หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 469
บทที่ 469
บุรุษสีหน้าถมึงทึงหลายคนวิ่งไล่ล่าบุรุษผู้หนึ่งไปทั่วทุกที่ และมีบุรุษถือดาบวอเตาในมือสิบกว่าคนไล่ตามอยู่ข้างหลังอีกที
เรือนพำนักที่ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวจุดโคมไฟสว่าง คนไม่น้อยเปิดประตูออกมาสังเกตการณ์
คนหลายคนที่ไล่ตามบุรุษผู้เดียวที่วิ่งเร็วมาก จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็กระโจนกายโถมเข้าใส่บุรุษข้างหน้าจนล้มลงกับพื้น
“พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกัน!” บุรุษที่โดนกระแทกล้มลงตะโกนดังลั่น
ไม่นานนักเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็ดังแหวกอากาศ
คนที่ทับอยู่บนตัวคนผู้นั้นถึงกับก้มศีรษะลงกัดคอเขา
คนหลายคนที่ไล่ตามมาข้างหลังรุมเข้าไปกัดตามแขนขาของคนผู้นั้นโดยไม่เลือกที่
ส่วนคนที่ถือดาบวอเตาในมือพวกนั้นชะงักกึก แต่ละคนเผยสีหน้าสะพรึงกลัว
“สวรรค์ บนเกาะนี้มีคนกินคนหรือนี่” หยางโฮ่วเฉิงยกมือเท้าคางพลางกล่าว
เยี่ยลั่วรีบเล่าสถานการณ์ที่ข้างหูเซ่าหมิงยวนอย่างละเอียด
สีหน้าเขานิ่งขึงไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้น
กลุ่มองครักษ์แยกย้ายกันไปซ่อนตัวมิดชิดอย่างเงียบๆ
“มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด รีบจัดการเจ้าพวกเสียสตินั่นสิ!” คนที่มีท่าทางเป็นหัวหน้าเปิดประตูออกมา เขาสวมกางเกงอย่างเร่งรีบพร้อมกับตะโกนบอกเสียงดัง
พวกคนที่ถือดาบวอเตาล้อมวงเข้าไปโดยไม่รอช้า ฟันดาบใส่คนคลุ้มคลั่งที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุด
คนคลุ้มคลั่งโดนฟันแขนขาดทันใด แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกรู้สา หมุนกายมากอดข้อเท้าคนผู้หนึ่งไว้แล้วกัดที่น่องอย่างรวดเร็ว
คนผู้นั้นร้องเสียงหลง “รีบปล่อยข้านะ ปล่อยข้าสิ!”
เขาร้องโวยวายพลางตวัดดาบฟันใส่คนคลุ้มคลั่งไม่ยั้งจนใบหน้าเละยับเยิน แต่ถึงเป็นเช่นนี้มันก็ยังคงกัดน่องของเขาไว้แน่นสุดแรง ส่งผลให้คนที่เข้ามาช่วยออกแรงดึงแล้วก็ดึงไม่ออก
คนที่โดนพวกคนคลุ้มคลั่งโถมทับไว้ด้านล่างแล้วรุมขย้ำแน่นิ่งไปแล้ว พวกมันหมุนกายพร้อมกันแล้วปรี่เข้าไปหาคนถือดาบ
มันเป็นภาพนองเลือดน่าสยดสยองชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อยิ่งนัก ต่อให้พวกคนที่มีดาบอยู่ในมือก็หันหลังวิ่งหนีอย่างห้ามใจไม่อยู่
“หนีด้วยเหตุใด! พวกนั้นมีเพียงกี่คนเท่านั้น เจ้าพวกไม่ได้ความ” หัวหน้าด่าทอเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ก็ปลดแตรสังข์ที่ห้อยไว้กับสายรัดกางเกงออกมาเป่า
เสียงแตรสังข์ก้องกังวานดังขึ้น ชาววอโค่วหลายสิบคนมาชุมนุมตัวกันอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ทัพ กะประมาณจากสายตาแล้วพวกชาววอโค่วมีกันอยู่แปดสิบกว่าคนขอรับ” เยี่ยลั่วกระซิบบอกที่ข้างหูเซ่าหมิงยวน
“อยู่เฉยๆ จับตาดูความเคลื่อนไหว” เซ่าหมิงยวนกำธนูยาวในมือแน่น
ธนูยาวคันนี้ของเขาทำจากไม้จันทน์ดำชั้นเลิศ ยิงได้ระยะไกล อานุภาพรุนแรง มันอยู่เคียงข้างเขามานานหลายปี เดิมทีนึกว่าได้เวลาสำแดงฤทธิ์เดชอีกแล้ว คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์บนเกาะจะผิดไปจากความคาดหมายเฉกนี้
หัวหน้าตะโกนสั่ง “ฆ่าเจ้าพวกนั้นโดยไว!”
