หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 452
บทที่ 452
เซ่าหมิงยวนตามเฉียวเจากลับห้องเงียบๆ
“แม่ทัพเซ่านั่งบนเก้าอี้สิ” นางหยุดยืนที่ข้างเก้าอี้แล้วยกมันออกอย่างปราศจากสุ้มเสียง
มาตรว่าเครื่องใช้จำพวกเตียงตั่งและเก้าอี้บนเรือจะยึดติดกับผนังและพื้นเรือ แต่ก็มีของชิ้นเล็กๆ เช่นม้านั่งที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ตามความต้องการ
เพราะม้านั่งประเภทนี้เล็กกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ยามเฉียวเจายกออกถึงไม่บังเกิดเสียงใดสักน้อยนิด
นี่เป็นห้องของเซ่าหมิงยวน เขาย่อมคุ้นเคยกับเครื่องเรือนต่างๆ ในห้องเป็นอย่างดี รู้ว่ามีเก้าอี้ม้านั่งอยู่ตรงตำแหน่งนี้ก็พยักหน้าแล้วนั่งลงไป
ด้วยเหตุนี้ท่านแม่ทัพซึ่งนั่งลงบนความว่างเปล่าจึงล้มลงไปนั่งบนพื้นแทน
ม้านั่งไม่สูงมาก เขาเลยกระแทกพื้นไม่แรงเป็นธรรมดา แต่เพราะไม่คาดคิดเกินไป ท่านแม่ทัพผู้เยือกเย็นทะนงตนเป็นนิจถึงมีสีหน้าตะลึงงัน
มือข้างหนึ่งวางลงที่แขนเขาพร้อมเสียงพูดขรึมๆ “ลุกขึ้นเถอะ”
แม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งไม่ขยับ เปล่งเสียงถามอย่างงงงัน “เจ้ารู้แล้ว?”
เฉียวเจาย่อตัวลงมองดวงหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววสับสนงุนงงแล้วกัดริมฝีปาก นางย้อนถามเขา “ท่านนึกว่าสามารถปกปิดข้าไปได้ตลอดหรือ”
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นไม่พูดไม่จา
นางโกรธจัด “เซ่าหมิงยวน พูดสิ!”
เขานึกว่าไม่พูดก็เอาตัวรอดไปได้หรือ สองตามองไม่เห็นก็ไม่เปิดเผยให้ใครรู้ หรือรักษาเองได้ใช่หรือไม่
เฉียวเจายิ่งคิดยิ่งโมโห
หลังเซ่าหมิงยวนมองไม่เห็น โสตประสาทกลับเฉียบไวขึ้นเป็นพิเศษ เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่แรงขึ้นของเด็กสาวข้างกาย ก็รู้ว่านางต้องหัวเสียไม่น้อยเลยรีบอ้าปากพูด “ข้าคิดอยู่ว่าไม่แน่อีกสองสามวันอาจจะหายดี แล้วจะบอกออกมาตอนนี้ให้เจ้าเป็นห่วงไปไย…”
“ใครบอกว่าข้าเป็นห่วง”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกแน่นอก
เฉียวเจาเห็นท่าทางของเขาแล้วทั้งโกรธเคืองทั้งสงสาร แต่คิดคำนึงว่าตาเขามองไม่เห็นแล้ว ในใจจะอับจนสิ้นหวังเพียงใดก็สุดรู้ นางก็กลืนถ้อยคำจากแรงโทสะที่มาจ่อรอตรงปลายลิ้นกลับลงคอไปเงียบๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ท่านไม่พูด ข้าถึงได้เป็นห่วง”
แม่ทัพหนุ่มเบิกบานใจขึ้นในพริบตา ทว่าพอคิดถึงดวงตาของตนเอง หัวใจที่เบิกบานก็สงบลงอีก เขาไม่กล้าเผยความรู้สึกออกมาแม้แต่เศษเสี้ยว เพียงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอโทษ เป็นข้าทำไม่ถูกเอง”
“ลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยคุยกัน” เฉียวเจายื่นสองมือไปพยุงเขา
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เตียง
เฉียวเจาดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ดื่มยาก่อนเถอะ”
นางใช้ช้อนตักยายื่นไปรอข้างริมฝีปากเขา “อ้าปาก”
เขาอ้าปากดื่มยาอย่างว่าง่าย
ทั้งคู่คนหนึ่งป้อนคนหนึ่งดื่มไปเรื่อยๆ ภายในห้องเงียบเชียบมาก
