หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 453
บทที่ 453
เฉียวเจากล่าวอย่างนี้หาใช่เป็นการปลอบใจแต่ประการเดียว สำหรับคนป่วยแล้วการคิดไปในด้านดีเป็นสิ่งสำคัญมาก
“อื้อ ข้ารู้สึกเช่นกันว่าอีกไม่นานก็จะหายดีแล้ว” เซ่าหมิงยวนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
นางจ้องหน้าเขา
เบื้องหน้าสายตาคือความมืดมิด เป็นเรื่องที่ทำให้คนสิ้นหวังได้ยิ่งกว่าแขนขาด้วนนัก ถึงเวลานี้แล้ว เขายังหันมาเป็นฝ่ายปลุกปลอบนางอีก
เฉียวเจาบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูก นางเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “เซ่าหมิงยวน ถ้ากลับเมืองหลวงแล้วตาท่านยังไม่หายดี ใช่หรือไม่ว่าท่านไม่ต้องนำทัพออกรบแล้ว” ในใจท่านจะเสียดายมากหรือไม่
เขาแย้มปากยิ้มน้อยๆ “ใช่แล้ว ไม่ต้องออกรบแล้ว”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรยามเบื้องหน้าเป็นความมืดมิด ภาพเด็กสาวในห้วงความคิดกลับกระจ่างชัดกว่าเดิม ทำให้เขาอยากระบายความในใจอย่างไร้เหตุผล “ความจริงเป็นเช่นนี้ก็ดีนะ เดิมข้าก็ไม่ชอบสงครามอยู่แล้ว”
“ไม่ชอบสงคราม?”
“ใช่ ไม่ชอบสงคราม”
“แต่ท่านไปทำสงครามที่แดนเหนือตั้งแต่ตอนอายุสิบสี่นะ”
“ยามนั้นท่านพ่อข้าล้มป่วยที่แดนเหนือ จวนโหวตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นล่อแหลม เดิมทีข้าเป็นพวกคุณชายเสเพลผู้หนึ่ง ทว่าเภทภัยมาเยือนถึงตัวแล้ว ข้าคิดว่าอย่างมากก็แค่ตาย มิสู้ไปตายเอาดาบหน้าที่แดนเหนือดีกว่า คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงแดนเหนือ เห็นชาวต๋าจื่อโหดเหี้ยมอำมหิตดุจเสือสาง ราษฎรแดนเหนือมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น ด้วยเหตุนี้จึงชูดาบขึ้นแล้วก็ไม่เคยวางลงอีกเลย…” เซ่าหมิงยวนเล่าเรื่องตนเองด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ สีหน้าเขาสงบนิ่งราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของคนอื่นอยู่
เฉียวเจารับฟังเงียบๆ จนเขากล่าวจบถึงเอ่ยขันๆ “เซ่าหมิงยวน ท่านพูดโกหกอีกแล้ว”
เขาตาบอดไปแล้ว บางทีนางอาจมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย แต่นี่มิได้หมายถึงว่าเขากับนางคนใดคนหนึ่งต้องทำเหมือนกับจะเป็นจะตายให้ได้ ใต้หล้านี้มีขวากหนามที่ฝ่าข้ามไปไม่ได้ที่ใดกัน ถ้าเขาไม่มีวันหายเป็นปกตินางดูแลเขาตลอดชีวิตก็สิ้นเรื่อง
ถึงอย่างไรนางก็ชมชอบเขาเช่นเดียวกัน
ความชมชอบเพียงอย่างเดียวอาจทำให้นางตัดใจจากความอิสรเสรีที่ใฝ่ฝันหาไม่ได้ แต่เมื่อมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมาตุ้มน้ำหนักบนตาชั่งฝั่งนี้ก็มากพอแล้ว
เซ่าหมิงยวนในที่สุดท่านก็ชนะแล้ว
เฉียวเจาถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ
“ข้าไม่ได้พูดโกหก” เซ่าหมิงยวนจับต้นชนปลายไม่ถูก
นอกจากเรื่องดวงตามองไม่เห็นที่เขาอยากปิดบังเอาไว้ เขาจะพูดโกหกกับนางได้อย่างไรเล่า
“ไฉนข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าท่านยังเคยเป็นพวกคุณชายเสเพลด้วย”
