หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 459
บทที่ 459
“เฉินกวง เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูหลี” เซ่าหมิงยวนเอ่ยสั่ง
“คุณหนูหลี เชิญทางนี้ขอรับ”
เฉียวเจาตามเฉินกวงไปยังที่ที่จัดให้พวกสตรีพำนัก
เพิ่งเดินไปถึงนอกประตู เสียงร้องไห้กระซิกๆ ก็ลอยแว่วมา
เสียงพูดอย่างอ่อนใจของหญิงสาวดังขึ้นในห้อง “ข้าว่าพวกเจ้าเลิกร้องไห้เถอะนะ พวกเรานำความเดือดร้อนมาให้คนบนเรือลำนี้ตั้งมากถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะรับมือชาววอโค่วพวกนั้นได้หรือไม่ ถ้าเกิดทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ยังจะมีหน้าร้องไห้ได้ที่ใดกันเล่า”
สิ้นเสียงนางไม่ทันไร เสียงร่ำไห้ข้างในยิ่งดังขึ้น
เฉียวเจายืนยิ้มอยู่หน้าห้อง นางบุ้ยใบ้บอกให้เฉินกวงรออยู่ข้างนอกแล้วเปิดประตูพาปิงลวี่กับอาจูเข้าไป
พอได้ยินเสียงประตูเปิด ภายในห้องเงียบลงทันใด สตรีหลายคนหันมามองทางหน้าประตู
เฉียวเจามองปราดเดียวก็เห็นเซี่ยเซิงเซียว กลางหมู่สตรีเหล่านี้นางแลดูโดดเด่นสะดุดตามาก มิใช่เพราะรูปโฉมที่ชวนให้ละลานตาเช่นนั้น แต่เป็นท่วงทีกิริยาที่มีเอกลักษณ์ทำให้แยกนางออกจากสตรีอื่นได้ในชั่วอึดใจ
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไป กล่าวพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล “พวกท่านวางใจได้ ชาววอโค่วเหล่านั้นถูกคนของพวกข้าจัดการอย่างราบคาบ ตอนนี้พวกท่านปลอดภัยแล้ว”
ถึงแม้นางจะกล่าวประโยคนี้กับสตรีทุกคน ทว่าสายตาจับอยู่ที่ใบหน้าของเซี่ยเซิงเซียวตลอด
เท่าที่จำได้นางยังไม่เคยเห็นเซี่ยเซิงเซียวในสภาพตกอับถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าช่วงที่ผ่านมาสหายรักต้องพบกับความลำบากมาไม่น้อย
เซี่ยเซิงเซียวจ้องเฉียวเจาตาเขม็งเช่นเดียวกัน สตรีผู้นี้ทำให้นางบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดราวกับว่าเคยพบเจอที่ใดมาก่อน
ครั้นเพ่งสายตามองชายกระโปรงสีเรียบของเด็กสาว ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัวนาง
ไม่…ไม่ใช่เคยพบเจอที่ใดมาก่อน แต่เด็กสาวผู้นี้มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงอาชูอยู่บ้าง
ท่าทางที่นางผลักประตูเยื้องกรายเข้ามาเมื่อครู่นี้เหมือนกับอาชูเป็นที่สุด…
สมัยเป็นเด็กสาวนางเคยถามอาชูหลายครั้งหลายหนมากว่าเหตุใดถึงเดินได้งดงามอย่างนั้น อาชูบอกยิ้มๆ ว่าเรื่องนี้สมควรถามจากท่านย่า นางก็ไปถามจริงๆ ท่านย่าของอาชูยังสั่งสอนชี้แนะนางหลายวัน จากนั้นนางก็ไม่อิจฉาอีกต่อไป…
ภาพความทรงจำตอนอยู่กับสหายรักเมื่อครั้งวัยเยาว์วาบผ่านเข้ามาในหัวสมอง แววตาเซี่ยเซิงเซียวอ่อนละมุนลง นางแสดงคารวะแล้วกล่าวขึ้น “ขอบคุณคุณหนูมากที่ช่วยเหลือพวกข้าไว้”
นางมีท่าทางละอายแก่ใจเป็นอันมาก “พวกข้านำความเดือดร้อนมาให้พวกท่านแล้ว ไม่ทราบว่ามีคนได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่มี” เฉียวเจาประคองอีกฝ่ายให้ยืดตัวขึ้น นางอมยิ้มพลางถามไถ่ “คุณหนูมีนามว่ากระไร”
เซี่ยเซิงเซียวยืนตัวตรง กล่าวอย่างเปิดเผย “ข้าแซ่เซี่ย มีนามเซิงเซียว ‘เซิง’ ที่แปลว่าแคน ‘เซียว’ ที่แปลว่าขลุ่ย”
