หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 449
บทที่ 449
เฉียวเจาลุกขึ้นยืนมองไปทางที่ปิงลวี่ชี้บอก เห็นเรือโดยสารขนาดกลางลำหนึ่งแล่นเอื่อยๆ เข้ามา
หลังจากออกทะเลกององครักษ์จินอู๋แบ่งเวรกันหลายผลัด จึงมีคนสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวรอบทิศทุกเมื่อ เพลานี้เห็นมีเรือเข้ามาใกล้ก็รีบรายงานต่อพวกหยางโฮ่วเฉิง
หยางโฮ่วเฉิงกับฉือชั่นเดินออกมายืนที่หัวเรือทอดสายตามองไป
“ไฉนเรือลำนี้ถึงลอยมาตามกระแสน้ำ ดูเหมือนจะไม่มีคนกระนั้น” หยางโฮ่วเฉิงกล่าวพึมพำ
“ไปบอกกล่าวกวนจวินโหวสักคำ” ฉือชั่นออกคำสั่งกับองครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่ง
อันว่าคนทุกคนต่างมีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน สำหรับเรื่องเช่นนี้เซ่าหมิงยวนจัดการได้เชี่ยวชาญกว่าพวกเขามาก จึงต้องแจ้งให้เขารู้อย่างทันท่วงทีเป็นการรอบคอบไว้ก่อน
ทางเซ่าหมิงยวนได้รับข่าวแล้ว เฉินกวงชักร้อนใจมาก “ท่านแม่ทัพ ท่านเห็นว่า…”
“เจ้าไปสังเกตการณ์ก่อน ข้าเข้าห้องชำระกายแล้วจะตามไป”
เฉินกวงเข้าใจความหมาย เขาเดินตามองครักษ์จินอู๋ผู้นั้นออกไป
“ท่านโหวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉือชั่นเห็นเซ่าหมิงยวนไม่มาก็ฉงนใจอยู่บ้าง
แม้ว่าถิงเฉวียนจะไม่ค่อยสบาย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะไม่ปรากฏกาย
“อีกประเดี๋ยวท่านแม่ทัพก็มาขอรับ” พอเห็นเฉียวเจาอยู่ด้วย เฉินกวงลดสุ้มเสียงลง “ท่านเข้าห้องชำระกายอยู่ขอรับ”
ฉือชั่นถึงคลายความฉงนใจ
ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นเซ่าหมิงยวนกับเยี่ยลั่วเดินมา
เฉียวเจาเหลียวไปมองแวบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ ความรู้สึกขัดๆ ก็บังเกิดขึ้นซ้ำอีกครา
หลังจากเซ่าหมิงยวนฟื้นขึ้นมาเมื่อวานนี้ เขาแปลกไปที่ตรงใดกันแน่
นางหลับตาลงทบทวนความทรงจำ ในหัวพลันมีแสงสว่างวาบขึ้น นางค้นพบว่าจุดใดไม่ปกติแล้วในที่สุด
ตำแหน่งไม่ถูกต้อง!
ในความทรงจำของนางมีเหตุการณ์ที่เซ่าหมิงยวนปรากฏตัวหลายครั้งหลายหนมาก ทุกๆ ครั้งเขาจะเดินนำหน้าด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะอย่างเยือกเย็น มีองครักษ์ตามหลังอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
แต่ตอนพบกันที่หัวเรือเมื่อคืนจนกระทั่งเขาออกมาในวันนี้ องครักษ์ประจำกายกลับเดินอยู่ข้างหน้าเขา
จะเป็นการถือโคมเดินในยามวิกาลหรือระหว่างการเดินทาง บ่าวรับใช้จะเดินนำทางอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายหาใช่เรื่องแปลก ทว่าพอเป็นในเวลานี้จะดูขัดๆ อยู่บ้าง
สายตาของเฉียวเจาจับไปที่ตัวบุรุษซึ่งเดินตรงมา
ฝีเท้าของเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอดุจเก่า มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างเป็นมิตร เดินตรงมาทางพวกนางโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา เขาหลุบเปลือกตาลงทำให้อ่านความรู้สึกจากแววตาไม่ได้
เฉียวเจาใจดิ่งวูบ
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนงดงามมาก มิใช่งดงามเป็นประกายแพรวพราว แต่จะกระจ่างใสชวนมองดุจหินนิลดำ เวลาที่เขามองมาราวกับมีดวงดาวคืนเหมันต์อยู่ในนั้น กะพริบแสงระยิบระยับอาบไล้คนที่เขาจ้องมองอยู่อย่างจดจ่อ ชวนให้หลงใหลมัวเมา
ทว่าตั้งแต่เมื่อวานตอนนางมองเห็นเขา เขาจะทำท่าหลุบตาลงต่ำเสมอ
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนมีปัญหา!