หากว่าเป็นคนเสเพลจริงๆ ไหนเลยเขาจะดั้นด้นเดินทางไกลนับพันลี้ช่วยบิดาตอนอายุสิบสี่และกลายเป็นเสาหลักของเหล่าทหารนักรบที่แดนเหนือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เซ่าหมิงยวนคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ แพขนตาของเขากระพือขึ้นลงเบาๆ ยามกล่าวอย่างเก้อเขิน “นอกจากตอนท่องตำรากับฝึกยุทธ์ วันๆ ข้าก็ออกไปเที่ยวเตร่กับพวกสือซีและก่อเรื่องชกต่อยคน ยังไม่นับว่าเสเพลหรือ”
เฉียวเจาอมยิ้มน้อยๆ “ตราบเท่าที่ไม่ได้เกี้ยวพาราสีสตรีโฉมงามน่ารัก ก็ไม่นับว่าเสเพลนะ”
คนทั้งคู่ต่างประจักษ์แจ้งแก่ใจถึงผลกระทบซึ่งจะตามมาจากการที่ดวงตาของเซ่าหมิงยวนสูญเสียการมองเห็น แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงอีกอย่างจิตใจตรงกัน
ได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย
เหตุใดเขารู้สึกว่า…คำพูดนี้ของเจาเจากระเซ้าเขาอยู่
ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเคยพูดว่าไม่รู้สึกอะไรกับเขาสักนิด ต่อให้เปลี่ยนเป็นบุรุษคนใดก็ตามที่เคยเป็นสามีของนาง นางล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ว่าเพราะอะไรท่าทีที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ของเจาเจามีนัยพิกลๆ
หรือเพราะข้าตาบอด เจาเจาเลยสงสาร…
พอคิดถึงตรงนี้เซ่าหมิงยวนก็ยิ้มขื่นๆ ในใจ
หากตาเขาเป็นปกติ ต่อให้เจาเจาไม่มีความรักฉันชายหญิงต่อเขาสักเท่าไร จะแค่สงสารเขาหรือเป็นความรู้สึกอย่างอื่น เขาก็ต้องตบแต่งนางเป็นภรรยาก่อนค่อยว่ากันอีกที เขาเชื่อว่าตนไม่ได้ย่ำแย่ปานนั้น หลังอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำหัวใจของเจาเจาจะต้องหวั่นไหวทีละน้อย
ทว่าบัดนี้ดวงตาทั้งคู่มองไม่เห็น อนาคตก็มืดมน เขาอาศัยอะไรฉุดหญิงในดวงใจมาจมปลักซ้ำสอง ทั้งยังเป็นเพราะความสงสารที่ลากนางลงสู่ปลักนี้
เฉียวเจาเม้มมุมปากเมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไป นางรู้ทันว่าเจ้าคนทึ่มผู้นี้คิดอะไรอยู่
นึกว่าข้าสงสารท่านสินะ
คนน่าสงสารมีอยู่กลาดเกลื่อน ข้าดูแลไหวหรือไม่
“พี่เซ่าไม่พูดอะไร หรือว่าเคยเกี้ยวพาราสีหญิงสาวชาวบ้านดีๆ”
“ข้าเปล่า…” เซ่าหมิงยวนรีบปฏิเสธ แต่พูดไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ
อันที่จริงก็เคยทำ ดูเหมือนเขาเกี้ยวพาราสีเจาเจาหลายครั้งหลายหนมาก
แต่นั่นเป็นเพราะว่าในใจเขา เจาเจาเป็นภรรยาของเขา มิใช่สตรีเรือนอื่น…
“ไม่เคยก็ดี” เฉียวเจาเห็นท่าทางลุกลนของเขาแล้วแย้มยิ้มพริ้มพราย “สมัยอยู่ที่จยาเฟิง จริงๆ แล้วข้าสนใจใคร่รู้เป็นอันมากเรื่อยมาว่าคนที่ทำให้ท่านปู่ยอมมีปากเสียงกับท่านย่าก็ต้องเลือกเป็นหลานเขยให้ได้นั้นเป็นคนอย่างไร ถ้าตอนเป็นเด็กหนุ่มท่านทำตัวเหลวไหล ท่านปู่ข้าคงผิดหวังแล้ว”
เซ่าหมิงยวนประหลาดใจพอดู เขาคิดไม่ถึงว่าที่แท้เจาเจาเคยสนใจใคร่รู้เรื่องของเขาเหมือนกัน
เช่นนั้นนางก็เคยมโนภาพรูปลักษณ์หน้าตาของเขาในหัวมาก่อนใช่หรือไม่ แล้วเขาทำให้ผิดหวังหรือไม่นะ
ชายหนุ่มคิดถึงตรงนี้แล้วสะดุ้งวาบในใจ ขืนคิดอย่างนี้ต่อไปจะอันตรายเกินไป เขากลัวว่าจะกระทำเรื่องที่ขาดสติอย่างห้ามใจไม่อยู่อีก