เมื่อป้อนยาคำสุดท้ายเสร็จ เฉียวเจาเห็นเขายังอ้าปากรอก็ลอบถอนใจเฮือก ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบยาที่ติดตรงมุมปากออกให้
เซ่าหมิงยวนไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจนตัวแข็งเกร็งไปหมด เขาพลันรู้สึกว่าตาบอดก็มีข้อดีอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ท่านมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อไร” เฉียวเจาวางชามยาลงแล้วไต่ถาม
“หลังฟื้นขึ้นมา”
“ปิดบังได้เก่งดีนี่” นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์จบก็นิ่งเงียบไปอีก
เขาบาดเจ็บที่ศีรษะและส่งผลต่อมาทำให้ดวงตาทั้งคู่สูญเสียการมองเห็น แล้วยังเป็นผลจากถ้อยคำของนางพวกนั้นที่สร้างความสะเทือนใจให้เขาเกินไปด้วยใช่หรือไม่
ครั้นคิดไปอย่างนี้หญิงสาวก็หนักอึ้งตรงกลางอก รู้สึกเสียใจภายหลังสุดจะเปรียบ
นางมักลืมไปว่าเขาอ่อนแอและบาดเจ็บได้เช่นกัน ถึงเขาเป็นแม่ทัพเป่ยเจิงที่โด่งดังไปทั้งแผ่นดิน แต่ก็เป็นบุรุษธรรมดาที่หลั่งเลือดและน้ำตาได้
จู่ๆ นางทำร้ายจิตใจคนป่วยด้วยเหตุใดนะ
ทว่าตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ก็สายเกินไปแล้ว เรื่องเร่งด่วนในขณะนี้คือรักษาดวงตาของเขาให้หายดีโดยไว
“ข้าขอดูตาท่านหน่อย”
เฉียวเจาใช้นิ้วแยกเปลือกตาของเขาออกตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นหยิบเข็มเงินออกมาฝังตามจุดชีพจรรอบดวงตา เช่นจุดฉวนจู๋ จุดจิงหมิง* เพื่อกระตุ้น ทว่าสีหน้าของนางกลับเคร่งเครียดขึ้นตามลำดับ
เซ่าหมิงยวนอาจไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่เขาได้ยินเสียงลมหายใจของนาง
ฟังจากเสียงกลั้นหายใจเป็นระยะนั่น เขาสามารถคาดเดาอารมณ์ของนางได้
ดวงตาของเขาคงจะรักษาให้หายได้ยากมากเสียแล้ว
เฉียวเจาดึงเข็มเงินออกเงียบๆ นางเพ่งมองบุรุษตรงหน้า
เขาลืมตาอยู่ แพขนตาทั้งยาวทั้งดกหนาชี้ขึ้นบนนิ่งๆ เผยให้เห็นลูกตากระจ่างใสดุจน้ำ
เฉียวเจาพลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
หากนับจากนี้ดวงตาสวยงามคู่หนึ่งอย่างนี้จะมองไม่เห็นแล้วสมควรทำฉันใดดีเล่า
นางร่ำเรียนวิชาแพทย์จากหมอเทวดาหลี่แต่วัยเยาว์ กลับปราศจากความมั่นใจใดๆ ว่าตาเขาจะหายเป็นปกติได้หรือไม่
“คุณหนูหลี ตาข้าเป็นอย่างไร” เซ่าหมิงยวนพูดทำลายความเงียบ
นางอ้าปากออกแล้วเม้มปาก ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า “ภายนอกดวงตาไม่มีปัญหาอะไร น่าจะมีสาเหตุจากลิ่มเลือดคั่งค้างภายในศีรษะกดทับเส้นชีพจรรอบดวงตา ประกอบกับ…ประกอบกับได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรงกะทันหัน…”
“มิใช่” เซ่าหมิงยวนตัดบทนาง
เฉียวเจามองเขา
แม่ทัพหนุ่มเผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าน่ะเป็นพวกหัวแข็งหนังหนา จะรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรงอะไรที่ใดกัน แค่โชคร้ายเสียท่าโดนคนขว้างหินใส่”
เฉียวเจาฟังแล้วรู้สึกเจ็บแปลบใจมากขึ้น
“คุณหนูหลี ท่านอย่าคิดมาก ตาข้ารักษาได้ก็รักษา ต่อให้รักษาไม่หายก็ไม่เป็นไร ข้าพบว่าจริงๆ แล้วจะปรับตัวให้คุ้นเคยไม่ได้ยากเย็นปานนั้น”
