หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 462
บทที่ 462
เฉียวเจาได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้แล้วไม่กล้าดิ้นขัดขืนต่อทันใด นางถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรไป ปวดศีรษะหรือไม่สบายที่ดวงตาหรือไม่”
ได้ยินเสียงไต่ถามอย่างห่วงใยของคนในอ้อมกอด เซ่าหมิงยวนสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนดันตัวนางออกห่าง “ไม่เป็นไรแล้ว”
เฉียวเจามองสำรวจชายหนุ่มอย่างแคลงใจ
ใบหน้าเขาแดงเล็กน้อย ลมหายใจถี่ไม่เป็นจังหวะ ดูไม่ค่อยเหมือนกับปกติ
ราวกับรับรู้ได้ว่านางมองเขาอยู่ เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วไพล่ไปถามว่า “น่าจะใกล้ถึงเวลากินอาหารแล้วกระมัง”
“อื้อ ข้ายังต้องไปที่ห้องของคุณหนูเซี่ยอีกที มีหญิงสาวหลายคนที่อารมณ์ยังไม่ปกตินัก ตอนที่กินอาหารต้องมีคนช่วยดูแลสักหน่อย คุณหนูเซี่ยคนเดียวคงรับมือไม่ไหว” ใบหูของเฉียวเจายังร้อนผะผ่าวเล็กน้อยยามกล่าววาจา
วันหน้านางอยู่กับคนผู้นี้ตามลำพังให้น้อยลงจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นช้าเร็วคงโดนเขาฉวยโอกาสจนหมดไม่เหลือหลอแล้ว
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้ว “รู้แต่แรกน่าจะซื้อพวกคนงานหญิงมาด้วย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความคาดหมายนะ ข้าสั่งให้อาจูต้มยากล่อมอารมณ์ให้พวกนางดื่มแล้ว อีกไม่กี่วันพวกนางน่าจะหายเป็นปกติ” เฉียวเจาก้าวขาเดินไปทางหน้าห้อง แต่ยังไม่ถึงหน้าประตูก็มีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังมาจากข้างนอก
“คุณหนู ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาเปิดประตูผลัวะ “อาจู มีอะไรหรือ”
นางยังไม่เคยเห็นอาจูมีท่าทางแตกตื่นลนลานเช่นนี้มาก่อน
ใบหน้าของอาจูซีดเผือด “คุณหนู แม่นางคนที่จับไข้อยู่ที่ท่านให้ข้าคอยดูแลผู้นั้นตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าป้อนน้ำให้นางดื่ม ผลปรากฏว่าจู่ๆ นางปัดถ้วยทิ้ง ตอนนี้นอนกลิ้งเกลือกชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาฟังแล้วนึกแปลกใจ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ไป…ไปดูกัน”
“เจาเจา ข้าไปพร้อมกับเจ้า” เซ่าหมิงยวนเดินมาหา
“ไม่ต้อง ทางนั้นล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น” เฉียวเจาปฏิเสธ
หญิงสาวเหล่านั้นพลัดเข้าไปในรังโจร ส่งผลให้อารมณ์ปรวนแปรมาก เวลานี้เกรงว่าเห็นบุรุษแล้วจะหวาดกลัว
“ข้าอยู่ข้างนอกไม่เข้าไป”
“ท่านอย่าไปเลย หากทำให้พวกนางตกใจจะทำเช่นไร”
คิ้วเข้มพาดเฉียงของเซ่าหมิงยวนกระดกขึ้นน้อยๆ นี่คือเขาโดนรังเกียจแล้วหรือ
“ท่านวางใจเถอะ ไม่มีอันตรายใดๆ ท่านลืมไปแล้วหรือว่ายังมีคุณหนูเซี่ยทั้งคน นางคนเดียวเอาชนะชายฉกรรจ์ได้ตั้งหลายคน ท่านเป็นคนบอกเช่นนี้เองนะ”
นางกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วพาอาจูออกไปอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้เซ่าหมิงยวนยืนย่นหัวคิ้วแทบชนกันอย่างกลัดกลุ้มอยู่ที่เดิม