ความคิดนี้ผุดขึ้นในห้วงความคิดของเฉียวเจาดุจสายฟ้าแลบ ส่งผลให้นางรู้สึกคล้ายตกลงสู่โพรงน้ำแข็ง
เพราะบาดเจ็บบริเวณศีรษะจึงเป็นต้นเหตุให้ดวงตาทั้งคู่สูญเสียการมองเห็น อาการในลักษณะนี้ใช่ว่าไม่มีอยู่ หรือว่าตาเขามองไม่เห็นแล้ว
เฉียวเจาจ้องมองบุรุษซึ่งเดินมาใกล้ขึ้นทุกทีจนตาเขม็ง กระนั้นยามนี้บุรุษซึ่งเคยมีเงาสะท้อนของนางอยู่เต็มสองตาในกาลก่อนกลับไม่มองนางสักแวบเดียว ประหนึ่งว่านางไม่มีตัวตนอยู่
นางนึกว่าเขาตัดใจแล้ว หรือจะบอกว่าเป็นเพราะตาเขามองไม่เห็น ดังนั้นถึงได้ทำเย็นชากับนางถึงที่สุดอย่างกะทันหัน
ไม่ได้ นางต้องยืนยันให้แน่ใจ
เฉียวเจาย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว บุรุษผู้นั้นพลันชะงักเท้า เหลือบตาขึ้นมองมายังทิศทางที่นางอยู่ จากนั้นทำท่าทางสงบนิ่งเฉยเมยดุจเก่า เดินไปทางพวกฉือชั่น
นางเห็นได้ชัดถนัดถนี่ว่าเขาหยุดฝีเท้าหลังจากเยี่ยลั่วหยุดเดิน
“ถิงเฉวียน เจ้าดูสิ มีเรือลำหนึ่งแล่นมาจากทางโน้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
เซ่าหมิงยวนเท้าแขนกับราวรั้วเรือทอดสายตามองไป
เฉินกวงกล่าวโพล่งขึ้น “ท่านแม่ทัพ เรือลำนั้นดูเหมือนไม่มีคน มันลอยเข้ามาตามทิศทางของกระแสน้ำ ทั้งที่เป็นเรือที่นั่งได้ยี่สิบสามสิบคนแต่กลับว่างโหรงเหรง น่าแปลกเหลือเกินขอรับ”
นัยน์ตาเฉียวเจาทอประกายเข้มขึ้น นางเม้มมุมปาก
คำกล่าวนี้ของเฉินกวงฟังดูไม่มีอันใดผิดปกติ เป็นการรายงานสถานการณ์ต่อผู้เป็นนาย ปกติแล้วไม่มีทางทำให้คนอื่นเอะใจ แต่พอคิดถึงว่าดวงตาของเซ่าหมิงยวนมีปัญหาก็จะรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง
เฉินกวงพูดออกมาว่าเรือนั่งได้กี่คน อันที่จริงเป็นการบอกขนาดของเรือกับเซ่าหมิงยวนทางอ้อม
ดังนั้นเซ่าหมิงยวนมองไม่เห็นแล้วจริงๆ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ ในใจหญิงสาวสับสนว้าวุ่นไปหมด นางอยากดึงตัวเขามายืนยันให้แน่ใจเดี๋ยวนี้ใจจะขาด แต่เมื่อเห็นองครักษ์จินอู๋ตรงหัวเรือพวกนั้น นางจึงไม่อาจไม่สะกดอารมณ์ชั่ววูบนี้ไว้อย่างสุดกำลัง
องครักษ์กลุ่มนี้เป็นเพียงผู้อยู่ใต้อาณัติของหยางโฮ่วเฉิง ไม่ใช่คนสนิทของเขา
อันว่ามากคนมากความ ถ้ารู้ว่าเซ่าหมิงยวนมองไม่เห็น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะคิดอ่านอะไรอยู่ในใจ
เซ่าหมิงยวนได้รับแต่งตั้งเป็นท่านโหวตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นคนเก่งมากพรสวรรค์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วหล้า ฉะนั้นจะมีคนอิจฉาริษยามากเท่าไรก็สุดรู้ ถ้าดวงตาเขาไม่อาจหายดีได้ในเวลาสั้นๆ เขาต้องเผชิญกับสภาพการณ์ใดเพียงตรองดูก็รู้ได้
“ท่านแม่ทัพ เรือลำนั้นอยู่ห่างจากเรือของพวกเราไม่ถึงยี่สิบจั้งแล้ว จะทำอย่างไรขอรับ” เฉินกวงเอ่ยถาม
เซ่าหมิงยวนเบนหน้าไปถามหยางโฮ่วเฉิง “ฉงซาน เจ้าเห็นว่าสมควรทำเช่นไร จะอย่างไรเจ้าเป็นหัวหน้าขบวนเดินทางคราวนี้”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง เพราะอะไรตอนนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นหัวหน้า
