรุษรื้นขึ้น เขาเช็ดไปๆ ก็ร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านแม่ทัพ บอกกับคุณหนูหลีให้สิ้นเรื่องสิ้นราวจะดีกว่า…”
“หุบปาก!” สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มที่ยังนิ่งเฉยอยู่เมื่อครู่นี้พลันบึ้งตึงทันใด เขากล่าวเสียงกระด้าง “เฉินกวง หากให้ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก เจ้าไม่ต้องติดตามข้างกายข้าอีกแล้ว”
“ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ ข้าแค่…” แค่สงสารท่าน
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืนพลางถอดเสื้อคลุมยาวออกพลางพูด “หยิบอาภรณ์มาให้ข้าชุดหนึ่ง”
“รอสักครู่ขอรับ” เฉินกวงกุลีกุจอวิ่งไปรื้อหีบค้นตู้เป็นการใหญ่
ชายหนุ่มเพิ่งถอดเสื้อตัวนอกออกก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น