หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 450
บทที่ 450
คนเรือที่เฝ้าอยู่ด้านข้างเชือกผูกเรือสองคนกำมีดเล่มเล็กในมือแน่น เมื่อเกิดเหตุพลิกผันพวกเขาจะตัดเชือกขาดทันทีทันใดตามคำสั่งของเซ่าหมิงยวน
เยี่ยลั่วกระโดดขึ้นไปบนเรือแล้วย่องเข้าไปด้านในตัวเรือด้วยความว่องไวปราดเปรียว ไม่ทำเสียงดังแม้แต่น้อยนิด
เฉินกวงกระซิบที่ข้างหูเซ่าหมิงยวน “เยี่ยลั่วเข้าไปในตัวเรือแล้ว ไม่รู้จะพบอะไรหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนเม้มปากไม่กล่าววาจา เขาย่อมต้องรู้ว่าเฉินกวงกำลังเล่าความเคลื่อนไหวของเยี่ยลั่วให้เขาฟังอยู่ แต่ดวงตาที่มองไม่เห็นสร้างความยุ่งยากลำบากให้เขามากกว่าที่คาดคิดไว้ในตอนแรก คล้ายดั่งวิหคโผบินที่ถูกเด็ดปีกกะทันหัน มันเป็นเรื่องโหดร้ายฉะนี้นี่เอง
ผ่านไปสองเค่อเต็มๆ ขณะที่ทุกคนเฝ้ารออยู่อย่างกระสับกระส่าย เยี่ยลั่วก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาพร้อมกับแบกคนคนหนึ่งไว้บนหลัง
เยี่ยลั่วมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่องครักษ์ของเซ่าหมิงยวน ถึงแบกคนไว้อีกคนบนหลังยังเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วฉับไวสุดจะเปรียบ เขากระโดดขึ้นมาบนเรืออย่างรวดเร็ว
“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” เซ่าหมิงยวนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านแม่ทัพ บนเรือลำนั้นมีคนทั้งสิ้นสิบแปดคน นอกจากคนที่ข้าแบกกลับมาคนนี้ คนอื่นล้วนจบชีวิต ทั้งหมดตายเพราะบาดแผลจากคมดาบ” เยี่ยลั่ววางตัวคนที่แบกกลับมาลง กล่าวรายงานต่อว่า “คนผู้นี้มีแผลบนหัวไหล่ แต่เสื้อผ้าบนตัวแห้งแข็ง น่าจะเคยตกลงไปในน้ำ ข้าลองตรวจดูแล้วเขายังมีลมหายใจเบาๆ”
“ข้าดูเอง” เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไป ย่อตัวลงตรวจอาการคนที่เยี่ยลั่วแบกกลับมา
คนที่นอนตรงพื้นเรือมีอายุราวสามสิบเศษ เรือนกายสูงใหญ่ บาดแผลบนหัวไหล่เป็นสีขาวซีด สองตาปิดสนิท ลมหายใจอ่อนรวยริน
เฉียวเจาหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในถุงผ้าปักยัดใส่ปากเขา จากนั้นใช้เข็มเงินฝังจุดชีพจร
เวลาหนึ่งก้านธูป* ให้หลัง คนผู้นั้นค่อยๆ ฟื้นขึ้น
เขาลืมตาขึ้น หลังจากหายงุนงงในตอนแรกก็มองเห็นพวกหยางโฮ่วเฉิงได้ชัดเจน เขาขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ก็จนใจที่อ่อนแรงไปทั้งกายจึงล้มกลับลงไปบนพื้นเรือ
“พวกเจ้าเป็นใคร…” เขายกมือคลำไปที่เอวก็ว่างเปล่าไม่พบสิ่งใด จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“พวกข้าเป็นใคร เจ้าไม่รู้หรือนี่” ฉือชั่นมุ่นคิ้ว
คนผู้นั้นทำหน้างงงัน “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “ก็ต้องเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าน่ะสิ หากมิใช่พวกข้าช่วยเจ้ามาจากเรือลำนั้น เจ้านึกว่าตอนนี้เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
เขาตะลึงงันแล้วมองไปรอบๆ อย่างลุกลน พบว่าคนที่รายล้อมตนเองอยู่ล้วนเป็นชายหนุ่มตัวโตสูงใหญ่ จากนั้นก้มหน้ามองที่หัวไหล่ทันที บาดแผลตรงนั้นมีผ้าพันไว้ลวกๆ เรียบร้อยแล้ว
คนผู้นั้นนิ่งอึ้ง แววระแวดระวังภัยในดวงตาเลือนหายไป เขากล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณผู้กล้าทุกท่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
“ถ้อยคำตามมารยาทไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว บอกมาสิว่าเจ้าเป็นใคร” ฉือชั่นเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ข้า…” เขาอ้าปากออกแล้วขมวดคิ้วอย่างทรมาน “ขอน้ำให้ข้าดื่มก่อนได้หรือไม่”
“ได้ น้ำ” หยางโฮ่วเฉิงบุ้ยใบ้บอกให้องครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่งส่งกระบอกน้ำให้เขา
คนผู้นั้นยื่นมือรับไว้กลับพบว่ามือไม่มีแรง เขามองไปทางหยางโฮ่วเฉิงคล้ายขอความช่วยเหลือ
หยางโฮ่วเฉิงรับกระบอกน้ำมาอย่างปลงตก ยื่นไปจ่อข้างปากอีกฝ่ายป้อนน้ำให้พลางรำพึงในใจ ช่วยคนแล้วยังต้องเป็นบ่าวปรนนิบัติรับใช้นายท่านอีก
ทั้งที่ถิงเฉวียนกับสือซีก็อยู่ด้วย ไฉนคนผู้นี้หันมาหาเขาเล่า เห็นเขาพูดง่ายใช่หรือไม่
คนผู้นั้นดื่มน้ำเสร็จ หยางโฮ่วเฉิงไต่ถามขึ้นว่า “ตอนนี้พูดได้แล้วกระมัง”
เขาพูดอย่างกระดากใจ “จะให้ข้ากินอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่”
“เจ้ากินโจ๊กได้อย่างเดียว” เสียงของเฉียวเจาดังขึ้น นางบอกกับอาจู “ไปยกโจ๊กที่ห้องครัวมาให้เขาชามหนึ่ง”
เขากินโจ๊กแล้วเอ่ยปากบอกในที่สุด “พวกข้า…พวกข้าเป็นพ่อค้าเดินเรือ…ปรากฏว่าเจอกับชาววอโค่ว พวกนั้นกระโดดลงเรือพวกข้าแล้วสังหารพวกพี่น้องของข้าจนเกลี้ยง…”
“พ่อค้าเดินเรือ?” ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง “ต้าเหลียงบัญญัติกฎไว้ว่าห้ามสามัญชนทำการค้าขายทางทะเลด้วยตนเอง ไม่ถูกสิ แม้แต่เรือสำเภาของทางการยังหยุดจอดมาหลายปีแล้ว จะมีพ่อค้าเดินเรือจากที่ใดกัน”
คนผู้นั้นหน้าเสีย พูดจาอึกๆ อักๆ “คุณชายต้องมิใช่คนทางทิศใต้กระมัง เดี๋ยวนี้มีพ่อค้าเดินเรือเช่นพวกข้านี้อยู่ถมเถไป…”
“เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้าหนีรอดจากชาววอโค่วได้อย่างไร ในเมื่อพี่น้องของเจ้าเหล่านั้นต่างสิ้นชีพใต้คมดาบ มีแต่เจ้าที่บาดเจ็บเล็กน้อยที่หัวไหล่” สุ้มเสียงเยือกเย็นของสตรีดังขึ้น
คนผู้นั้นกลอกตามองไปทางเฉียวเจา ดวงตาเขาทอประกายวูบหนึ่งก่อนเอ่ยอธิบาย “ชาววอโค่วพวกนั้นร้ายกาจเหลือเกิน หลังข้าบาดเจ็บที่หัวไหล่ เห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีก็กระโดดลงทะเล ซ่อนตัวอยู่ในน้ำรอพวกวอโค่วจากไปแล้วถึงปีนขึ้นเรือ ข้าฟื้นขึ้นอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว”
“บนเรือเจ้าลำเลียงสินค้าอะไร” เฉียวเจาถามต่อ
เขาทำตาหลุกหลิก “เครื่องกระเบื้อง…”
“มิใช่กระมัง คนของพวกข้าไปตรวจดูเรือของพวกเจ้าแล้วไม่เจอเครื่องกระเบื้องนะ”
“คงถูกชาววอโค่วปล้นไปหมดแล้วเป็นแน่” เขากล่าวโวยวายด้วยสีหน้าโกรธแค้น