ลางสังหรณ์ของเขาไม่ผิดพลาดจริงๆ พอพบปัญหาคนที่เจาเจาคิดถึงเป็นคนแรกมิใช่เขา แต่เป็นคุณหนูเซี่ยหรือนี่
ยามเฉียวเจาพาอาจูเร่งรุดไปที่นั่น ยังไม่ถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องของสตรีดังมาจากข้างใน
นอกห้องมีสตรียืนอยู่หลายคนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เซี่ยเซิงเซียวยืนอยู่หน้าประตูอย่างร้อนรน พอเห็นเฉียวเจามาถึงก็เดินรี่เข้าไปหา “คุณหนูหลี บนเรือมีหมอหรือไม่ ดูท่าทางนางไม่ค่อยจะดีแล้ว”
“คุณหนูเซี่ยอย่าร้อนใจ ข้าขอเข้าไปดูก่อน” เฉียวเจาพูดปลอบ
เซี่ยเซิงเซียวเห็นสีหน้านางสงบเยือกเย็นดุจเก่าก็รู้สึกโล่งอกอย่างปราศจากเหตุผล “ได้”
เฉียวเจาย่างเท้าเข้าไปในห้อง เห็นหญิงสาวสวมชุดสีชมพูนางหนึ่งนอนอยู่บนพื้นยกสองมือกุมศีรษะพลางเปล่งเสียงครวญครางอู้อี้อยู่ในลำคอ ร่างกายของนางชักกระตุกไม่หยุด
ปิงลวี่ยืนห่างไปไม่ไกล นางมีใจอยากช่วยแต่ไม่รู้วิธี พอเห็นผู้เป็นนายก็รีบวิ่งไปหา “คุณหนู ท่านมาได้เสียที แม่นางคนนี้น่ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เซี่ยเซิงเซียวเห็นสตรีชุดสีชมพูมีอาการชักรุนแรงขึ้น นางอดถามไม่ได้ “คุณหนูหลี ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่านางไม่เป็นอะไรมากมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้”
เฉียวเจามุ่นคิ้วเล็กน้อย “อาการของนางแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
นางตรวจแม่นางผู้นี้แล้วเป็นอาการโดนลมเย็นชัดๆ หรือว่าวินิจฉัยโรคผิด
ท่านปู่หลี่เคยบอกว่านางมีความแม่นยำในศาสตร์วิชาแพทย์มากพอสมควรแล้ว หากแต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของนางคือขาดประสบการณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นไปได้ที่จะวินิจฉัยอาการที่พบได้ไม่บ่อยผิดพลาด
เฉียวเจาสาวเท้าเร็วรี่เข้าไป
ปิงลวี่ห้ามนางไว้ “คุณหนู ท่านระวังหน่อย ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ค่อยปกติ เกิดทำให้ท่านบาดเจ็บจะทำฉันใด”
“ไม่เป็นไร ข้าขอดูก่อน” เฉียวเจาเดินจรดฝีเท้าเข้าไปใกล้สตรีชุดสีชมพู ปากก็พูดปลุกปลอบ “แม่นางไม่ต้องกลัวนะ ข้าเป็นหมอ มาตรวจอาการให้ท่าน”
นางพูดจบแล้วเห็นสตรีชุดสีชมพูชักเกร็งไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่อยู่ดังเก่า จึงยื่นมือข้างหนึ่งไปฉวยข้อมืออีกฝ่าย ส่วนมืออีกข้างหยิบเข็มเงินออกมาตั้งท่าจะฝังจุดชีพจรให้หลับใหลชั่วคราว
สตรีชุดสีชมพูผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะนอนชักกระตุกอยู่บนพื้น นางรู้สึกว่ามีคนจับข้อมือตนก็มองผู้ที่เข้ามาใกล้ผ่านเส้นผมยาวเฟื้อยที่บังหน้าบังตาอยู่แวบหนึ่ง
ชั่วพริบตานั้นเฉียวเจารู้สึกเย็นยะเยือกในอกอย่างไร้สาเหตุ นางปล่อยข้อมืออีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ
ในจังหวะนี้ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สตรีชุดสีชมพูผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้นั้นทำหน้าบิดเบี้ยว แยกเขี้ยวยิงฟันปรี่เข้าใส่เฉียวเจา
“ว้าย! คุณหนูระวัง…” ปิงลวี่ยืนอยู่ข้างๆ เฉียวเจากรีดร้องเสียงหนึ่งพร้อมกับเงื้อเท้าถีบใส่สตรีชุดสีชมพู
หากคนที่ว่องไวกว่านางคือเซี่ยเซิงเซียว
นางอุ้มเฉียวเจาขึ้นแล้วถอยไปอยู่ตรงหน้าประตูในอึดใจเดียว
จนกระทั่งตอนนี้พวกหญิงสาวที่ยืนมองดูอาการของสตรีชุดสีชมพูอยู่นอกห้องเพิ่งตั้งสติได้ เริ่มส่งเสียงกรีดร้องทันใด
สตรีชุดสีชมพูโดนปิงลวี่ถีบออกไปก็ใช้สองมือยันพื้นไว้แล้วมองมาทางนี้ ริมฝีปากของนางพลันแยกออกเปล่งเสียงร้องแปลกๆ จากลำคอก่อนกระโจนเข้าใส่อีกครา
ปิงลวี่ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ “คุณหนู! คนผู้นี้โดนผีร้ายสิงร่างแล้วใช่หรือไม่ น่ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
สาวใช้น้อยร้องเสียงแหลมพลางถีบสตรีชุดสีชมพูที่ถลันเข้ามาโดยไม่ยั้ง เฉียวเจาจู่ๆ ก็หน้าถอดสีคล้ายคิดอะไรขึ้นได้ “ปิงลวี่ ออกมาเร็วเข้า อย่าให้นางทำร้ายเจ้านะ”
เสียงกรีดร้องของสตรีดังไปถึงหูพวกเซ่าหมิงยวนซึ่งกำลังรุดมาที่ชั้นสอง
“เฉินกวง เยี่ยลั่ว รีบไปคุ้มครองคุณหนูหลี!” ได้ยินเสียงตะโกนของเฉียวเจา เซ่าหมิงยวนทำสีหน้าถมึงทึง แม้แต่ปลายนิ้วยังสั่นเทาน้อยๆ
เขาไม่เคยนึกโกรธแค้นตนเองที่ไร้ประโยชน์เฉกเช่นในเสี้ยวเวลานี้มาก่อน
เฉินกวงกับเยี่ยลั่วพุ่งทะยานไปที่นั่นประหนึ่งสายลมระลอกหนึ่ง
เยี่ยลั่วเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าเฉียวเจาทันที ส่วนเฉินกวงรีบเร่งเข้าไปดึงตัวปิงลวี่ที่ยังถีบสตรีชุดสีชมพูไม่หยุดออกมา จากนั้นปิดประตูอย่างคล่องแคล่วฉับไว
เสียงวิ่งกระแทกประตูดังขึ้นในห้องทีแล้วทีเล่า ฟังแล้วชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนสาวเท้าเร็วรี่มาถึง
เฉินกวงเป็นห่วงว่าท่านแม่ทัพจะหลุดพิรุธ จึงรีบก้าวไปหาพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพวางใจได้ขอรับ คุณหนูเซี่ยอุ้มคุณหนูหลีไว้ ไม่เกิดอะไรขึ้นกับพวกนางแม้แต่น้อย”
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้ากึก
คุณหนูเซี่ยอุ้มเจาเจาไว้?
อืม ไม่อยากนึกภาพนี้ในหัวสักนิด!
“ข้าไม่เป็นไร” เฉียวเจาพยักหน้ากับเซี่ยเซิงเซียว “ขอบคุณคุณหนูเซี่ยมาก”
เซี่ยเซิงเซียววางตัวนางลงแล้วระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง “คุณหนูหลีไม่เป็นไรก็ดี”
เซ่าหมิงยวนกล่าวตัดบทขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแม่นางข้างใน”
“แม่นางผู้นั้นฟั่นเฟือนไปแล้วใช่หรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงขมวดคิ้วมองเซี่ยเซิงเซียว
ด้านฉือชั่นทำท่าทางเป็นเชิงธุระมิใช่ ถึงได้บอกว่าสตรีคือตัวปัญหา ไม่ตายด้วยน้ำมือชาววอโค่วก็ขวัญอ่อนกลัวจนเสียสติไปเอง
เซี่ยเซิงเซียวกวาดตามองหยางโฮ่วเฉิงอย่างไม่ชอบใจ “ใครบอกว่านางฟั่นเฟือนไปแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงงุนงงไม่เข้าใจ “ไม่ฟั่นเฟือนแล้วนี่นางทำอะไรอยู่ ละเมอหรือ”
เซี่ยเซิงเซียวขยับปากตั้งใจจะพูดเหน็บแนมกลับ แต่คิดได้ว่าตอนนี้อาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นเลยได้แต่เม้มปากแน่น
“คุณหนูเซี่ย แม่นางผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่” เฉียวเจาเอ่ยถาม