หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 451
บทที่ 451
คนผู้นั้นอุทานด้วยความตกใจแล้วกล่าวอย่างแตกตื่น “วางข้าลงนะ! แค่กๆ พวกเจ้าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาไม่ได้…”
“พวกข้าเปล่าสักหน่อย ถ้าพวกข้าไม่ช่วยเจ้าไว้ ป่านนี้เจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วมิใช่หรือ” แม่นางเฉียวพูดด้วยสีหน้าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
นางพิศดูคนผู้นั้นพลางแย้มปากยิ้ม “ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าเป็นใคร”
“คุณหนู ข้าเป็นพ่อค้าเดินเรือจริงๆ ขอร้องท่านล่ะ รีบปล่อยข้าลงเถอะ แค่กๆๆ…”
“ค้าขายสินค้าใด”
โดนคนหิ้วตัวลอยจากพื้นพร้อมจะโยนลงทะเลทุกเมื่อเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างมาก ใบหน้าคนผู้นั้นประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีด เขาหลับตาแล้วกล่าวตอบท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้องมองอยู่ “หน้าไม้…”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ลักลอบค้าหน้าไม้เป็นเรื่องที่ราชสำนักไม่อนุญาตเช่นเดียวกับการค้าเกลือเถื่อน มิน่าเมื่อครู่คนผู้นี้ถึงโกหก
เฉียวเจาผงกศีรษะกับเยี่ยลั่วเล็กน้อย “เอาล่ะ โยนเขาลงไปเถอะ”
ในฐานะองครักษ์ใต้อาณัติของกวนจวินโหว เยี่ยลั่วเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ยอดเยี่ยมมากอย่างไร้ข้อกังขา เมื่อได้ยินคำนี้เขาไม่ลังเลใจแม้ชั่วอึดใจ เหวี่ยงมือโยนคนผู้นั้นออกไปเหมือนกระสอบผ้าเก่าๆ ใบหนึ่ง
ร่างของคนผู้นั้นลอยละลิ่วไปกลางอากาศเป็นวิถีโค้งอย่างสวยงามก่อนจะหล่นลงสู่ทะเลดังตูม ผิวน้ำแตกกระจายเป็นละอองฝอยนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
หยางโฮ่วเฉิงอ้าปากค้างเกือบหุบไม่ลง “คุณหนูหลี เพราะอะไรยังโยนเขาลงไปอีก”
เฉียวเจาไม่ตอบคำถามของเขา และไม่แยแสกับสายตาตะลึงพรึงเพริดของพวกองครักษ์จินอู๋กับคนเรือ นางวางสองมือเท้ากับราวรั้วเรือมองดูคนที่กระเสือกกระสนเอาตัวรอดอยู่กลางทะเลโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
คนผู้นั้นตกลงไปในทะเลแล้วสำลักน้ำติดๆ กันหลายอึก มาตรว่าเขาจะว่ายน้ำได้คล่อง แต่มือเท้าอ่อนแรงจนไม่มีพละกำลังพยุงตัวในน้ำ ได้แต่แหงนคอตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยข้าขึ้นไปที… ข้าขอร้องล่ะ! พวกท่านช่วยข้าขึ้นไป…”
เฉียวเจาจ้องมองเขาอย่างเฉยเมยดุจเก่า
“คุณหนูหลี…” หยางโฮ่วเฉิงส่งเสียงเรียกอย่างอดใจไม่อยู่ ต้องมองดูคนเป็นๆ ทั้งคนจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา จิตใจอันบอบบางของเขาทนรับไม่ค่อยจะไหวจริงๆ
เมื่อเห็นเฉียวเจาไม่อนาทรร้อนใจ หยางโฮ่วเฉิงหันไปมองฉือชั่นอีก กลับเห็นสหายรักทำหน้าสนอกสนใจ เห็นชัดว่าเขารู้สึกสนุกสนานกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก
มุมปากของหยางโฮ่วเฉิงกระตุกริก เขารีบหันสายตาไปมองคนที่ตนเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้มากที่สุด
ท่านแม่ทัพซึ่งเป็นความหวังของสหายวัยเยาว์ทำตาปรือๆ เหมือนหลับไปแล้ว
หยางโฮ่วเฉิงถูหน้าไปมาแล้วถอนใจเฮือก
ช่างเถอะ ไม่โยนข้าลงไปก็ดีแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ
“ถ้าเจ้าพูดตอนนี้ล่ะก็ น่าจะยังทันได้พูดจนจบนะ” เฉียวเจาก้มลงมองดูคนที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวังอยู่กลางผืนน้ำเบื้องล่างพลางกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ลมทะเลพัดเรือนผมดำขลับกับชายกระโปรงสีเรียบๆ ของนางปลิวลอยขึ้นประหนึ่งนางพรายกลางทะเล ทั้งที่งามละลานตาสุดจะกล่าว ทว่าคนที่พบเห็นนางกลับมีเพียงความสะพรึงกลัว
นี่มิใช่เด็กสาวผู้หนึ่งเลยสักนิด แต่เป็นนางปีศาจเลือดเย็น!