อืม สงสัยถิงเฉวียนคงอยากทดสอบว่าข้าจะรับผิดชอบภาระหน้าที่ด้วยตนเองได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าหนนี้ข้าแสดงฝีมือได้ดี วันหน้าถิงเฉวียนอาจเต็มใจพาข้าไปสนามรบด้วย
เมื่อคิดไปเช่นนี้หยางโฮ่วเฉิงคึกคักฮึกเหิมขึ้นมาเหมือนดื่มยาชูกำลังเข้าไป เขาถูมือไปมาพลางกล่าว “พวกเราโยงเรือไว้ด้วยกันก่อนค่อยไปดูลาดเลาบนเรือลำนั้นเถอะ ถึงอย่างไรตรงนี้เป็นกลางทะเล รอบตัวมีแต่ฟ้ากับน้ำ ถ้าเรือลำนั้นโดนชาววอโค่วปล้นสะดม เกิดยังมีคนบาดเจ็บที่รอดชีวิตอยู่เล่า”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“ถิงเฉวียน เจ้าว่าอย่างไร” ฉือชั่นเอ่ยถามเขา
“โยงเรือไว้ด้วยกัน จากนั้นรอดูก่อน”
“รอดูก่อนหมายความว่าอะไร”
ขณะนี้เซ่าหมิงยวนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เขาจำเป็นต้องระมัดระวังเต็มที่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน “รอสักหนึ่งชั่วยามแล้วให้เยี่ยลั่วไปตรวจดูบนเรือคนเดียว”
ฉือชั่นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจ้าห่วงว่าจะเป็นกลลวง?”
เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ “ผู้มีความระวังถือหางเสือเรือได้นานหมื่นปี*”
“หากเป็นเช่นนี้เยี่ยลั่วขึ้นไปตรวจดูคนเดียวจะไม่อันตรายเกินไปหรือ”
“เยี่ยลั่วไปคนเดียวเหมาะสมที่สุด พอเกิดเหตุพลิกผันอะไรขึ้น เยี่ยลั่วกระโดดขึ้นจากเรือได้ทันที ส่วนพวกเราทางนี้ก็ตัดเชือกที่โยงเรือเข้าไว้ด้วยกันได้เลย”
เซ่าหมิงยวนพูดอธิบายจบแล้วบอกกับหยางโฮ่วเฉิง “ฉงซาน สั่งให้องครักษ์จินอู๋เตรียมธนูไว้ให้พร้อม ขอแค่เยี่ยลั่วขึ้นไปบนเรือ ให้เตรียมพร้อมเข้าสู่การสู้รบได้ทุกเวลา”
หยางโฮ่วเฉิงเบ้ปาก “นี่เกินกว่าเหตุไปแล้วกระมัง”
“เบื้องหน้าความเป็นความตาย ทำอย่างไรล้วนไม่เกินกว่าเหตุ” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างขึงขัง
ถ้าดวงตาเขาเป็นปกติย่อมตัดสินใจได้แม่นยำกว่านี้ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องระวังแล้วระวังอีก
“หากเป็นอย่างนี้พวกเราไม่ต้องสนใจเรือลำนั้นก็สิ้นเรื่อง” การเตรียมการของเซ่าหมิงยวนทำให้หยางโฮ่วเฉิงใจคอไม่ดี
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าเกิดบนเรือมีคนได้รับบาดเจ็บเล่า”
ถ้อยคำเดียวก็ทำให้หยางโฮ่วเฉิงนิ่งอึ้งไปอย่างพูดไม่ออก
พวกเขาคงมองดูสหายร่วมแผ่นดินที่รอคอยความช่วยเหลือตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างเลือดเย็นปานนั้นมิได้
“มีใจช่วยเหลือคนไม่ผิด แค่อย่าทำอย่างขาดสติเป็นพอ” เซ่าหมิงยวนกล่าวยิ้มๆ
เรือลำนั้นลอยมาใกล้ๆ ในที่สุด คนเรือบนเรือลำที่เฉียวเจาอยู่โยนเชือกเกลียวออกไปตามแผนการของเซ่าหมิงยวนโดยไม่รอช้า
รอผูกโยงเรือเสร็จก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เห็นว่าเรือที่ลอยมาไม่มีความเคลื่อนไหวใดสักนิด เยี่ยลั่วถึงกระโดดขึ้นไป
* ผู้มีความระวังถือหางเสือเรือได้นานหมื่นปี หมายถึงการกระทำอย่างระมัดระวังช่วยให้สิ่งที่ทำดำเนินต่อเนื่องไปได้ยาวนาน