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เฉียวเจาก็มองเขานิ่งๆ ไปเช่นนี้
เขาคงไม่รู้ว่านัยน์ตาของเขาชวนมองที่สุดในบรรดาคนที่นางเคยพบเจอมา
หรือจะพูดว่าดวงตาคู่นี้เป็นแบบที่นางชมชอบมากที่สุดพอดี
ผู้คนและเรื่องราวในใต้หล้านี้ ที่มักทำให้คนต้านทานไม่อยู่มากที่สุดก็คือคำว่า ‘พอดี’ นี่เอง
ถึงแม้นางไม่อยากจำนน แต่กลับยินยอมด้วยความเต็มใจ
สายตาของเด็กสาวตรึงอยู่ที่ใบหน้าชายหนุ่มนานเกินไป ถึงมองไม่เห็นทว่ารับรู้ได้ เขาอดเบือนหน้าไปอีกทางหลบตานางไม่ได้
เฉียวเจาไม่ใส่ใจที่เขาหนีความจริง นางพูดตามสบาย “ถิงเฉวียน หากตาท่านไม่หายเป็นปกติแล้ว วันหน้าข้าเป็นดวงตาให้ท่านดีหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนตื่นตะลึงไปหมด หัวใจเขาเต้นเสียงดังโครมคราม
คำพูดนี้ของเจาเจามีความหมายเดียวกับที่เขาเข้าใจใช่หรือไม่
นางยินยอมเป็นดวงตาให้เขาคือยินยอมออกเรือนเป็นภรรยาของเขาครองคู่กันไปชั่วชีวิต?
ทว่าหัวใจที่เริงโลดขึ้นเพราะเปลวไฟร้อนแรงกองนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งในเวลาอันสั้น ตรงกลางอกเขาเหลือเพียงความขมขื่น
ถ้าเป็นเมื่อสองวันก่อนเจาเจากล่าวคำนี้กับเขา เขาต้องยินดีปรีดาเจียนคลั่งเป็นแน่ แต่ตอนนี้จะดีใจสักปานใดก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ
“ถิงเฉวียน ท่านไม่พูดไม่จา ข้าจะถือว่าท่านตอบตกลงนะ” ในเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เฉียวเจาก็ไม่ลังเลหาทุกข์ใส่ตัวอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้เจ้าคนทึ่มตรงหน้าถอยหนีแม้แต่น้อยนิด
เขาทำให้จิตใจนางหวั่นไหวบังเกิดความรักขึ้นแล้ว แค่เพราะตาบอดก็คิดจะหลบหนีลอยนวลใช่หรือไม่
นางไม่ตอบตกลง!
“คุณหนูหลีอย่ากล่าวล้อเล่นเลย” พอสุดปัญญาจะแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ต่อ เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก
ขืนเจาเจาพูดเช่นนี้อีก เขาจะต้านทานความเย้ายวนใจไว้ได้อีกไม่นานแล้วนะ
ครองคู่กันชั่วชีวิตเป็นเรื่องที่เขาปรารถนาแม้ในยามฝัน
“ข้าไม่เคยพูดล้อเล่น ข้าเอาจริงเอาจังมาก แต่ไรมาข้าพูดคำใดคำนั้น” เฉียวเจากล่าวถ้อยคำเดิมซ้ำอีกครา
เซ่าหมิงยวนใจเต้นผิดจังหวะ
หลังจากเจาเจาพูดประโยคนี้กับคนที่ช่วยมาจากบนเรือแล้วก็สั่งเยี่ยลั่วโยนคนผู้นั้นลงทะเล ตอนนี้นางพูดประโยคนี้กับเขา…
“เหตุใดคุณหนูหลีถึงเปลี่ยนความคิด” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
เฉียวเจาแย้มปากออก นางรู้อยู่แล้วว่าเจ้าคนทึ่มนี่ยังจะดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้าย
นางไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เซ่าหมิงยวนจึงพูดต่อ “เป็นเพราะดวงตาของข้าใช่หรือไม่ ท่านเห็นว่าเพราะเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นกับข้าถึงทำให้ข้าสะเทือนใจจนสองตามองไม่เห็น คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อข้า…”
ยังกล่าวไม่จบประโยคกลีบปากนุ่มนิ่มของเด็กสาวก็ประทับลงบนริมฝีปากเขา
แม่นางเฉียวนึกในใจ รับผิดชอบบ้าบอน่ะสิ!