หลังสำลักน้ำอีกอึกหนึ่งแล้วได้ยินเสียงฟองอากาศดังบุ๋งๆ อยู่ข้างหู ขณะร่างจวนเจียนจะจมลงสู่ใต้ทะเลเย็นเฉียบ ความหวังรำไรสุดท้ายในใจคนผู้นั้นก็ดับมอดเป็นธุลี เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ตะโกนสุดเสียง “เป็นสตรี…”
คนผู้นั้นสำลักน้ำจนกล่าวไม่จบประโยค ตัวก็จมลงน้ำไป
“เยี่ยลั่ว งมร่างเขาขึ้นมาเถอะ” เวลานี้เฉียวเจาถึงอ้าปากพูด
ตอนนั้นเซ่าหมิงยวนส่งเยี่ยลั่วตามไปคุ้มครองท่านปู่หลี่เดินทางสู่ทิศใต้เคยบอกนางว่าเขาว่ายน้ำแข็งที่สุด
เยี่ยลั่วพยักหน้าแล้วเอาเชือกเกลียวพันตัวไว้ ส่งปลายอีกด้านหนึ่งไปที่มือเฉินกวงก่อนจะกระโจนตัวลงสู่ทะเลว่ายน้ำไปหาคนผู้นั้นละม้ายมัจฉาปราดเปรียวตัวหนึ่ง
เขาว่ายน้ำเข้าไปใกล้คนผู้นั้นในเวลาสั้นๆ จากนั้นอ้อมไปจับคอเสื้ออีกฝ่ายจากทางข้างหลังแล้วว่ายน้ำมาที่ข้างเรืออย่างว่องไว
เฉินกวงมองท่านแม่ทัพซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยปราดหนึ่งก็พลันบังเกิดความคิดขึ้นในหัว เขาพูดอธิบายกับเฉียวเจา “คุณหนูหลีเห็นหรือไม่ขอรับว่ายามช่วยคนในน้ำจะเข้าทางข้างหน้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกคนจมน้ำเกาะไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้แต่ผู้ช่วยเหลือก็จะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”
นางกะพริบตาปริบๆ อย่างแปลกใจชอบกล
นางว่ายน้ำไม่เป็นสักหน่อย เฉินกวงบอกเรื่องพวกนี้ให้นางฟังด้วยเหตุใด คงไม่ได้หวังว่าสักวันนางจะลงน้ำไปช่วยคนกระมัง
“อะแฮ่ม” เฉินกวงกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนพูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี “ท่านแม่ทัพเป็นคนสอนพวกข้าเองขอรับ ท่านแม่ทัพของข้ารู้อะไรๆ มากมาย อย่างตอนเหตุดินถล่มคราวก่อนก็เป็นท่านแม่ทัพสอนว่าจะวิ่งลงเขาไปตามทิศทางที่หินร่วงหล่นไม่ได้…”
“เฉินกวง” เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงเรียกอย่างสุดจะทน น้ำเสียงเขาแฝงรอยตักเตือนจางๆ
เจ้าพวกไม่เต็มเต็งผู้นี้จู่ๆ พูดเรื่องพวกนี้กับเจาเจาไปด้วยเหตุใดกัน
เฉียวเจาเข้าใจจุดประสงค์ของเฉินกวงโดยพลัน นางทั้งขบขันทั้งอ่อนใจ
เซ่าหมิงยวนเป็นเคร่งขรึมจริงจังปานนั้น ไฉนถึงมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเฉินกวงได้นะ
ไม่ถูก เซ่าหมิงยวนไม่ใช่คนเคร่งขรึมจริงจังอะไรเหมือนกัน
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดดังเช่นโคมม้าวิ่ง* พาให้สองแก้มของเฉียวเจาร้อนซู่ นางเบนสายตากลับไปที่ท้องทะเลอีกครา
เยี่ยลั่วใช้เวลาไม่นานนักก็อุ้มคนผู้นั้นขึ้นเรือมาแล้ว
คนผู้นั้นกินน้ำทะเลเข้าไปไม่น้อย ทั้งยังตกใจและหวาดกลัวประกอบกับร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่แต่เดิม ส่งผลให้ขณะนี้หมดสติไปแล้ว
“พี่หยาง ให้คนพาเขาไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุดเถอะเจ้าค่ะ”