“แล้วเมื่อครู่นี้ใครกันที่ล้มบั้นท้ายจ้ำเบ้ากับพื้น” เฉียวเจาเอ่ยถาม
ถึงเวลานี้แล้วเขายังจะทำปากแข็งอยู่อีก ไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าเด็กที่รู้จักร้องไห้จึงจะมีนมกิน
โอย ข้าเปรียบเทียบอะไรส่งเดชล่ะนี่
แม่นางเฉียวหน้าร้อนผะผ่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “คุณหนูหลีอย่าสัพยอกข้าเลย”
เฉียวเจายกมือนวดรอบดวงตาเขาเบาๆ “ท่านตั้งใจจะปกปิดพี่ฉือกับพี่หยางหรือ”
“เปล่า ข้าตั้งใจอยู่ว่าจะหาโอกาสบอกพวกเขาวันนี้”
สำหรับฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงสองสหายรัก เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะปิดบัง ที่ไม่พูดแต่แรกเพราะกลัวพวกเขารู้แล้วจะปกปิดเจาเจาไม่ได้…
เฉียวเจานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงถามขึ้น “ดังนั้นความจริงท่านตั้งใจจะปกปิดแต่ข้าคนเดียวสินะ”
เซ่าหมิงยวนหลุบเปลือกตาลงไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
“เซ่าหมิงยวน ท่านกระทำเช่นนี้เหมือนเด็กอมมือหรือไม่ ท่านนึกว่าจะปิดบังไปได้ชั่วชีวิตหรือ”
“ข้าเปล่า…”
“ยังจะแก้ตัวอีก!”
แม่ทัพหนุ่มคิดในใจว่า ข้าไม่ได้แก้ตัวจริงๆ นะ
ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นเฉียวเจาไม่กล่าววาจา เซ่าหมิงยวนจึงเอ่ยอธิบายขึ้น “ข้าคิดจะรอดูสักสองสามวันก่อน ถ้าตามองเห็นแล้วก็ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่ต้องให้คนอื่นตระหนกตกใจ”
“คนอื่น?” แม่นางเฉียวเลิกคิ้วสูง ที่แท้เจ้าคนบ้าผู้นี้กอดจูบลูบคลำนางแล้ว แต่นางเป็นเพียง ‘คนอื่น’ ในสายตาเขา
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไป ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรผิดอีกแล้ว
“เช่นนั้นถ้าดวงตาของท่านไม่หายเป็นปกติแล้วเล่า” เฉียวเจาถามเน้นเสียงหนักทีละคำ
ตอนนี้นางจะไม่ทำร้ายจิตใจเขา บัญชีพวกนี้เก็บไว้สะสางอีกทีวันหน้า
ดวงตาไม่หายเป็นปกติได้แล้ว? เซ่าหมิงยวนรำพึงในใจ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปิดบังเจ้าไปชั่วชีวิตแน่นอน
หากปากเขากลับกล่าวว่า “ถ้าไม่หายเสียทีก็ต้องบอกเจ้าแน่นอน”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้เฉียวเจารู้สึกดีขึ้นบ้างอย่างแกนๆ แต่จากนั้นก็เริ่มหนักอกหนักใจขึ้นอีก
นางไม่มีความมั่นใจว่าจะรักษาตาเขาให้หายได้
สมควรพูดว่าดวงตาของเซ่าหมิงยวนจะหายดีหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับโชคมากกว่า
อาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะซับซ้อนยุ่งยากมากที่สุดจริงๆ บางทีขอแค่ท่านปู่หลี่ยังอยู่อาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้บ้างก็เป็นได้
นางนึกไปถึงวิธีผ่ากะโหลกศีรษะที่เอ่ยถึงในตำราแพทย์ที่หมอเทวดาหลี่ทิ้งไว้ให้เล่มนั้นแล้วเหงื่อกาฬก็หลั่งออกมาตรงกลางฝ่ามือ
แทนที่จะเสี่ยงอันตรายใช้วิธีนั้น นางขอยอมรับความจริงที่ว่าตาเขามองไม่เห็นจะดีกว่า
“พี่เซ่า ท่านทำใจให้สบายๆ ถ้าลิ่มเลือดในสมองสลายไปหมดล่ะก็ ดวงตาจะหายดีแน่”
* จุดฉวนจู๋และจุดจิงหมิง คือจุดชีพจรบริเวณหัวคิ้วและหัวตาตามลำดับ