พวกชาววอโค่วตีวงล้อมคนคลุ้มคลั่งไว้
คนคลุ้มคลั่งดูคล้ายจะไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ไม่หวาดกลัวที่โดนคนมากถึงเพียงนี้ล้อมไว้ ถึงขั้นไม่พรั่นพรึงต่อดาบยาวในมือคนเหล่านั้น ดวงตาของพวกมันแดงก่ำ เห็นคนก็ถลันเข้าไปกัด
เหตุการณ์สับสนอลหม่านมากขึ้นตามลำดับ
“หัวหน้า เหตุใดพวกเขาถึงได้เปลี่ยนไป เห็นคนก็กัดคล้ายกับสุนัขบ้าที่พวกเราเพิ่งฆ่าทิ้งไปพวกนั้น” มีคนผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างตื่นกลัว
อีกคนหนึ่งร้องบอกเสียงดัง “หัวหน้าท่านดูเร็วเข้า เจ้าพวกนั้นเอาสองมือยันพื้นเหมือนสุนัขบ้าจริงๆ”
“สวรรค์! พวกเขาถูกสุนัขบ้าที่ตายไปเข้าสิงใช่หรือไม่”
“ข้านึกขึ้นได้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นคนที่เคยโดนสุนัขบ้ากัด”
“แย่แล้ว ยังมีคนเคยโดนสุนัขบ้ากัดอีกไม่น้อย”
เหล่าชาววอโค่วเริ่มระส่ำระสายกะทันหัน หลายๆ คนลุกลนถอยห่างจากสหายด้านข้าง
พวกคนคลุ้มคลั่งอาจโดนดาบฟันจนเละไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่นี่ไม่อาจยับยั้งมิให้ความแตกตื่นหวาดกลัวแพร่กระจายไปในหมู่คนได้อยู่ดี
คนที่เคยโดนสุนัขบ้ากัดถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว ท่ามกลางสายตาของผู้คนพวกเขาเหล่านั้นมองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นพลันสั่นกระตุกไปทั้งตัวละม้ายโดนฟ้าผ่า จากนั้นแสยะปากช้าๆ กระโจนเข้าไปในกลุ่มคน
ประหนึ่งว่าการกระทำของคนผู้นี้ถ่ายทอดถึงกันได้ก็ไม่ปาน คนสิบกว่าคนที่แยกห่างออกไปก็กลายเป็นแบบเดียวกันแทบจะในชั่วพริบตา แผดเสียงคำรามพร้อมกับปรี่เข้าใส่คนที่อยู่ใกล้ที่สุด
ชาววอโค่วร้องโวยวายด้วยความตกใจ
“อย่าเสียกระบวนไปเอง รีบสังหารคนพวกนี้ทิ้งเสีย ฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงก็สิ้นเรื่องแล้ว!” หัวหน้าตะโกนพูดเรียกขวัญกำลังใจ
ทว่าเขาไม่ทันได้กล่าวประโยคหลังจนจบก็มีเสียงร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นแทนที่
ด้วยชาววอโค่วเหล่านี้ยึดถือหัวหน้าเป็นเสาหลักของตน พอได้ยินเสียงร้องนี้พวกเขาล้วนหันไปมอง ก็เห็นหัวหน้าผู้ทรงบารมีเป็นนิจมีโลหิตไหลทะลักออกมาจากกลางอก คนที่อยู่ใกล้ๆ เพ่งมองอย่างละเอียดถึงเห็นลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ตรงหัวใจของเขา แค่ว่ามันจมหายเข้าไปในหน้าอกเขาทั้งดอกเหลือไว้เพียงส่วนปลายติดขนนกที่สั่นระรัวไม่หยุด
“หัวหน้าตายแล้วๆ…”
เมื่อขาดเสาหลักชาววอโค่วทั้งหลายตกอยู่ในความชุลมุนทันควัน มีคนไม่น้อยถูกสหายที่คลุ้มคลั่งกัดสุดแรงขณะกำลังแตกตื่นลนลานอยู่ เสียงร้องโอดโอยดังระงมเป็นทอดๆ โดยพลัน
ด้านหลังร่มเงาบังใบไม่ไกลนัก เซ่าหมิงยวนลดธนูยาวในมือลงแล้วยกมือส่งสัญญาณ
พวกองครักษ์ถอยเข้าไปในป่าทึบอย่างเงียบเชียบ
นานครู่ใหญ่กว่าหยางโฮ่วเฉิงจะดึงสติคืนมาได้ เขาเอ่ยถามเซ่าหมิงยวนที่ถอยกลับเข้าป่าแล้ว “ถิงเฉวียน ไฉนเจ้ายิงได้แม่นยำปานนั้น”
ระยะไกลถึงเพียงนี้ แสงมืดสลัวถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นนักธนูมือฉมังก็ไม่แน่ว่าจะยิงเข้าเป้าได้ในดอกเดียว ทั้งที่สหายรักมองไม่เห็นแล้วทำได้อย่างไรกันแน่