เฉียวเจายิ้มบางๆ “ข้าแซ่หลี มีนามตัวเดียวว่าเจา”
เซี่ยเซิงเซียวอึ้งไป นางอดถามขึ้นไม่ได้ “เป็นอักษร ‘เจา’ ตัวใดหรือ”
“ ‘เจา’ แปลว่าแจ่มแจ้งดังในประโยคที่ว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’”
เซี่ยเซิงเซียวเบิกตากว้างฉับพลัน สีหน้าที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนมาก่อนแม้แต่ยามอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกลับเปลี่ยนไปในเวลานี้ นางพูดพึมพำ “ ‘เจา’ แปลว่าแจ่มแจ้งดังในประโยคที่ว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’”
“มีอะไรหรือ” เฉียวเจาถามด้วยสีเป็นปกติ นางอยากใกล้ชิดกับสหายเก่าในวันวานอย่างห้ามใจไม่อยู่ กระนั้นนางเข้าใจดีว่าเรื่องที่ตนเคยเป็นเฉียวเจาจะให้คนอื่นในใต้หล้านี้ล่วงรู้อีกไม่ได้
“ไม่มีอะไร” ใบหน้าของเซี่ยเซิงเซียวซีดขาวอยู่สักหน่อย “ข้ามีสหายรักผู้หนึ่งชื่อเดียวกับคุณหนูหลีก็เลยรู้สึกคาดไม่ถึง”
“พวกท่านมีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่สบายหรือไม่” เฉียวเจาถามไถ่
เซี่ยเซิงเซียวชี้ไปยังสตรีนางหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงทันทีพร้อมกล่าว “นางจับไข้”
เฉียวเจาเดินเข้าไป พวกสตรีคนอื่นรีบหลีกทางให้แล้วมองนางอย่างระแวดระวัง
หลังตรวจอาการของสตรีที่เป็นไข้เรียบร้อย เฉียวเจาพูดปลอบ “ไม่เป็นอะไรมาก เฉินกวง จัดห้องอีกห้องให้แม่นางผู้นี้ อาจู เจ้าไปต้มยา”
“ข้าขอขอบคุณคุณหนูหลีแทนนางด้วย” เซี่ยเซิงเซียวกล่าวคำขอบคุณอีกครา
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ คุณหนูเซี่ยมิสู้เล่าให้ฟังทีว่าพวกท่านตกอยู่ในมือของชาววอโค่วพวกนั้นได้อย่างไรจะดีกว่า”
คำถามนี้ทำให้เซี่ยเซิงเซียวหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน แววโกรธแค้นจุดวาบขึ้นในดวงตา นางลอบกำมือที่ทิ้งห้อยอยู่ข้างลำตัวเป็นหมัดแน่นๆ มองพวกสตรีที่เผยสีหน้าหวาดกลัวแวบหนึ่งก่อนบอกอย่างทอดถอนใจ “คุณหนูหลี ออกไปคุยกันข้างนอกได้หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า “คุณหนูเซี่ยตามข้ามา ปิงลวี่ เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลแม่นางเหล่านี้นะ”
เฉียวเจาพาเซี่ยเซิงเซียวตรงไปที่ห้องของตนเอง
เซี่ยเซิงเซียวยืนอยู่หน้าประตูสองจิตสองใจเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรู้สึกไม่วายว่าคุณหนูหลีที่พบกันเป็นครั้งแรกท่านนี้ดีต่อนางเกินไปบ้าง ช่วยพวกนางไว้แล้วยังมีน้ำใจพูดจาปลุกปลอบไม่ว่า ยังพานางมาที่ห้องส่วนตัวอย่างเปิดเผย
สตรีที่จิตใจงามปานนี้พบได้ไม่บ่อยจริงๆ
“คุณหนูเซี่ยเข้ามาสิ”
เซี่ยเซิงเซียวปัดๆ อาภรณ์บนกายที่สกปรกเลอะเทอะ “ข้ามอมแมมไปทั้งตัว กลัวจะทำให้ห้องของคุณหนูหลีเปรอะเปื้อน”
“ไม่เป็นไร พวกข้าจะไปที่เกาะหมิงเฟิง อยากถามถึงสภาพของที่นั่นจากคุณหนูเซี่ยพอดี”
“คุณหนูหลีจะไปที่เกาะหมิงเฟิงหรือ” พอได้ยินเฉียวเจาบอกเช่นนี้เซี่ยเซิงเซียวไม่นำพาเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้อีก นางย่างเท้าเดินเข้าห้องไป