เรื่องปรนนิบัติคนย่อมพึ่งพาองครักษ์จินอู๋พวกนี้ไม่ได้ หยางโฮ่วเฉิงกวักมือเรียกคนงานผู้หนึ่งมาหาแล้วโยนก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งให้ “พาคนผู้นี้ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุด จัดเตรียมห้องให้เขาห้องหนึ่งแล้วสวมอาภรณ์แห้งสะอาด”
คนงานพยักหน้าแล้วแบกคนผู้นั้นออกไป
เฉียวเจาอดมองคนงานแวบหนึ่งไม่ได้
คนที่สลบไสลอยู่ทั้งสูงใหญ่และบึกบึน มาตรว่าคนงานจะตัวไม่เตี้ยทว่าเรือนกายสมส่วน เขาถึงกับหามบุรุษร่างใหญ่เทอะทะออกเดินไปเลยโดยไม่เปลืองแรงแม้สักน้อยนิด
คนงานคนนี้มีพละกำลังไม่เบา เฉียวเจานึกทึ่งในใจ นางรู้สึกได้รางๆ ว่าไม่ค่อยปกติ
จะว่าไปแล้วหลังออกจากจยาเฟิงมุ่งหน้าลงใต้ต่อ พวกนางว่าจ้างคนเรือกับคนงานที่มีประสบการณ์ออกทะเลชุดใหม่ คนเหล่านี้รวมกันแล้วมีจำนวนไม่น้อย แต่ยามปกติเก็บตัวสงบเสงี่ยมเสมือนไม่มีตัวตนอยู่
คนเรือกับคนงานพวกนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่สักหน่อยนะ
พอเห็นคนงานพาคนผู้นั้นเข้าไปด้านในตัวเรือแล้ว หยางโฮ่วเฉิงแหงนหน้ามองฟ้า “ดูท่าทางจะแดดออกอีกแล้ว พวกเราก็เข้าข้างในเถอะ จริงสิ สตรีที่คนผู้นั้นเอ่ยถึงหมายความว่าอะไรหรือ”
ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ “ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นความหมายที่ข้าคิดไว้หรือไม่”
สีหน้าของเฉียวเจาบึ้งตึง “ก็เป็นความหมายที่พี่ฉือคิดไว้นั่นล่ะเจ้าค่ะ สินค้าที่พวกเขาลักลอบค้าขายคือสตรี หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นไปได้มากว่าพวกเขาขายสตรีต้าเหลียงให้ชาววอโค่ว”
“อะไรนะ!” หยางโฮ่วเฉิงโกรธจัด เขาหมุนกายเดินไป “ข้าจะเอาตัวเจ้าลูกเต่าผู้นั้นไปเป็นอาหารปลา”
ฉือชั่นยกเท้าเตะเขาทีหนึ่ง “เอาล่ะ เลิกวุ่นวายได้แล้ว ถึงอยากโยนให้ปลากินก็ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างไรต้องเค้นถามให้ได้ความที่เป็นประโยชน์บ้างจากปากคนผู้นั้นก่อนค่อยว่ากันอีกที”
สำหรับสถานการณ์ในแถบทะเลนี้พวกเขาล้วนยังมืดแปดด้าน อย่าให้ตอนท้ายกลายเป็นอาหารปลาแล้วยังไม่รู้ว่าตายอย่างไร
หยางโฮ่วเฉิงย่อมกล่าวไปด้วยอารมณ์โกรธเป็นธรรมดา เขาได้ยินแล้วเอ่ยเสียงกระด้าง “ไม่ว่าอย่างไรจะละเว้นเจ้าบัดซบนั่นง่ายๆ ไม่ได้ เฮ้อ…คุณหนูหลี ถ้ามิใช่ท่านให้เยี่ยลั่วโยนเจ้านั่นลงทะเล คงต้องโดนเขาหลอกลวงไปแล้ว ท่านรู้ได้เช่นไรว่าเขาพูดโกหกอยู่ตลอด”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “การศึกมิหน่ายเล่ห์เท่านั้นเอง ต่อให้เขาพูดความจริง สำหรับพวกเราแล้วการโยนเขาลงทะเลก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่เจ้าคะ”
ทุกคนอึ้งงัน “…”
อย่างนี้ก็ได้หรือ
นางไม่ใส่ใจท่าทีของทุกคน ชายตามองเซ่าหมิงยวนเล็กน้อยพลางเอ่ย “แม่ทัพเซ่า กลับห้องดื่มยาเถอะ”
* โคมม้าวิ่ง คือโคมไฟสวยงามชนิดหนึ่ง รอบข้างมักวาดเป็นฉาก ภายในแกนกลางตกแต่งด้วยกระดาษที่ตัดเป็นรูปม้าหรือรูปอื่นๆ เมื่อจุดไฟด้านในโคมจะหมุนจนเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว