หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 463
บทที่ 463
เซี่ยเซิงเซียวอึ้งไปกับคำถามของเฉียวเจา นางนิ่งตรึกตรอง “ได้รับบาดเจ็บ? พวกข้าถูกพวกนั้นจับขึ้นไปบนเรือ เวลาขัดขืนก็ต้องมีเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันบ้างไม่มากก็น้อย”
“ไม่ใช่ ความหมายของข้าคือแม่นางผู้นี้เคยโดนพวกสัตว์จำพวกหมา แมว หรือหนูกัดบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่” เฉียวเจาเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าหนักอก
“โดนพวกหมาแมวกัดบาดเจ็บหรือ” เซี่ยเซิงเซียวได้เฉียวเจาพูดสะกิดเตือนก็ฉุกคิดขึ้นได้ “บนเกาะนั่นเลี้ยงสุนัขดุร้ายไว้ไม่น้อย ตอนพวกข้าเพิ่งลงเรือ ดูเหมือนนางถูกสุนัขตัวหนึ่งกัดขากางเกงไว้…”
“ชีเหนียงโดนสุนัขตัวนั้นกัดที่น่องจนเป็นแผล ข้า…ข้าเห็นรอยฟันสุนัขติดอยู่บนน่องนาง” สตรีนางหนึ่งกล่าวขึ้นเสียงค่อย
เฉียวเจาได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เซี่ยเซิงเซียวพินิจดูท่าทางเคร่งเครียดของเฉียวเจาแล้วถามขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณหนูหลี ชีเหนียงไม่ได้เป็นไข้หัวลมธรรมดาๆ ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาหลับตาตรึกตรอง เสียงวิ่งชนประตูคละเคล้าเสียงร้องคำรามดังมากระทบหูเป็นระลอก พาให้สีหน้านางเครียดขรึมยิ่งขึ้น
นางลืมตาขึ้นกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง ลอบสูดหายใจเข้าก่อนกล่าว “เริ่มแรกแม่นางผู้นั้นมีอาการคล้ายคลึงกับโดนลมเย็นมาก ด้วยเหตุนี้ข้าถึงนึกว่าเป็นไข้หัวลม แต่บัดนี้ดูไปแล้วเป็นไปได้มากว่านางจะโดนพิษสุนัขบ้า”
“พิษสุนัขบ้า?!” ทุกคนนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
สำหรับพวกฉือชั่นแล้วนี่เป็นโรคประหลาดหายากที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เซี่ยเซิงเซียวหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน “พิษสุนัขบ้า? คือโดนสุนัขที่เป็นบ้ากัดแล้วคนก็กลายเป็นบ้าไปด้วย คลุ้มคลั่งกลัวน้ำ สุดท้ายสติฟั่นเฟือนจนตายใช่หรือไม่”
“คุณหนูเซี่ยเคยเห็นคนป่วยอย่างนี้มาก่อนหรือ”
เซี่ยเซิงเซียวหน้าซีดเผือด นางพยักหน้า “ข้าเคยเห็น ในตำบลของพวกข้ามีคนขายเนื้อผู้หนึ่ง ปีที่แล้วสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้คลุ้มคลั่งกัดบุตรชายคนเล็กของเขา เขาบันดาลโทสะก็จับสุนัขตัวนั้นถลกหนังกินเนื้อ ใครจะรู้ว่าผ่านไปเดือนหนึ่งบุตรชายคนเล็กของเขาจู่ๆ ก็ฟั่นเฟือน ไม่นานนักก็จากไป ภรรยาของคนขายเนื้อสะเทือนใจจนสติสตังไม่ปกติ ส่วนคนขายเนื้อใจลอยตอนเชือดหมูครั้งหนึ่งจนตัดแขนตนเองขาด ครอบครัวดีๆ ครอบครัวหนึ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาดในชั่วข้ามคืน ใครๆ พากันพูดว่าเป็นสุนัขตัวนั้นมาแก้แค้น”
“ครอบครัวของนักชำแหละแซ่จางหรือ” เฉียวเจาพลั้งปากถามขึ้น
ในตำบลไป๋อวิ๋นมีนักชำแหละแซ่จางผู้หนึ่ง นับเป็นหนึ่งในครอบครัวที่กินดีอยู่ดีของตำบล มีเพียงจุดเดียวที่ไม่สมหวังดังใจก็คือภรรยาของนักชำแหละจางให้กำเนิดบุตรสาวติดกันรวดเดียวเจ็ดคน ส่งผลให้โดนทุบตีด้วยเหตุนี้กี่ครั้งกี่หนก็สุดรู้
เรื่องของครอบครัวนักชำแหละจางที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเฉียวเจาคือในปีที่นางไปเล่นกับเซี่ยเซิงเซียวที่ตำบลไป๋อวิ๋น ได้ผ่านไปเห็นนักชำแหละจางกระชากผมภรรยาแล้วกระหน่ำทุบตีกลางถนนโดยไม่ตั้งใจ บนถนนก็มีคนผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ยืนมุงดูก็ทำเป็นมองไม่เห็นกันหมด
นางเข้าไปห้ามเขาอย่างทนไม่ไหว ผลปรากฏว่ากลับโดนภรรยาเขาด่าว่ายกหนึ่ง
จนบัดนี้นางยังจดจำหน้าตาท่าทางของภรรยาเขาได้อย่างแม่นยำ
สตรีออกเรือนแล้ววัยสี่สิบเศษผู้นั้นยกสองมือหยาบกร้านเท้าเอว ก่อนถ่มน้ำลายใส่นางอย่างแรง ‘ถุย! เรื่องในครอบครัวข้า เจ้าเข้ามายุ่งอะไรด้วย แม่เด็กน้อยคิดจะยั่วยวนสามีข้าใช่หรือไม่’
นางโตจนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินวาจาหยาบคายเยี่ยงนั้น และกระจ่างแจ้งโดยพลันว่าเหตุใดเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงในตำบลเล็กๆ แห่งนั้นถึงพากันเฉยเมยไม่สนใจแต่อย่างใด
นางปลีกตัวออกมาทันควัน แต่ยังเดินไปไม่ไกลก็เห็นนักชำแหละจางตบหน้าภรรยาล้มคว่ำลงกับพื้น ปากก็บริภาษด่าทอพร้อมทั้งเตะทั้งต่อยสตรีบนพื้นโดยไม่ปรานีปราศรัยสักกระผีก
สตรีที่ยังด่าทอนางเสียงดังเมื่อครู่ไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้น นางหมอบอยู่กับพื้นนิ่งๆ พลางพูดวิงวอน ‘ท่านพี่อย่าโมโหโทโสเลย ล้วนเป็นความผิดของข้า เป็นความผิดข้าคนเดียว…’
เซี่ยเซิงเซียวหัวเราะขบขันที่นางหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าสะท้อนใจว่า ‘นางมีความผิดอะไรเล่า แค่คลอดบุตรสาวออกมาติดกันเจ็ดคนเท่านั้นเองก็กลายเป็นความผิดใหญ่โต ได้แต่คุกเข่าต่อหน้าบุรุษ กระทั่งลุกขึ้นยืนอย่างไรก็ยังลืมเลือนไป’
แล้วก็เป็นหนนั้นนั่นเองที่เซี่ยเซิงเซียวพูดกับนางอย่างขึงขังจริงจังว่า ‘ภายภาคหน้าข้าไม่มีทางออกเรือนไปกับบุรุษที่คิดแต่เรื่องทายาทสืบสกุลอย่างแน่นอน ข้าเป็นบุรุษไม่ได้ เช่นนั้นก็พยายามเป็นสตรีที่คล้ายคลึงบุรุษ ยืนด้วยลำแข้งของตน’
อ้อ ตอนพบปะกันครั้งสุดท้ายก่อนนางออกเรือน เซี่ยเซิงเซียวยังเอ่ยถึงครอบครัวของนักชำแหละจางว่าภรรยาของเขาให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่งในที่สุด
เมื่อเป็นอย่างนี้คนที่ตายเพราะพิษสุนัขบ้าก็คือเด็กชายน้อยผู้นั้นกระมัง
เซี่ยเซิงเซียวมองนางอย่างพินิจแล้วถามอย่างหลากใจ “คุณหนูหลีรู้จักครอบครัวนักชำแหละจางในตำบลข้าได้อย่างไรกัน”
เฉียวเจากล่าวอธิบายด้วยสีหน้าเป็นปกติ “แม่ทัพเซ่าพาข้าไปกินเส้นหมี่น้ำพะโล้ที่นั่น เลยได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงโดยบังเอิญ”
เส้นหมี่น้ำพะโล้? ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง นี่คืออะไร เพราะอะไรไม่ได้พาข้าไปกิน
หยางโฮ่วเฉิงเองก็ไม่ค่อยพอใจเช่นกัน ถิงเฉวียนกับคุณหนูหลีไปกินเส้นหมี่น้ำพะโล้กันเมื่อใด แม้ว่าเขาไม่เคยกินมาก่อน แต่ฟังดูแล้วท่าทางจะน่าอร่อยอย่างมาก สองคนนั้นได้กินแล้วยังไม่บอกเขากับสือซีหรือนี่
สหายรักวัยเยาว์ทั้งสองมองเซ่าหมิงยวนอย่างคับแค้นใจ แต่พอนึกถึงว่าเขามองไม่เห็น ในใจถึงได้หายอิจฉาตาร้อนขึ้นบ้าง
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง” เซี่ยเซิงเซียวฟังคำอธิบายของเฉียวเจาแล้วหมดข้อข้องใจ นางตวัดสายตามองเซ่าหมิงยวนอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์นัก
กวนจวินโหวพาคุณหนูหลีไปกินเส้นหมี่น้ำพะโล้?
ฟังน้ำเสียงของคุณหนูหลีแล้วดูเหมือนนางกับกวนจวินโหวใกล้ชิดกันมาก
แต่ว่าอาชูจากไปยังไม่ถึงหนึ่งปี…
เซี่ยเซิงเซียวเม้มมุมปากแน่น
คุณหนูหลีมีจิตใจงดงามย่อมต้องไม่มีความผิด คงเป็นกวนจวินโหวที่เจ้าชู้คิดไม่ซื่อเป็นแน่!
เมื่อคิดไปเช่นนี้แม่นางเซี่ยซึ่งเริ่มมองกวนจวินโหวในแง่ที่ดีขึ้นเล็กน้อยก็กลับไปเป็นเช่นเมื่อแรกพบและถึงขั้นแย่ลงกว่าเดิม
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนมองไม่เห็นว่ามีคนหลายคนมองตนอยู่ เขาหลุบเปลือกตาลงไม่แสดงสีหน้าใดๆ หากในใจแช่มชื่นเบิกบานยิ่ง
เจาเจาพูดว่าเขาพานางไปกินเส้นหมี่น้ำพะโล้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เห็นได้ว่านางไม่ถือสาที่ผู้อื่นจะล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาง
ความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับเฉกนี้ไม่เลวจริงๆ
ไหนเลยเฉียวเจาจะรู้ว่าคำอธิบายตามปากพาไปคำเดียวของตนจะทำให้คนอื่นคิดกันไปต่างๆ นานาเฉกนี้ นางมองประตูห้องแล้วมุ่นคิ้วกล่าว “ข้ายืนยันให้แน่ใจอีกทีจะดีกว่า”
พิษสุนัขบ้าหาใช่อาการเจ็บไข้ได้ป่วยสามัญ จะนิ่งนอนใจมิได้
“คุณหนูหลี ท่านอย่ายุ่งยากจะดีกว่านะ แม่นางผู้นั้นวิกลจริตไปแล้ว ถ้าเกิดนางทำร้ายท่านจะทำเช่นไร” หยางโฮ่วเฉิงอดกล่าวเตือนขึ้นไม่ได้
เซ่าหมิงยวนพลันเอ่ยปากขึ้น “พิษสุนัขบ้า ตีความหมายจากชื่อแล้ว พอถูกสุนัขบ้ากัดเป็นแผลจะได้รับพิษนี้ เช่นนั้นถ้าคนที่เป็นโรคนี้กัดคนอื่นเล่า”
เฉียวเจากล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าคนที่โดนกัดเป็นแผลจะมีอาการของโรคนี้ด้วย”
“โรคนี้มีวิธีรักษาหรือไม่” เซี่ยเซิงเซียวไต่ถาม
“พิษจะแฝงอยู่ในกายระยะหนึ่งก่อนอาการกำเริบ อาจเป็นเวลาสั้นๆ แค่วันสองวัน หรือยาวนานเป็นหลายเดือนถึงสิบกว่าปี ตอนยังไม่กำเริบจะเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ทันทีที่กำเริบ…”
“จะเป็นอย่างไร” มีหลายคนถามประสานเสียงกัน
เฉียวเจามองดูทุกคน นางกวาดสายตาผ่านใบหน้าหญิงสาวที่อกสั่นขวัญแขวนพวกนั้นแล้วกล่าวทอดถอนใจ “ทันทีที่กำเริบแทบจะหมดทางเยียวยาแล้ว”
เซี่ยเซิงเซียวหน้าซีดเผือด “พิษในตัวนางกำเริบแล้ว?”
เฉียวเจาได้ยินเสียงตะกุยประตูดังมาจากในห้อง จึงพูดเสียงขรึมว่า “หากแม่นางผู้นั้นได้รับพิษสุนัขบ้าจริงๆ ไม่เพียงพิษในตัวกำเริบแล้ว ยังอาการหนักเข้าขั้นกลัวน้ำและคลุ้มคลั่ง หากทนผ่านขั้นนี้ไปได้ล่ะก็…”
“ก็จะโชคดีรอดชีวิตหรือ” หยางโฮ่วเฉิงชิงถามขึ้น
เฉียวเจามองเขาแวบหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ไม่ใช่ จะสลบไสลไม่ได้สติ สุดท้ายส่วนลำคอหดเกร็งจนขาดอากาศหายใจสิ้นชีพ”