หรือว่าสหายรักของเขาเป็นเทพสงครามลงมาจุติจริงๆ
เซ่าหมิงยวนยิ้มบางๆ “ทิศทางของต้นเสียงหลอกกันไม่ได้”
หยางโฮ่วเฉิงศิโรราบทั้งกายใจแล้ว เขาถามต่ออีกว่า “แล้วตอนนี้พวกเราจะรอกันอยู่ตรงนี้หรือ”
เซี่ยเซิงเซียวกล่าวโพล่งขึ้น “เจ้าเลิกพูดไร้สาระได้หรือไม่ อันว่าจับโจรต้องจับหัวหน้าโจร ท่านโหวสังหารหัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว พวกเขาก็แตกฉานซ่านเซ็นดุจเม็ดทราย ทั้งยังมีคนคลุ้มคลั่งพวกนั้นอยู่ด้วย อีกไม่นานพวกนั้นจะตกอยู่ในสภาพเข่นฆ่ากันเอง แน่นอนว่าพวกเรานั่งรอเป็นชาวประมงเก็บเกี่ยวประโยชน์ก็พอ”
ก่อนหน้านี้หยางโฮ่วเฉิงเพิ่งโดนนางซ้อมจนน่วม ส่งผลให้สลัดความรู้สึกผิดน้อยนิดนั่นทิ้งไปจนสิ้นแต่แรก เขาเบะปากกล่าวว่า “ข้าย่อมต้องรู้จักคติที่ว่านกปากซ่อมกับหอยกาบยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์* แค่อุตส่าห์ตื่นเต้นว่าจะได้มาสังหารชาววอโค่ว ใครจะรู้ว่าพวกเราไม่ต้องลงมือพวกนั้นก็แตกกระเจิงแล้ว ช่างน่าผิดหวังอยู่สักหน่อยจริงๆ”
“ฉงซาน” เซ่าหมิงยวนส่งเสียงเรียก
“มีอะไรหรือ”
ภายในป่ามืดสลัวไม่อาจเห็นสีหน้าของแม่ทัพหนุ่มได้ถนัดตา เพียงได้ยินเขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “การรบต้องมีคนตายเสมอ”
ไม่ใช่แค่ฝ่ายศัตรูที่ตาย คนฝ่ายเดียวกันก็ตายได้ หากใช้วิธีที่เบาแรงที่สุดสะสางปัญหาได้ เขาไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนต้องพลีชีพอย่างสูญเปล่าเป็นอันขาด
เสียงเอะอะโหวกเหวกจากที่ไกลๆ ดังขึ้นทุกทีจนคนที่หลบซ่อนอยู่กลางป่าทึบได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษ
ในป่ามีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มและชุกชุมไปด้วยแมลงต่างๆ พวกองครักษ์รวมถึงตัวเซ่าหมิงยวนเองพรางตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ในนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจวบจนฟ้าสว่างจ้า
หยางโฮ่วเฉิงเกาแขนจนแทบถลอกปอกเปิก เขาบ่นอุบอิบว่า “พวกเราไม่ทันถูกชาววอโค่วเล่นงานก็เกือบโดนยุงหามไปแล้ว เมื่อคืนนี้เหลือจะทนจริงๆ”
“ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เซ่าหมิงยวนไม่แยแสเสียงบ่นของสหายรัก เอ่ยถามเยี่ยลั่วที่ไปสังเกตการณ์
“ท่านแม่ทัพ ชาววอโค่วพวกนั้นเข่นฆ่ากันเองตลอดราตรี เหลืออยู่สามสิบกว่าคนเท่านั้นขอรับ”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “เตรียมบุกโจมตี เผด็จศึกโดยไวที่สุด”
เจาเจาคงรอจนร้อนใจแย่แล้ว
* ‘นกปากซ่อมกับหอยกาบยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์’ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสองฝ่ายมัวแต่ต่อสู้ไม่ยอมลงให้กัน จนฝ่ายที่สามฉกฉวยผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง มีเรื่องเล่าว่าหอยกาบอ้าเปลือกออกผึ่งแดด นกปากซ่อมเข้ามาหวังจิกกินเป็นอาหาร หอยกาบจึงงับเปลือกเข้ามาหนีบปากนกปากซ่อมเอาไว้ ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ชาวประมงผ่านมาเห็นจึงจับไปเป็นอาหารทั้งคู่ คล้ายนิทานเรื่องตาอินกับตานาของไทย