เฉียวเจารินน้ำถ้วยหนึ่งยื่นให้นาง “คุณหนูเซี่ยดื่มให้ชุ่มคอก่อนค่อยพูด”
เซี่ยเซิงเซียวก็ไม่เกรงใจ พูดขอบคุณแล้วกระดกถ้วยน้ำดื่มรวดเดียวจนหมด
“คุณหนูเซี่ยบอกมาก่อนว่าตกอยู่ในมือของชาววอโค่วพวกนั้นได้อย่างไร”
เซี่ยเซิงเซียวกุมถ้วยน้ำด้วยสองมือ นางยิ้มฝืดๆ เล่าว่า “ทีแรกข้ากินอาหารอยู่ในร้านสุราของตำบลไป๋อวี๋ ใครจะรู้ว่าหลังตื่นขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่บนเรือแล้ว บนเรือยังมีหญิงสาวพวกนั้น พวกข้าโดนกักขังไว้ในห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ข้าฟังพวกนางร้องไห้คร่ำครวญถึงรู้ว่าพวกข้ากำลังจะถูกเจ้าคนบัดซบพวกนั้นขายให้ชาววอโค่ว
ผ่านไปเช่นนี้สองสามวันพวกคนบัดซบอดใจไม่อยู่ลากหญิงสาวสองคนไปย่ำยี พวกนางสองคนทนไม่ไหวฉวยจังหวะกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย เจ้าพวกนั้นกลัวจะเกิดเรื่องกับหญิงสาวคนอื่นซ้ำสองเลยไม่ทำมิดีมิร้ายอีก ต่อมาไม่นานพวกเขากับชาววอโค่วนัดพบกัน พวกข้าถูกพาขึ้นเรือของชาววอโค่วไปที่เกาะหมิงเฟิง…” เซี่ยเซิงเซียวยิ่งเล่าใบหน้าก็ยิ่งเผือดลง
นางหนีออกจากเรือนมุ่งหน้าลงใต้ด้วยปักใจคิดว่าตนไม่ด้อยกว่าบุรุษ ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้สังหารชาววอโค่วสักคนก็ถูกคนเอาไปขายให้ชาววอโค่วเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง เป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
เฉียวเจาเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปตบหลังมือนางเบาๆ พลางกล่าวปลอบประโลมเสียงนุ่ม “ล้วนผ่านไปหมดแล้ว”
เซี่ยเซิงเซียวกัดริมฝีปาก เริ่มเล่าต่อไปว่า “คนที่อยู่บนเกาะหมิงเฟิงพวกนั้นไม่ต่างอันใดจากเดรัจฉาน มีหญิงสาวสามคนถูกพวกนั้นพาตัวไปย่ำยีประเดี๋ยวนั้นเลย ส่วนพวกข้าที่เหลือโดนกักขังในเรือนหลังหนึ่งที่เฝ้ายามไว้อย่างมิดชิดแน่นหนา”
“แล้วพวกท่านหนีออกมาได้เช่นไรกัน”
ดวงตาของนางปรากฏแววงุนงงวูบหนึ่ง “ถึงตอนนี้ข้าก็ไม่แจ่มแจ้งว่าเรื่องเป็นอย่างไร ข้าได้ยินเสียงผิดปกติจากด้านนอกจึงลองไปผลักประตูดู ประตูก็เปิดออกแล้ว ด้วยเหตุนี้พวกข้าจึงรีบเล็ดลอดออกมาเงียบๆ เรือนหลังนั้นสร้างไว้ใกล้ๆ ชายฝั่งด้านหลังเกาะ ตรงบริเวณอ่าวห่างไปไม่ไกลมีเรือเล็กลำหนึ่งจอดอยู่ ข้าสังหารชาววอโค่วที่ลาดตระเวนอยู่หลายคนแล้วพาพวกนางขึ้นเรือ โชคดีว่าสตรีที่เติบโตแถบชายทะเลส่วนใหญ่ล้วนพายเรือเป็น พวกข้าจึงหนีมาถึงที่นี่ได้”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้เซี่ยเซิงเซียวถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างหวาดผวาไม่หาย “แต่คนพวกนั้นก็ไหวตัวทันอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้พบกับพวกคุณหนูหลี เวลานี้พวกข้าคงถูกจับกลับไปแล้วเป็นแน่แท้”
“คุณหนูเซี่ยรู้หรือไม่ว่าบนเกาะหมิงเฟิงมีชาววอโค่วอยู่ราวๆ กี่คน”
เซี่ยเซิงเซียวส่ายหน้า “ตอนนั้นเพียงคิดแต่จะหนีเอาชีวิตรอด ไม่มีโอกาสสังเกตเรื่องพวกนั้นเลย คุณหนูหลี เหตุใดพวกท่านอยากจะไปที่นั่นเล่า”
“พวกข้าจะไปเสาะหาตัวยา”
ตอนนี้เองมีเสียงดังมาจากนอกประตู “คุณหนูหลี ท่านแม่ทัพเชิญท่านไปพบขอรับ”