เฉียวเจายืนก้มลงมองบุรุษที่นอนบนพื้นเรือตาเขม็ง จู่ๆ นางก็ย่อกายลงพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ใด “เจ้าโกหก”
รูม่านตาของคนผู้นั้นหดแคบลง “นี่คุณหนูหมายความว่าอะไร”
“ตอนเจ้าหมดสติอยู่ ข้าซักถามคนของพวกข้าที่ขึ้นไปตรวจดูบนเรือแล้ว ใต้ท้องเรือของพวกเจ้าไม่มีพวกเศษฟางหรือแกลบตกหล่นอยู่สักนิด ดังนั้นสินค้าของพวกเจ้าต้องไม่ใช่เครื่องกระเบื้องแน่”
เครื่องกระเบื้องล้ำค่าแตกหักง่าย เวลาขนส่งมักใส่ของกันกระแทกเช่นฟางข้าวหรือแกลบไว้ในหีบจนเต็ม ถ้าคนพวกนี้เป็นพ่อค้าเดินเรือที่ค้าขายเครื่องกระเบื้อง จะไม่มีเศษฟางข้าวหรือแกลบจากการลำเลียงสินค้ามานานเป็นเดือนเป็นปีตกหล่นอยู่เลยได้อย่างไร
คนผู้นั้นได้ยินเฉียวเจากล่าวเช่นนี้ก็รีบเปลี่ยนคำพูด “เป็นข้าจำผิดเอง ช่วงนี้พวกข้าหันไปขายแพรพรรณแล้ว…”
เฉียวเจาโบกมือตัดบทเขาแล้วลุกขึ้นยืนทันที นางเอ่ยถามตามสบาย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรพวกข้าช่วยเจ้าขึ้นมาแล้ววางตัวเจ้าไว้บนพื้นเรืออยู่ตลอด”
น้ำเสียงของเด็กสาวฟังดูเรื่อยเฉื่อย คนผู้นั้นกลับไม่กล้าไม่ตอบ เขาคิดๆ แล้วเอ่ยถาม “เพราะตัวข้าสกปรกเกินไป กลัวจะทำให้ผ้าปูเตียงเลอะเทอะใช่หรือไม่…”
นางยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่ เพราะเช่นนี้พวกข้าโยนเจ้าลงทะเลเป็นอาหารปลาได้สะดวกต่างหาก”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้นสีหน้าของคนผู้นั้นเปลี่ยนไปทันใด
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างอย่างตะลึงลาน เขานึกในใจ ถ้อยคำน่ากลัวเช่นนี้ คุณหนูหลีพูดออกมาหน้าตาเฉยอย่างนี้จะดีจริงๆ หรือ
โอยๆๆ ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนอื่นจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่
ฉือชั่นยกมุมปากโค้งขึ้น ทำสีหน้าเห็นพ้องด้วย
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงไม่พูดไม่จา ทว่ามีเสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังลอดจากริมฝีปาก
“คุณหนู ท่านอย่าพูดล้อเล่น…”
“ข้าไม่เคยพูดล้อเล่น ข้าเอาจริงเอาจังมาก แต่ไรมาข้าพูดคำใดคำนั้น” เฉียวเจาเบนหน้ามองไปทางเซ่าหมิงยวน “พี่เซ่า ขอยืมคนจากท่านสักคนจะได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน” ชั่วพริบตาที่ได้ยินคำเรียกขานว่า ‘พี่เซ่า’ ถึงแม้จะรู้ว่าเฉียวเจาทำไปเพื่อป้องกันมิให้ฐานะของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่น ในใจเซ่าหมิงยวนยังคงอบอุ่น แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
แม่นางเฉียวลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เจ้าคนบ้า แสร้งทำได้แนบเนียนนักนะ
นางกลับอยากดูว่าเขาจะเสแสร้งกับนางไปถึงเมื่อไร
ไฟโทสะที่เกิดขึ้นเพราะคนบางคนทำให้น้ำเสียงของเฉียวเจาปึ่งชายิ่งขึ้น “เยี่ยลั่ว ยกตัวคนผู้นี้ขึ้น ข้าจะถามเขาอีกคำ ขอเพียงเขาโกหก เจ้าโยนตัวเขาลงทะเลไปเลย”
“ขอรับ” เยี่ยลั่วยกตัวคนผู้นั้นขึ้นด้วยมือเดียวโดยไม่ชักช้ารีรอ
* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง